ตอนผมเจอเขาครั้งแรก เขายืนอยู่ที่ตีนบันไดของโรงเรียนห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ส่วนผมยืนอยู่ที่หัวบันได ยกกล่องอุปกรณ์ศิลปะให้อาจารย์
เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มราวกับรูปสลัก ดูผิดแปลกไปจากเด็กในรุ่นเดียวกันโดยสิ้นเชิง เสื้อผ้าของเขาไม่ใคร่จะถูกระเบียบนัก แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงมัน
ทุกคนในโรงเรียนรู้จักเขา ผมก็เช่นกัน
ผมเดินลงบันได สวนทางกับเขาผู้เดินขึ้นมา ไม่ทักทาย และไม่มีใครเริ่มบทสนทนา
ผมเห็นชื่อของเขาบนบอร์ดจัดอันดับของโรงเรียน
เขาได้ที่ 1 ของระดับ และไม่เคยหล่นจากอันดับเลยสักเทอม
เขาทำได้อย่างไรกัน ทั้งที่ผมเห็นเขามีเรื่องต่อยตีที่หน้าโรงเรียน จนตัวช้ำดำเขียวแทบทุกวัน ในขณะที่ผมอ่านหนังสือตั้งใจเรียน ทำการบ้าน ทบทวนบทเรียนทุกคืนกลับได้คะแนนน้อยกว่าเขา
พระเจ้าไม่ยุติธรรมกับผมเลย
ผมคงไม่มีโอกาสเป็นเพื่อนกับเขา ถ้าวันนั้นผมไม่ลื่นหินไปชนเขาจนพลาดท่าตกน้ำตกทั้งคู่ ตอนไปทัศนศึกษาที่อุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง
ผมไม่ได้สติอยู่ค่อนวัน เพราะหัวกระแทกกับโขดหินในน้ำ แต่โชคดีที่เขาช่วยผมไว้ทัน
น้ำพัดผมกับเขาเข้าไปติดอยู่ในป่าลึก เขาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผม และคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลตรงศีรษะให้ตลอด 3 วันที่ติดอยู่ในป่า
ผมรับหน้าที่ก่อกองไฟ และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ทุก 1 ชั่วโมง ในขณะที่เขาคอยจับปลาหาอาหารมาที่จุดพัก เพราะในพวกผม เขาว่ายน้ำแข็งกว่า และมีประสบการณ์เข้าค่ายเดินป่ามากกว่าผม
3 วันนั้น ผมกับเขาพูดคุยกันหลายเรื่อง ตั้งแต่แบ่งหน้าที่ หาที่พักชั่วคราว การเอาตัวรอด แล้วก็เรื่องอื่น ๆ
เขาหัวเราะกับมุกตลกของผม
เขาสนใจรายการโทรทัศน์เดียวกันกับผม
เขามีเรื่องให้ผมประหลาดใจแทบทุกวัน ในขณะที่ผมไม่มีอะไรให้เขาแปลกใจบ้างเลย
ผมรู้สึกพ่ายแพ้อย่างน่าประหลาดใจ
หน่วยกู้ภัยหาผมกับเขาเจอในบ่ายวันที่ 3
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็กลายเป็นเพื่อนกับเขา บางสุดสัปดาห์ผมจะไปค้างที่บ้านเขาเพื่อทบทวนหนังสือ และบางวันเขาก็มาค้างบ้านผม เพื่อเล่นกับลูกหมา ลูกแมวที่ผมเลี้ยงไว้
เขาบอกว่า พวกมันทำให้เขาผ่อนคลาย และเมื่อเขาค้นพบว่าพวกลูกหมาชอบกินบะหมี่เป็ดแห้งร้านหน้าปากซอย เขาก็ซื้อมาให้พวกมันแทบจะทุกวัน
“หมาฉัน จะรักนายมากกว่าฉันแล้ว สนใจรับไปสักตัวไหม” ผมบอกเขาในเช้าวันหนึ่ง ที่เขามาค้างที่บ้าน ขณะมองบะหมี่เป็ดราคาแพงในชามข้าวหมา พวกมันกินหรูกว่าผมอีก
“ไม่ละ มันอยู่กับแม่มันนะดีแล้ว” ก็จริงของเขา ผมมองพวกลูกหมาวิ่งกลับไปหาแม่ของมันหลังจากกินบะหมี่เป็ดจนอิ่ม
ผมกับเขาไปมาหาสู่กันเช่นนี้จนผ่านไปปีกว่า ๆ ผมก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตคาที่...
