เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าของความรักRed Panda
ป๊อปปี้แดง (ตอนท้าย)
  • ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ทางการก็ส่งตัวอลันไปรักษาต่อในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เขตปริมณฑลของเมืองหลวง อัสลานและทหารคนอื่น ๆ เดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมเขา เพราะหมดผลัดประจำการที่แนวหน้าพอดี


    อลันรักษาตัวอยู่ที่นั่นร่วมเดือน พอใช้ไม้เท้าเดินเองได้โดยไม่ต้องให้ใครพยุง


    อัสลานมาหาเขาและชาเวย์ ผู้เสียแขนซ้าย ที่โรงพยาบาลทุกวัน มีบ้างที่เพื่อนในหมู่ 3 แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนพร้อมเขา แต่ก็มักมาหาเพื่อลากลับบ้านเกิด แล้วไม่แวะมาเยี่ยมอีก


    อัสลานมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า และกลับออกไปเมื่อหมดเวลาเข้าเยี่ยม ชายหนุ่มผมแดงร่างกายสูงใหญ่คนนี้จะนั่งข้างเตียงอลัน สลับกับข้างเตียงของชาเวย์ บางครั้งช่วยชาเวย์เขียนจดหมายหาครอบครัว บางครั้งช่วยเก็บดอกไม้แปลก ๆ จากในเมืองมาทับในสมุดให้อลันตามที่เขาขอ แม้ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่กลับใส่ใจและจริงจังในทุกการกระทำอย่างยิ่ง


    เขาจำได้แม้กระทั่งว่าดอกไม้ดอกไหนตนเก็บไปให้อลันแล้ว หรือดอกไหนอลันมีอยู่แล้วในเล่มสมุด และรู้ว่าผลไม้ชนิดใดชาเวย์โปรดปรานที่สุด ในบรรดาผลไม้ของเยี่ยมทั้งหมด จนสามารถตามหาแหล่งค้าขายผลไม้นั้นได้


    “ทำไมนายใจดีจัง” อลันถามอัสลานเช้าวันหนึ่ง หลังจากชายหนุ่มทับดอกไม้ดอกใหม่ให้


    “ฉันก็ไม่รู้” อัสลานตอบเสียงเรียบ จริงใจ


    “ก็เพราะเอ็งเป็นเจ้าชายไงพ่อหนุ่ม เนอะ ซินเดอเรลล่า” ชาเวย์หาคำตอบให้พวกเขา อลันเถียงทันทีว่าเขาชื่ออลัน อย่างที่เคยเถียงในค่ายฝึก ทั้งสามระเบิดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่กลับจากแนวหน้า


    อลันเขียนจดหมายเล่าทุกอย่างให้อะกาธาร์ฟัง ยกเว้นเรื่องขาขวาของเขา...เรื่องนี้ทางการแจ้งแก่เธอแล้ว เขาขอร้องไม่ให้มารดามาเยี่ยม เพราะการเดินทางจากบ้านไม้หลังน้อยเข้าเมืองหลวงนั้นยากลำบาก สู้เขาเดินทางกลับไปหาเธอง่ายกว่า


    เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ค่ายทหารอีกครั้ง ทุกวันในโรงพยาบาลของเขาผ่านไปอย่างราบรื่นจำเจ ตอนเช้าตื่นนอน สายทำกายภาพบำบัด กลางวันกินอาหาร บ่ายนั่งดูดอกไม้ที่อัสลานเก็บมาให้ ขณะอีกฝ่ายออกไปหาอะไรกินข้างนอก ออกไปเดินเล่นถ้าข้างนอกอากาศดี เย็นกินอาหาร ค่ำอัสลานกลับบ้าน ก่อนนอนคุยกับชาเวย์ จากนั้นก็นอน ซ้ำไปมาจนกระทั่งวันหนึ่ง อัสลานบอกเขากับชาเวย์ว่าจะกลับไปรบที่แนวหน้าในอีกไม่กี่วัน


    “เอ็งจะไปทำไม ยังไม่ถึงผลัดของเอ็งนี่” ชาเวย์ถามเสียงดัง อลันมองอัสลานสายตาเป็นห่วง


