5 วัน 4 คืนครั้งแรกในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี แต่ถ้าหากขึ้นชื่อว่าเป็นครั้งแรกมันมักดีและพิเศษ
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงบอกเล่าถึงสิ่งที่เราพบเจอ เราเชื่อว่าครั้งแรกของเรามักเป็นประสบการณ์ที่ดีเสมอ
หากย้อนกลับไปในวัยเยาว์ เรามักตื่นเต้นในทุกครั้งที่จะได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตเป็นครั้งแรก
ไม่ว่าจะเป็นการไปดูคอนเสิร์ตครั้งแรก การซื้อโทรศัพท์เครื่องแรก การนั่งเครื่องบินไปเที่ยวครั้งแรก
และนั่นทำให้การบินตรงไปยุโรปเพื่อศึกษาดูงานและทัศนศึกษา ณ ประเทศออสเตรียและประเทศฮังการี
ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกแห่งศิลปะและดนตรีครั้งแรกร่วมกับเพื่อนปริญญาโทจึงเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเช่นกัน
วันที่ 1
การเปิดทริปด้วยเที่ยวบินในเวลาเที่ยงคืนและการเดินทางข้ามเส้นเวลา 11 ชั่วโมงเป็นอะไรที่ทรมาน
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับด้วยท่านั่งและนอนยากเช่นเราชนิดที่ว่ายาแก้แพ้ก็ช่วยไม่ได้
แต่เมื่อเท้าเหยียบพื้นดินของกรุงเวียนนาพร้อมกับผิวกายที่ได้สัมผัสกับความเย็นเฉียบถึง 4 องศา
อะดรีนาลีนในร่างกายจึงหลั่งออกมาและปลุกให้เราตื่นจากฝันหวานพร้อมกับความตื่นเต้นอีกครั้ง
ก่อนที่คณะทัวร์จะได้พาทุกคนขึ้นรถเบนซ์คันมหึมาโดยมีพลขับเป็นชาวพื้นเมืองฮังกาเรียน
เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองลินซ์โดยแวะพักถ่ายรูปร่วมกับโบสถ์และรับประทานอาหารพื้นเมือง
จากนั้นจึงพาไปหย่อนที่ตลาดคริสต์มาสย่านเมืองเก่าเพื่อรับประทานมื้อเย็นที่ปรุงรสโดยชาวจีน
แล้วจึงเดินทางกลับสู่โรงแรมเพื่อเข้านอนพร้อมกับความเหนื่อยล้าโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นรูมเมท
วันที่ 2
โปรแกรมการท่องเที่ยวที่รัดแน่นทำให้คณะทัวร์เกิดความเร่งรีบในช่วงเช้าที่ต้องเก็บกระเป๋าย้ายที่พัก
เพื่อเดินทางไปยังเมืองฮัลล์สตัทท์ซึ่งมีหมู่บ้านและจุดชมวิวทิวทัศน์มหาชนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ก่อนที่ล้อจะหมุนอีกครั้งเพื่อเดินทางร่วม 3 ชั่วโมงไปยังเมืองซาลส์บวร์กและรับประทานอาหารจีน
จากนั้นจึงเดินชมเมืองเก่าอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของคตีกวีคนดัง โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท
โดยเราได้แยกเดินไปกับเพื่อนร่วมรุ่นพร้อมกับแผนที่ที่ได้รับมาเพื่อถ่ายรูปกับสะพานกุญแจล็อก
แล้วจึงกลับมารวมกลุ่มเพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเวียนนาเพื่อรับประทานมื้อเย็นและพักผ่อนในโรงแรมแห่งใหม่
วันที่ 3
การได้นอนต่ออีกคืนทำให้ลูกทัวร์ทุกคนลุกจากที่นอนและรับประทานมื้อเช้าได้สายกว่าวันอื่น ๆ
ก่อนที่ตารางทัวร์จะเริ่มต้นด้วยการพาไปยังพระราชวังเชินบรุนโดยมีไกด์ชาวไต้หวันคอยบรรยาย
จากนั้นจึงพาไปรับประทานอาหารจีนและปล่อยให้ทุกคนท่องเที่ยวตามอัธยาศัยในย่านช้อปปิ้งชื่อดัง
ก่อนที่เราจะดั้นด้นเพื่อเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะเบลเวเดียร์ตามที่ตั้งใจไว้โดยกะไว้ว่าจะไปคนเดียว
แต่เพราะเพื่อนร่วมรุ่นเห็นว่าเราเก้งก้างเกินกว่าจะพเนจรจึงพาเราเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินด้วยกัน
ไม่กี่อึดใจจึงได้ซื้อตั๋วในราคานักศึกษาและก้าวขาเข้าสู่พิพิธภัณฑ์พร้อมกับความว้าวุ่นใจอย่างหนัก
เนื่องด้วยแบตโทรศัพท์ใกล้จะหมดและอยากจะได้พบสบตากับงานศิลปะชิ้นงามชื่อดังก้องโลกใจจะขาด
จนกระทั่งปรายตาไปเห็นภาพจุมพิต (The kiss) ของกุสตาฟ คลิมต์ ความกังวลทั้งหลายจึงมลายหายสิ้น
พร้อมกับลมหายใจและห้วงเวลาที่เราหลงลืมไปชั่วขณะราวกับติดอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงเพียงลำพัง
แล้วจึงเดินทางไปรับประทานอาหารพื้นเมืองและนอนหลับเมื่อวันที่เดินเยอะและประทับใจที่สุดจบลง
วันที่ 4
ถึงคราวต้องบอกลากรุงเวียนนาอย่างไม่เป็นทางการอีกครั้งเพื่อเดินทางไปยังประเทศฮังการี
โดยมีจุดเริ่มต้นของวันเป็นการเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเวียนนาเพื่อศึกษาดูงานด้านภาพยนตร์
ก่อนที่จะแวะรับประทานอาหารในย่านช้อปปิ้งและเดินทางไปยังเอาท์เลทเพื่อจับจ่ายใช้สอย
แล้วจึงมุ่งสู่ประเทศฮังการีภายในระยะเวลาร่วม 3 ชั่วโมงเพื่อรับประทานอาหารจีนด้วยกันอีกครั้ง
จากนั้นจึงพากันนั่งแท็กซี่เพื่อเดินเล่นในกรุงบูดาเปสต์และขึ้นชิงช้าสวรรค์พร้อมกับความเย็น 1 องศา
ก่อนที่ดวงตาแดงก่ำเพราะเจทแลคจะเป็นสัญญาณที่ทำให้ต้องรีบกลับโรงแรมเพื่อทิ้งตัวลงนอนเสียที
วันที่ 5
วันสุดท้ายของการเดินทางไม่ได้ทิ้งแต่ความเสียดายไว้ให้เราดูต่างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
หากแต่ยังทิ้งความเมื่อยล้าที่มีความสุขผสมอยู่ด้วยเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเช้ายันช่วงดึกเช่นกัน
โดยเริ่มจากการเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ มหาวิทยาลัยนครบูดาเปสต์
จากนั้นจึงไปยังจุดชมทิวทัศน์และโค้งน้ำดานูบที่สวยที่สุดในโลกบนป้อมชาวประมง
ซึ่งเราอยากไปเยือนสถานที่แห่งนี้และเห็นแง่งามของมันด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิต
แล้วจึงรับประทานอาหารพื้นเมืองในร้านหรูที่นักเปียโนหนุ่มได้ออกปากชมเราว่าสวย
ก่อนที่จะละลายทรัพย์อีกครั้งที่เอาท์เลทและเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับสู่ประเทศไทย
บทสรุป
ประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาจากทริปนี้คุ้มค่าพอที่จะแลกกับขาสองข้างที่เมื่อย แผ่นหลังที่ปวด
อาการเจ็บคอ ไอและน้ำมูกไหลที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพราะอุณหภูมิและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
รอยแผลที่ปรากฏบนแขนข้างขวา และหมวกใบใหม่เอี่ยมที่สาบสูญระหว่างทางกลับจากพิพิธภัณฑ์ชื่อดัง
เราขอขอบคุณตัวเองเป็นอันดับแรกที่ตัดสินใจถูกที่จะลงทุนควักกระเป๋าเพื่อเดินทางข้ามทวีปมาที่แห่งนี้
ขอบคุณครอบครัวที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อต่อเติมความฝันให้แก่สมาชิกคนนี้
ขอบคุณมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่มอบทุนการศึกษาสำหรับการเดินทางไปต่างแดนกับนิสิต
ขอบคุณอาจารย์ คนนำทัวร์ เพื่อนปริญญาโททุกคนที่คอยช่วยเหลือและคอยดูแลเราเป็นอย่างดี
ถ้าไม่มีทุกคนที่เรากล่าวถึงหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรากลายมาเป็นเราในวัย 24 ปีถึงทุกวันนี้
เราคงไม่ได้มีโอกาสโบยบินทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้เอื้ออำนวยสำหรับการนั่งนกเหล็ก
เราคงไม่ได้มีโอกาสลิ้มลองอาหารพื้นเมืองและอาหารจีนที่มีทั้งไม่ถูกปากและถูกปากสลับกันไป
เราคงไม่ได้มีโอกาสเห็นตึกรามบ้านช่องนอกมาตุภูมิที่มีทั้งสะอาดหมดจดและมีทั้งสกปรกโสมม
เราคงไม่ได้มีโอกาสตกใจกับห้องน้ำที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าใช้งาน ไม่มีสายฉีดและทิ้งทิชชู่ลงชักโครกได้
เราคงไม่ได้มีโอกาสดื่มน้ำจากก๊อกที่สามารถดื่มได้จริงและดื่มน้ำเปล่าที่มีราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยดื่มมา
เราคงไม่ได้มีโอกาสพูดภาษาสากลเพื่อสื่อสารกับคนแปลกหน้าที่ทักทายและชวนเราคุยระหว่างทาง
เราคงไม่ได้มีโอกาสตระเวนท่องเที่ยวในสถานที่ที่เราอยากไปกับคนที่เราอยากร่วมเดินทางไปด้วย
และเราคงไม่ได้มีโอกาสพบกับครั้งแรกที่พิเศษอีกครั้งที่ต่อให้ในชีวิตนี้อาจเป็นครั้งเดียวหรือครั้งสุดท้าย
...ก็ไม่เป็นไร
20.12 น.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in