เขามางานศพของผม พร้อมกับเพื่อน ๆ ในรุ่น
ใบหน้าของเขานิ่งเป็นรูปสลัก ไม่มีทั้งคราบน้ำตา และความอาลัย เขานั่งในงานของผมราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต
ผมน้อยใจนะ ที่เขาไม่แม้แต่จะเสียน้ำตาให้ผม
ผมเดินเข้าไปหาเขา หวังจะระบายความน้อยใจของตนใส่เขาเสียหน่อย แต่เมื่อเข้าไปใกล้จนเห็นใบหน้าเขาถนัดตา ผมกลับพูดอะไรไม่ออก
ดวงตาของเขาบอกผมทุกอย่าง
นี่ผมลืมไปได้อย่างไรกันว่าเขาแสดงสีหน้าไม่เก่ง ผมเห็นแววร้าวในดวงตาสีน้ำทะเลของเขา
ผมกอดเขา เช่นเดียวกับที่ผมโอบกอดพ่อแม่พี่น้องของตน
เขามาที่หลุมศพของผมทุกสุดสัปดาห์ จนผมสงสัยว่าเขาไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากผมเลยหรือ แต่ถึงผมถามออกไป เขาก็ไม่ได้ยินอยู่ดี
วันที่เขาจบการศึกษา ซึ่งตามเดิมแล้วผมต้องจบพร้อมเขา เขามาหาผมพร้อมกับใบประกาศนียบัตร
“ฉันเรียนจบแล้วนะ นายไปเกิดรึยัง” เขาถามกับหลุมศพของผม
“ยัง” ผมตอบเขา
“ฉันได้ทุนที่อเมริกา คงไม่ได้มาหานายบ่อย ๆ แล้ว”
“งั้นฉันจะไปอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่แทนนะ” ผมบอกเขา
“อยากให้นายไปกับฉันด้วยจัง เห็นนายเคยบ่นว่าอยากไป”
“เอาสิ” แล้วจากนั้นผมก็ตามติดเขาไปถึงอเมริกา ก็เขาออกปากชวนผมไปเองนี้ อีกอย่างผมอยู่ลอยไปลอยมาระหว่างบ้านกับโรงเรียน แล้วก็หลุมศพตัวเองจนเบื่อแล้ว
อยู่ที่โน่น เขาออกไปเดินที่ชายหาดทุกวัน ผมเองก็เช่นกัน ตอนเขาเข้าเรียนผมก็เข้าด้วย แต่บางครั้ง ผมก็ปล่อยเขาไว้คนเดียว หากวิชานั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ แล้วหนีไปเดินเล่นที่อื่นแทน
เขาตั้งใจเรียนมาก เรื่องต่อยตีก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อนแล้ว เขาโตขึ้นเยอะ ผิดกับผมผู้ยังเหมือนเดิม
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขา ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ว่าคนอย่างเขาจะหาภรรยาได้ จริงอยู่ที่เขารูปร่างดี และหล่อเหลา แต่นิสัยรักสันโดษ ขี้รำคาญของเขาต่างหาก ที่พาให้ผมลงพนันเงินกงเต๊กหมดหน้าตักกับวิญญาณอีกดวงหนึ่ง ว่าเขาไม่น่าจะมีแฟนได้นาน ที่ไหนได้ เขากลับได้แต่งงานแล้ว