    “ทางนั้นต้องการผมมากกว่าทางนี้” อัสลานบอกเรียบ ๆ ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ใบหน้าไม่ยินดียินร้าย


    บ่ายวันนั้นครอบครัวของชาเวย์มารับชายวัยกลางคนกลับบ้าน ก่อนจากกัน เขากอดอัสลานและอลันแน่นด้วยแขนที่เหลือข้างเดียว หลังจากนั้นจึงเหลือแค่อัสลานและอลันสองคน


    เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้ากังวลแต่ไม่พูดอะไรออกไป เขาเห็นด้วยกับชาเวย์ เรื่องที่ยังไม่ถึงผลัดของอัสลาน แต่ก็เห็นด้วยกับอัสลานเช่นกัน


    สมรภูมิต้องการเขา...กองทัพต้องการเขา...ประเทศต้องการเขา


    สุดท้ายอลันก็ได้แต่ถอนหายใจ และปิดปากเงียบไม่พูดคุยกับชายหนุ่มอีกตลอดทั้งบ่าย


    หลังวันนั้นพวกเขาค่อยกลับมาคุยกันเหมือนปกติ ทั้งคู่คุยกันทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องอัสลานจะออกไปแนวหน้า คล้ายเรื่องนี้เป็นหัวข้อต้องห้ามไม่มีใครอยากเอ่ยถึง จนถึงวันเดินทางของชายหนุ่ม อลันก็ทำให้คนทั้งโรงพยาบาลตกใจ เขาหนีออกจากห้องพักผู้ป่วยรวมไปส่งอัสลานขึ้นรถไฟทั้งที่สวมชุดผู้ป่วย และไม่ได้สวมรองเท้า เพราะขี้เกียจสวม


    อลันรู้ตารางเดินรถไฟ เที่ยวที่มารับอัสลานดี เขาจดไว้ในสมุดบันทึกดอกไม้ โชคดีที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกตั้งอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟนัก อลันจึงไปทันเวลาก่อนรถไฟขบวนนั้นแล่นออกจากชานชาลา


    รอบตัวเขามีหญิงสาวและเด็กเล็กมากมายที่พากันมาส่งคนรักและบิดาสู่สนามรบ อลันสวมชุดผู้ป่วยเป็นชุดนอนลายทางสีน้ำเงินเข้ม ผูกปมชายขากางเกงข้างขวาไว้ไม่ให้เกะกะ เท้าอีกข้างไม่สวมรองเท้า ใช้ไม้ค้ำรักแร้ยันตัวเคลื่อนไหว จึงเป็นจุดเด่นในหมู่ผู้คนมากมาย ใครผ่านเป็นต้องหยุดมอง


    เด็กหนุ่มนับตู้รถไฟจากหัวขบวน จนถึงตู้ที่อัสลานต้องขึ้น เขารีบกระโดดขาเดียวไปหา ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่อดทนทำกายภาพบำบัด อลันฝึกกระโดดขาเดียวได้คล่องกว่าใช้ไม้ค้ำยันเดิน จึงติดนิสัยใช้ไม้ค้ำเมื่อต้องการหยุดพักขาเท่านั้น


    อลันเห็นเส้นผมสีแดงฉานของอัสลานอยู่ห่างไปราวสิบกว่าเมตร กำลังช่วยนายทหารตู้ข้าง ๆ ลำเลียงกล่องเสบียงขึ้นขบวนรถไฟจากชานชาลา เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย ใบหน้าผุดรอยยิ้มรีบเร่งความเร็วของตนทันที แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้นักอลันกลับปวดโคนขาขวาเสียก่อน


    อลันชะงักอยู่กับที่


    เขามีอาการเช่นนี้เป็นพัก ๆ บางครั้งแค่คันแผลที่โคนขา บางครั้งปวดร้าวจนกัดฟันกลั้นไม่ให้น้ำตาร่วง และครั้งนี้เขาก็ปวดขาจนน้ำตาเล็ด


    เด็กหนุ่มจับโคนขาขวา ลูบเบา ๆ คล้ายจะปลอบโยนมันให้คลายความเจ็บ แต่ก็ปวดจนฝืนยืนแทบไม่อยู่ แถวนั้นไม่มีที่ให้นั่งพัก ถึงมีเขาก็ไม่คิดจะนั่ง เพราะอัสลานกำลังจะออกเดินทางในไม่กี่นาทีแล้ว


    อลันสูดหายใจลึกพยายามข่มความเจ็บปวดไว้ลึกสุดใจ แล้วกระโดดต่อ


    กระโดด!