ภรรยาเขาสวยมาก และเธอคงเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากด้วย ที่มัดใจชายคนนี้ได้ บางทีถ้าผมยังอยู่ ผมคงได้กล่าวอะไรในงานนี้ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว
ผมเห็นคนในงานแต่งตัวกันสวยงามไปหมด กระทั่งวิญญาณบรรพชนของทั้งบ่าวสาว จนรู้สึกอยู่ผิดที่ เลยเดินไปเข้าห้องน้ำ
ผมมองเงาสะท้อนของตัวเอง
ผมเห็นเด็กหนุ่มส่วนสูงมาตรฐานคนหนึ่งอยู่ในนั้น เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาลแดง เขาอยู่ในชุดนอนลายตาราง ผมของเขาไม่เป็นทรงนัก และเสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนไปหมด ทั้งเศษดินโคลน และรอยเลือด
เด็กหนุ่มคนนั้นคือผมเอง
นี่สภาพผมแย่ขนาดนี้เลยเหรอนี่ ผมจับตามเนื้อตัวของตัวเองไปมา ผมนึกได้ว่าพ่อกับแม่เคยเผาชุดเสื้อผ้าดี ๆ มาให้ผมอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าจะสวมใส่พวกมันเช่นไร คิดไปคิดมา รู้ตัวอีกที ตัวผมในกระจกก็เปลี่ยนชุดแล้ว
ผมอยู่ในชุดสูทสีเขียวเข้มขนาดพอดีตัว ด้านในของผมเป็นเสื้อเชิ้ตลายจุดเล็ก ๆ ดูทันสมัยไม่แก่เกินวัย กางเกงของผมมีสายเอี๊ยมรัดด้วย ท่าทางแม่จะเป็นคนเลือกให้ผม ผมยืนจัดทรงผมอยู่หน้ากระจกจนคิดว่าได้ทรงที่ดูดีไม่หยอกแล้ว จึงจัดหูกระต่ายสีเขียวเข้มให้เข้าที่
ผมหมุนดูตัวเองในกระจกจนมั่นใจว่าชุดเรียบร้อยดี จึงกล้ากลับเข้าไปเดินในงานเลี้ยง
นี่สิค่อยเข้าหน่อย
ในงานผมเห็นคู่บ่าวสาวเดินไปมารอบงาน ทั้งถ่ายรูป ทั้งชนแก้วกับแขก ดูวุ่นวายดีแท้ บางทีชีวิตหน้า ผมอาจได้วุ่นวายเช่นนี้บ้าง หวังว่าคู่ชีวิตของผมจะดีกับผมนะ
คู่บ่าวสาวหายไปจากงาน คิดว่าคงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามกำหนดการ
ผมมองเด็กเล็ก ๆ วิ่งไปมาในงาน เด็กชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งผ่านขาของผมออกไปนอกงาน ผมได้ยินว่าพวกแกจะออกไปแกล้งเจ้าบ่าว ตามแผนอะไรสักอย่างของเจ้าสาว ดูเหมือนเธอจะมีแผนเซอร์ไพรส์เขา ผมแอบตามเด็ก 2 คนนั้นไปจนถึงห้องแต่งตัวเจ้าบ่าว
ก็นะ จะให้ผมไปหาเจ้าสาวของเพื่อนก็ใช่ที่ อีกอย่างอยู่ในงานก็น่าเบื่อออก สู้ไปตามดูว่าเด็ก ๆ จะทำอะไรดีกว่า
ผมนี่เป็นผีที่สุขภาพจิตดีจริง ๆ ผมเดินตามก้นเด็ก 2 คนนั้นไปเรื่อย ๆ จนรู้ว่าแผนของทั้งคู่คืออะไร...
เด็ก ๆ เอาแหวนของเจ้าบ่าวไปซ่อน...
ผมพยายามห้ามพวกแกแล้ว เพราะผมรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครยุ่งกับของของตนมากขนาดไหน เขาต้องดุเด็กพวกนี้จนเสียขวัญแน่ แล้วถ้าเด็กพวกนี้เผลอทำหายเล่าจะเป็นเช่นไร วงหนึ่งไม่ใช่ถูก ๆ นะ
ผมวิ่งตามเด็ก ๆ ออกไป กลัวว่าพวกแกจะทำแหวนหาย คล้อยหลังผมไปนิดหน่อย คือเสียงฝีเท้าของเจ้าบ่าว
เด็ก ๆ วิ่งไปจนถึงสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ที่จัดงาน พวกแกวิ่งไปจนถึงหน้าน้ำพุ ที่ตรงนั้นมีเจ้าสาวคนสวยยืนอยู่
แหวนอยู่ในมือเจ้าสาวแล้ว ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มซุกซน เธอให้ลูกอมเด็ก ๆ คนละห่อเป็นการขอบคุณ แต่รอยยิ้มของคนทั้ง 3 กลับอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง
ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ดวงตากลับเย็นยะเยือกด้วยความโกรธ
“คิดจะทำอะไร” เขาถามเจ้าสาว เสียงของเขาทุ้มต่ำ และแหบห้าว
“คุณไม่คิดว่าถึงเวลาที่มันต้องเป็นของฉันแล้วเหรอ” เธอเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม สุดยอดผมไม่เคยเห็นใครกวนประสาทเขาได้ขนาดนี้
เขาก้าวตรงมาที่เธอ แล้วบดจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มนั้น! ผมเอามือปิดตาเด็ก ๆ แทบไม่ทัน
พวกเขาจูบกันนานมาก กว่าจะผละจากกัน แต่แทนที่เขาจะใส่แหวนวงงามให้เจ้าสาว เขากลับยึดแหวนวงนั้นมาหย่อนลงกระเป๋าตนเอง แล้วกล่าวกับเธอว่า “แหวนวงนี้ไม่ใช่ของเธอ” ก่อนจะผละจากไป
เรื่องส่วนตัวเขาเช่นนี้ผมไม่เคยยุ่ง
ผมรู้จักเจ้าสาวพร้อมเขา แต่ช่วงเวลาที่คนทั้งคู่ใช้ร่วมกัน ผมตัดสินใจไม่แอบดู หรือออกความเห็น เพราะนี่เป็นเรื่องของพวกเขา แต่มาเห็นเจ้าสาวคนสวยของงานหน้าชาอยู่เช่นนี้ก็อดสงสารไม่ได้
ผมเดินเข้าไปหมายจะปลอบใจเธอ แต่คิดว่าไม่เหมาะ จึงตัดสินใจเดินตามเขาไปแทน
ผมวิ่งไปขวางหน้าเขา แน่นอนเขาไม่เห็นผม และตักเตือนเขาเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม
“ทำแบบนี้ไม่ดีเลย” เขาเดินผ่านร่างผมไป
“ฉันรู้ว่านายโมโห แต่ไปบอกเธอแบบนั้น เธอไม่เข้าใจผิด แล้วเสียใจเหรอ” ผมวิ่งไปยืนหน้าเขาอีก
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแหวนนั่นเป็นของใคร แต่นายต้องคุยกับเธอ เธอหน้าเสียหมดแล้ว” เขาไม่แม้แต่จะหยุดเดิน
หลังจากทั้งคู่แต่งงานกันได้ 5 ปี ก็หย่าขาดกัน ทิ้งไว้เพียงลูกสาวตัวเล็ก ให้อยู่กับแม่ และไม่กี่ปีต่อมา เด็กหญิงก็ย้ายมาอยู่กับพ่อ เมื่อมารดาถึงแก่กรรม
เธออายุ 4 ขวบ ตอนเขาไปรับเธอมาอยู่ด้วยกัน
ช่วงที่เขาอยู่กับครอบครัว 5 ปีนั้นผมก็กลับมาอยู่กับครอบครัว...กับพ่อแม่... เพียงไปเยี่ยมเขาบ้าง บางครั้ง บางคราว จนเขาหย่าขาดกับภรรยานั่นเอง ที่ผมกลับมาวนเวียนในชีวิตเขาอีกครั้ง เพราะเป็นห่วงว่าเขาจะทำอะไรแปลก ๆ อย่างว่า คนเราถ้าไม่ได้อยู่กับครอบครัว อย่างไรก็น่าเป็นห่วง
เขาอุ้มเด็กหญิงขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว เธอกอดคอเขาแน่น แต่ดวงตาของเธอกลับมองตรงมาที่ผมอย่างไม่ลดละ