    กระโดด!


    จนสุดท้ายก็ไม่ไหว อลันทำไม้ค้ำยันหลุดมือ เรียกเสียงร้องตกใจจากหญิงสาวบริเวณนั้น แต่จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังล้ม เดอา เฮนนาในสภาพสวมชุดนอนเปรอะเปื้อนดินโคลนจากแนวหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา


    เธอรีบประคองอลัน โดยไม่สนสายตาฉงนใจของคนรอบข้าง และเสียงซุบซิบสงสัยของเด็ก ๆ แถวนั้น


    “หนูจะไปไหน เกิดอะไรขึ้น” เธอถามอลันเสียงเบา ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนัก พริบตาก่อนหน้านี้เธอยังอยู่ที่แนวหน้า กำลังประคองเช็ดหน้าให้คาร์ล ตอนนี้กลายเป็นเห็นอลันน้อยของเธอขาขาด แต่ถึงเป็นเช่นนั้นหญิงสาวก็พอมองออกว่าอลันตั้งใจจะไปที่ใดสักแห่ง


    “ไปหาอัสลาน เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟัง” อลันกัดฟันตอบ พยักพเยิดไปทางชายหนุ่มผมแดง ผู้อยู่ห่างไปเกือบสิบเมตร


    “ให้น้าตามเขามาดีกว่า อลัน” เดอาบอก มองใบหน้าซีดเพราะความเจ็บปวดของเด็กหนุ่ม


    “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเขาขึ้นรถไฟไม่ทัน” อลันฝืนยิ้ม เดอาจึงช่วยประคองพาเขาไปยังจุดที่อัสลานยืนหันหลังให้พวกเขา กำลังส่งกล่องเสบียงขึ้นขบวนรถ


    “อัสลาน!” อลันเรียก แต่เพราะเจ็บขา เสียงที่เปล่งออกไปจึงแหบแห้งผิดปกติ


    อัสลานหันกลับมามองหน้าตื่น เขาหันไปพูดกับนายทหารอีกคนสองสามประโยค ก่อนผละจากงานลำเลียงเสบียง เดินตรงมามองสำรวจอลันหัวจรดเท้าแล้วถามทันทีว่า “ทำไมไม่ใส่รองเท้า”


    “...ฉันลืม” เด็กหนุ่มยิ้มแหยตอบ อัสลานมองเท้าเปล่าของอลัน แล้วคุกเข่าถอดรองเท้าข้างซ้ายออกส่งให้เด็กหนุ่มหน้าตกกระ


    “ไม้ค้ำ” อัสลานเอ่ยเป็นเชิงถาม


    “ทำหล่น” อลันตอบ ยังคงยิ้มแหยเช่นเดิม


    “นายใส่ก่อน ฉันมีคู่สำรอง” อัสลานบอกเขาถอนหายใจเสียงเบา ก่อนช่วยดึงอลันลุกขึ้นจากพื้น เมื่อเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเสร็จ ขณะเดอาหันไปรับไม้ค้ำยันของอลันจากหญิงสาวผู้มีน้ำใจเก็บมาให้คนหนึ่ง


    “นายหนีออกมาจากโรงพยาบาล” ชายหนุ่มตำหนิเบา ๆ อลันยิ้ม ตอบไปว่า “ผมกับชาเวย์ช่วยกันคิดวางแผนนี้จนเขากลับบ้านเลยนะ” อัสลานนิ่งไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเอ่ยขอบใจเด็กหนุ่ม


    สิ้นคำพูดของอัสลานก็คล้ายพวกเขาหมดสิ่งที่จะพูดให้กัน ต่างคนต่างมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง รอบตัวพวกเขามีเสียงร่ำลา ร้องไห้ และเสียงชักภาพถ่ายรูปของสำนักข่าว ที่บ้างก็ตั้งใจเขียนข่าวปลุกใจประชาชนให้มาสมัครเข้ากองทัพ บ้างก็ทำข่าวต่อต้านสงคราม เรียกร้องให้ประเทศสงบศึก


    อลันเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร หางตาเห็นคนกอดลากันกลมเกลียว


    กอด...


    ตอนเขาเดินทางไปแนวหน้าครั้งก่อน แม่ก็กอดเขา


    คิดได้ เด็กหนุ่มก็ฝืนยิ้มละไม แต่ดวงตากลับเศร้าหมอง แล้วถามชายผมแดงออกไปว่า “เราควรกอดกันไหม” อลันไม่อาจแสร้งทำราวกับเขามาเพื่อส่งเพื่อนกลับบ้านได้อีก เขาไม่อาจทำเป็นเข้มแข็งได้อีกแล้ว เมื่อความจริงฉายชัดอยู่รอบตัวพวกเขา


    “สักหน่อยก็ดี” อัสลานก็รับรู้ถึงบรรยากาศเช่นนั้นเหมือนกัน...ไม่ว่าจะเป็นผู้คนกอดจูบ หรือบอกลา


    เดอาส่งอลันให้อัสลาน


    เด็กหนุ่มกอดคนผมแดงแน่น จนเครื่องแบบทหารสีเข้มที่ชายหนุ่มสวมใส่มีรอยยับ ร่างกายของอัสลานอุ่นและเต็มไปด้วยพลังชีวิต อุ่นมากจนส่งผ่านความร้อนทะลุเครื่องแบบมาถึงอลัน เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดที่อลันได้รับรองจากกอดของมารดา พาลให้รู้สึกอบอุ่นมั่นคงยิ่งนัก


    อลันพริ้มตา ใบหน้าระบายยิ้ม ก่อนได้ยินเสียงแชะเบา ๆ จากบริเวณใกล้ตัวจึงหันไปมองทางต้นเสียง คาดว่าคงเป็นช่างภาพของสำนักข่าวสักแห่ง


    เดอารอจนทั้งสองผละจากกัน จึงเข้าพยุงอลันเช่นเดิม


    อุณหภูมิกายของอัสลานทิ้งรอยไว้ตามตัวของอลัน ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวเย็นกว่าปกติยามออกจากอ้อมแขนคล้ายคนผิงไฟเดินห่างจากเตาผิง ดวงตาสีฟ้าใสมองเครื่องแบบทหารของอัสลาน มองมือหยาบกระด้าง มองเท้าชายหนุ่มที่สวมรองเท้าข้างเดียว


    เด็กหนุ่มรู้สึกว่าต้องพูดอะไรบางอย่าง ตอนมาเขามีสิ่งสำคัญอยากบอกอัสลานเป็นแสนเป็นล้านคำ แต่ตอนนี้ เขากลับไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นคืออะไร สะกดหรือออกเสียงอย่างไร ทั้งที่รู้เต็มอกว่าหากไม่เอ่ยออกมาตอนนี้ ก็อาจไม่มีโอกาสได้บอกคนผู้นี้อีกเลย


    ต้องพูดอะไรสักอย่าง อย่างน้อยพูดออกมาได้สักคำ คำอื่นก็จะตามมาอลันคิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้


    อัสลานมองออกว่าอลันอึดอัดใจ จึงทำสิ่งที่เขาทำให้อลันมาตลอด...เป็นความเขามั่นคงของอลัน...