ผมไม่คิดอะไรมาก จนคืนวันนั้น เธอขอให้ผมเล่านิทานให้เธอฟัง
“พี่จ๋า อ่านหนังสือให้หนูฟังหน่อย” หลังจากนั้นมา เธอก็เป็นเพื่อนคุยให้ผม เขาไม่รู้เรื่องนี้ ผมคอยดูแลเธอเวลาเขาไม่อยู่บ้าน คอยนั่งเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอรอเขามารับที่โรงเรียนอนุบาล
ผมสอนเธอทำหลายอย่างมาก ทั้งวาดรูป และเขียนหนังสือ
ถ้าผมมีลูก ผมอยากมีแบบเธอ
เขาประสบอุบัติเหตุ
ลูกสาวของเขาร้องไห้ ขณะที่เขาอยู่ในอาการโคม่า
ผมพยายามปลอบใจเธอ ขณะที่เธอร้องหาแม่ กับพ่อ
ผมสงสารเธอ ผมรู้ว่าผมตายไปนานแล้ว แต่พอคิดว่าเขาอาจจะต้องมามีชะตากรรมแบบตน ก็รู้สึกสลดใจ
ผมร้องไห้กับเธอ
“ร้องไห้ทำไม” ผมได้ยินเสียงเขาจากเหนือหัว จึงเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ไม่คิดว่าจะเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
“นาย นายไม่ควรออกมา” ผมบอกเขาเสียงสั่น
“บอกฉันก่อนว่านายร้องไห้ทำไม” เขาถามผมอีก พร้อมกับย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น ตรงหน้าเด็กหญิง ลูบหัวเธอเบา ๆ แต่ดวงตามองผมนิ่ง
“นายต้องกลับเข้าร่างไป เธอต้องการนาย” ผมกอดเด็กหญิง เขาละมืออกจากกลุ่มผมของเธอ แล้วลุกขึ้นยืน
“นายตอบคำถามฉันก่อน!” เขาเอ่ยกับผมเสียงเรียบติดจะรำคาญ
ผมเงียบ นิ่งคิด เขารอคำตอบ ส่วนเธอร้องไห้ และสุดท้ายผมก็ตอบเขา
“ฉัน…ฉันกลัวว่านายจะเป็นอะไรไป ฉันเป็นห่วงนาย เป็นห่วงเธอ ฉัน...” ผมร้องไห้ ผมเป็นวัยรุ่นผู้อ่อนไหว
เขามองผมนิ่ง
“นายไม่แก่ลงเลยนะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่เวลาไหม” ผมดุเขา เขายิ้มรับ
“ชาติหน้า นายห้ามทิ้งฉันไปก่อนแบบนี้อีกนะ” เขาเอ่ยกับผมก่อนจะก้มลงจูบปากผมเบา ๆ แล้วหายไปจากสายตาของผม
เขาพ้นจากโคม่าในเวลาไม่นาน
ผมวนเวียนอยู่รอบตัวเขา และลูกสาว จนเธอโตเป็นสาว แต่งงาน และมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
ผมมารู้ทีหลังว่า แท้จริงแล้วแหวนวงนั้นทำมาจากโลหะตุ้มหูทั้ง 2 ข้างของผม ที่เขาเอาไปหล่อให้เข้ารูป แล้วชุบทองคำขาว
ผมไม่รู้ว่าระหว่างผมกับเขาคืออะไรกันแน่ อาจเพราะเวลาชีวิตของผมหมดลงก่อนจะได้เรียนรู้มัน
กาลเวลาผ่านไป สังขารของเขาก็เสื่อมลง ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่น แต่ยังคงเค้าความหล่อเหลาในอดีตได้อย่างน่าใจหาย ตั้งแต่อายุเขาเข้าเลข 9 ผมก็ตัดสินใจอยู่ข้างกายเขาแบบเต็มเวลา แล้วคืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยของบ้าน แขนแกร่งคู่หนึ่งก็ดึงผมเข้าปะทะกับแผ่นอกแกร่งของใครบางคน
“นายรอนานรึเปล่า” เขาถามผม ผมร้องไห้ แล้วหันไปสบตาเขา
“นายมาแล้ว” ผมกอดตอบเขา เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
“ให้ตาย นายไม่เคยตอบตรงคำถามเลย” เขาบ่น ก่อนจะกระซิบกับผมเสียงเบาว่า “นายต้องรักษาสัญญานะรู้ไหม”
“ชาติหน้าไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร นายห้ามทิ้งฉันไปก่อนอีกนะ” เขากำชับเสียงเข้ม
“อืม” ...และผมก็รับคำเขาด้วยรอยยิ้ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in