    “อลัน นายเคยบอกว่าชอบปลูกดอกไม้” อัสลานถาม เอื้อมมือขยี้หัวเด็กหนุ่มเบา ๆ เหมือนที่ปู่เคยทำกับเขา แล้วพูดต่อว่า “นายช่วยปลูกให้ฉันสักต้น ได้ไหม”


    “ได้สิ นายอยากได้ดอกอะไร” อลันรีบย้อนถามอย่างกระตือรือร้นและขอบคุณ ช่วยเปิดปากแค่นี้เขาก็คุยต่อได้แล้ว


    “ดอกป๊อปปี้ สีอะไรก็ได้ ฉันชอบหมด” ชายหนุ่มตอบ ลดมือจากศีรษะอลัน


    “ดอกป๊อปปี้...แล้วนายจะให้ฉันตัดส่งให้ หรือจะไปรับเอง” อลันควักสมุดบันทึกกับดินสอจากกระเป๋าเสื้อนอน รีบจดชื่อดอกไม้


    “ไปรับเอง จะได้ไปดูทุ่งดอกไม้ที่นายเคยคุยอวดให้ฟัง” อัสลานตอบโดยไม่เสียเวลาคิด เสียงเรียบนิ่ง หน้าประดับยิ้ม พาให้ดวงตาคล้ายมีประกายสีทองสว่างสดใส


    “มาเลย นายกลับมาแล้วก็ไปหาฉันเลย นี่ที่อยู่ของฉัน ส่วนนี่ที่อยู่ของชาเวย์ เขาอยากให้นายเขียนจดหมายถึงเขา” อลันรีบเขียนที่อยู่ใส่สมุด แล้วฉีกกระดาษให้อัสลานทั้งหน้า เขายิ้มเช่นเดียวกับอัสลาน


    “ขอบใจพวกนายมาก” อัสลานพับกระดาษแผ่นนั้นลงกระเป๋าเสื้อ แล้วกระชับกระเป๋าสัมภาระ


    “ยินดี” อลันตอบ อัสลานหันหลังเดินไปขึ้นตู้รถไฟ แต่ไม่กี่ก้าวก็หยุด เหลียวกลับมามองอลันและเดอาด้วยแววตาอ่านยาก


    “อลัน…” ชายผมแดงเรียก แม้เสียงยังเรียบนิ่งแต่แฝงแววหมองใจ เด็กหนุ่มประสานตากับเขาอย่างสนใจ อัสลานเงียบ แล้วพูดคำที่ไม่ค่อยพูดกับใครนักจนรู้สึกไม่ชินปากว่า “…ฉันไปก่อนนะ” ก่อนเดินขึ้นตู้รถไฟโดยไม่เหลียวมามองอีก


    “ครับ” อลันรับคำ โบกมือลาอัสลานขณะขบวนรถไฟแล่นออกจากสถานี


    เดอาผู้เงียบมาตลอดบทสนทนาของคนทั้งสองส่งไม้ค้ำยันให้เด็กหนุ่ม เธอเดินเป็นเพื่อนเขากลับไปที่โรงพยาบาล ขณะอลันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง


    “คุณดอกไม้ครับ” เด็กหนุ่มเรียกเธอ หลังเขากินอาหารเย็นเสร็จ


    “จ๊ะ หนู” เธอขานรับ


    “ผมจะได้เจอกับอัสลานอีกไหม” เดอาไม่มีคำตอบให้ เธอมองออกว่าอลันเพียงแค่ถามลอย ๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบจริง ๆ แม้ดวงตาเขาเศร้าหมองและต้องการคำปลอบโยนมากก็ตาม


    คืนนั้นเดอานั่งอยู่จนเขานอนหลับ หัวใจเธอหนักอึ้ง เธอไม่อาจช่วยปลอบใจเด็กหนุ่มได้ ไม่อาจทำอะไรได้เลย...นอกจากคอยอยู่ข้าง ๆ และเฝ้ามองเขาเติบโต




    อลันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งเดือนเต็มเพื่อรอขาเทียมจากมูลนิธิทหารผ่านศึก และอยู่ต่ออีกสองเดือนเพื่อทำกายภาพบำบัด จนเขาใช้ขาใหม่เดินไปไหนมาไหนได้คล่องตัว


    ขาใหม่ทำด้วยไม้ พยาบาลกำชับให้เขาเข้าโรงพยาบาลปีละหน เพื่อตรวจสภาพหรือปรับแก้ไขขาเทียมให้เหมาะกับความสูงและการใช้งานที่อาจเปลี่ยนไป


    จากฤดูใบไม้ผลิผันเป็นฤดูหนาว อลันอยู่โรงพยาบาลนานราวสี่เดือน นับจากมารักษาตัวจากการต่อสู้ที่แนวหน้า ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที


    รถไฟโดยสารขบวนฤดูหนาว เย็นจับขั้วหัวใจ อลันนั่งในขบวนราคาประหยัด หน้าต่างปิดสนิท แต่ความเย็นชำแรกของปีก็แทรกปราการโลหะของรถไฟเข้ามาตลอดทาง จนขาเทียมของเขาเย็นเท่าอากาศภายนอก


    อลันมองออกไปนอกหน้าต่าง อะกาธาร์เคยเล่าให้เขาฟังว่า วันเกิดแรกของเขาเป็นวันที่พายุหิมะโหมกระหน่ำหนาวจับจิตจับใจยิ่งกว่าฤดูหนาวใดที่เคยเวียนมา ตอนนี้นอกหน้าต่างรถไฟขาวโพลนไปหมดเพราะหิมะตกย้อมทิวทัศน์ทั้งหมดเป็นสีเดียว ดูหนาวเย็นไร้ชีวิตจนน่าใจหาย เด็กหนุ่มสงสัยเหลือเกินว่าวันที่เขาลืมตามองโลกกับวันนี้ วันไหนอากาศหนาวกว่ากัน... และเมื่อไรฤดูใบไม้ผลิอันหฤหรรษ์จะมาเยือน


    เขาหวังให้สงครามจบในเร็ววัน ดอกไม้จะได้บานเสียที


    เด็กหนุ่มหน้าตกกระใช้เวลาเดินทางกลับบ้านสามวัน เขาถึงบ้านไม้หลังน้อยยามบ่ายของวันที่สาม


    เมื่อผลักประตูไม้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงฟืนปะทุอยู่ในเตาผิง ได้ยินเสียงฝีเท้ามารดาในห้องนอน และไม่นานอะกาธาร์ก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องนอน


    มารดาของเขาดูแก่ลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอนัก ผมเริ่มมีสีเทา ใบหน้ามีริ้วรอย และดวงตาก็ไม่เจิดจรัสเท่าแต่ก่อน แต่อลันก็รู้ว่านี่คืออะกาธาร์ แม่ผู้รักเขายิ่งกว่าใคร


    เด็กหนุ่มรู้สึกคล้ายจากบ้านไปหลายปี ไม่ใช่หลายเดือน


    แม่โผเข้ามากอด เขาก็กอดตอบแน่น


    อลันรู้สึกว่าอ้อมกอดของอะกาธาร์อบอุ่นที่สุดในวันหนาวเหน็บเช่นนี้


    อะกาธาร์กอดลูกชายเพียงคนเดียวของตนแน่น ตั้งใจถ่ายทอดความอบอุ่นจากเธอสู่เขา แล้วอลันผู้พยายามทำเป็นคนใจเข้มแข็งมาตลอด ก็พังทลาย ร้องไห้ในอ้อมกอดมารดาอย่างที่เคยทำตอนเป็นเด็ก


    จริงอยู่ คำพูดของอัสลานทำให้เขาพอจะให้อภัยตัวเองได้


    จริงอยู่ เขายอมรับสภาพความพิการของตัวเองได้


    จริงอยู่ เขามีชีวิตรอดกลับมาได้


    ...แต่ทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าตะกอนความเจ็บปวดขมขื่นเจือด้วยความสุขและโล่งใจจะระงับไว้ได้ตลอดไป อลันร้องไห้ครั้งนี้เพราะเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะรู้ว่ายังต้องสู้ต่อไป เพราะตัวเองเติบโตขึ้น และเพราะต้องปล่อยอดีตให้ผ่านไป แล้วต้องอยู่กับปัจจุบัน


    “เจ็บมากไหมลูก” โสตประสาทของเด็กหนุ่มรับเพียงคำพูดนี้ของมารดา แทรกผ่านเสียงสะอื้นไห้ของตัวเอง เขาไม่ได้ยินสรรพเสียงใดทั้งนั้นแม้แต่เสียงลมฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มย่างกรายเข้ามา




    อัสลานเขียนจดหมายถึงชาเวย์กับอลันทุกครั้งที่มีโอกาส


    ในจดหมายตอบ อัสลานเห็นว่าชาเวย์ชอบเขียนเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งเทศกาลรื่นเริง สภาพอากาศ และสมาชิกใหม่ในครอบครัว โดยลายมือบนจดหมายไม่ใช่ของชายวัยกลางคนแต่เป็นของฌอนน์ แวลียาร์ด ลูกสาวของชาเวย์ เด็กสาวที่ครั้งหนึ่งอลันเคยคิดส่งจดหมายจีบ เพราะเห็นเธอลายมือสวยจากการอ่านจดหมายให้ชาเวย์ฟัง สมัยอยู่ในค่ายฝึก แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนช่างอ่อนหัดเรื่องการเขียนจดหมายและกลอนรัก ก็ล้มเลิกความคิดนั้น


    ส่วนจดหมายของอลัน ชายผมแดงเห็นว่า เด็กหนุ่มหน้าตกกระ ตาฟ้าใสคนนี้เขียนจดหมายคล้ายเขียนบันทึกการเจริญเติบโตของดอกไม้ใบหญ้ารอบตัวมากกว่าเขียนสื่อสารเรื่องอื่น กระทั่งปีใหม่เด็กหนุ่มก็ไม่คิดเขียนคำสวัสดี หรืออวยพร แต่เขียนข้อมูลดอกเดซีความยาวสองหน้ากระดาษพร้อมดอกไม้ทับ ก่อนจะลงท้ายด้วยชื่อตน อัสลานส่ายหน้า ริมฝีปากยกยิ้มระอาใจให้จดหมายของอลัน แต่กระนั้นดวงตาก็อ่านจดหมายของเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ


    อัสลานเก็บจดหมายทุกฉบับลงกระเป๋าเดินทาง พวกมันช่วยเป็นหน่วยนับวันคืนที่ผ่านไปขณะอยู่แนวหน้าของเขา อย่างน้อยทุกครั้งที่มีจดหมายมาถึง ชายหนุ่มก็รู้ว่าถึงสิ้นเดือนแล้ว


    ชายหนุ่มไม่เคยกลับไปเมืองหลวงอีกเลยนับตั้งแต่จากกันกับอลันที่สถานี ไม่ว่าผลัดของเขาจะหมดไปแล้วกี่ครั้งกี่หน แต่เขากลับไม่เคยพลาดที่จะส่งจดหมายให้คนทั้งสองสักครั้ง จนเวลาล่วงเข้าปีที่สามของการประจำการที่แนวหน้า...ที่อัสลาน เดวิสวิ่งเข้าไปในศูนย์วิจัยอาวุธในแดนข้าศึกแล้วก็ไม่กลับออกมานั้นเอง ที่การส่งจดหมายของเขาสิ้นสุดลง




    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นมาเร็วกว่าปกติ อลันมองดอกป๊อปปี้หลากสีในแจกันดอกไม้บนโต๊ะอาหารครู่หนึ่ง แล้วจรดดินสอบนกระดาษ เพื่อเล่าเรื่องดอกป๊อปปี้บานแล้วให้อัสลานอ่าน เขาทากาวกระดูกสัตว์บนกระดาษ แล้วติดดอกป๊อปปี้ทับลงไปอย่างบรรจง


    อลันตรวจความเรียบร้อยของจดหมายอีกครั้ง พับใส่ซอง ผนึกอย่างดี


    เขาเก็บซองจดหมายใส่กระเป๋า แล้วใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปถึงตัวเมือง วันนี้เขาเข้าเมืองเพื่อซื้อของใช้จำเป็นกลับบ้าน และส่งจดหมาย


    อลันต้องเดินผ่านจัตุรัสของเมืองเพื่อตรงไปที่ทำการไปรษณีย์ เขาเดินไปตามทางอย่างคุ้นเคย ดูเหมือนวันนี้ที่จัตุรัสมีผู้คนหนาตาผิดปกติ ไม่กี่นาทีต่อมาชายหนุ่มจึงรู้ว่าสิ่งใดเรียกผู้คนออกมารวมกันมากมายเพียงนี้


    สงครามจบแล้ว!


    ชายหนุ่มดีใจจนตัวลอย เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงตัวใหญ่กลางจัตุรัสเมือง ว่าขณะนี้ทางการประกาศสัญญาสงบศึกกับประเทศคู่อริแล้ว และกำลังถอนกำลังกลับจากแนวหน้า วันนั้นร้านค้าบางร้านแถมข้าวของให้อลันเต็มมือ ส่วนที่ทำการไปรษณีย์ก็ปิดบริการช้ากว่าปกติ เพื่อรอรับจดหมายส่งไปถึงทหารในกองทัพเป็นครั้งสุดท้าย


    วันนั้นอลันและอะกาธาร์ช่วยกันทำอาหารเย็น ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานปี


    อลันบอกราตรีสวัสดิ์มารดา เมื่ออะกาธาร์บอกว่าจะเข้านอนก่อน ชายหนุ่มเดินออกไปนอกบ้านไม้หลังเล็ก คุยกับดอกถ้วยเนยหน้าประตูบ้าน บอกพวกมันว่าพรุ่งนี้ต้องเบ่งบานให้ยิ่งกว่าทุกวัน แล้วถอดรองเท้าหนังคู่เก่าออกวางไว้หน้าประตู ออกไปเดินเล่นรับลมละมุนหอมกลิ่นฤดูใบไม้ผลิยามราตรีอย่างสุขใจ


    “อีกไม่นานเขาจะมารับพวกเจ้าแล้วนะ” อลันบอกดอกป๊อปปี้ในกระถางดินเผาหลายใบที่เขาปลูกแยกไว้จากทุ่งดอกไม้รอบบ้านไม้ เพื่อความสะดวกในการดูแลและเคลื่อนย้าย คืนนี้ไม่มีเมฆบังฟ้า ดวงดาวจึงส่องประกายระยิบระยับสว่างพอให้อลันมองออกว่าดอกไม้ดอกไหนเป็นดอกอะไร


    “ต้องบานกันได้แล้วนะ” ชายหนุ่มบอกดอกที่ยังตูมในกระถางเสียงแผ่ว คล้ายกลัวจะรบกวนการนอนของมัน เขาออกไปนอนดูดาวอยู่กลางทุ่งหลังบ้านจนคิดว่าควรเข้านอนได้แล้ว จึงลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้านไม้ คืนนั้นอลันนอนหลับไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขที่สุดในรอบปี




    ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ที่จัตุรัสกลางเมืองเริ่มติดรูปนายทหารผู้เสียสละชีพในสงคราม ทั้งรูปที่ตัดมาจากหน้าหนังสือพิมพ์ และรูปถ่ายจริงที่ญาติพี่น้องบางคนนำมาให้ติดไว้เป็นเกียรติ เป็นอนุสรณ์เตือนใจคน ว่าสงครามพรากสิ่งใดไปจากใครบ้าง รูปขาวดำเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นทุกสัปดาห์


    อลันเฝ้ารอคอยให้อัสลานเดินทางมาถึงทุกวัน และในที่สุดชายหนุ่มผมสีแดงฉานก็เดินทางมาถึงเขา


    วันนั้นอลันเข้าเมือง เขายืนจ้องมองรูปที่ตัดมาจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง มันติดบนกระดานขนาดใหญ่กลางจัตุรัส ดวงตาสั่นระริก ชายหนุ่มหายใจไม่ออก หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เขาไม่มีแรงแม้แต่จะกะพริบตาละจากรูปใบนั้น


    รูปนี้เป็นภาพถ่ายขาวดำของชายในชุดเครื่องแบบทหารมองตรงมายังกล้อง ใบหน้าคมไม่มีรอยยิ้ม แววตาทอประกายนิ่งสงบมั่นคง ดูเป็นสุขอย่างยากจะอธิบาย สำหรับอลันภาพดวงตานั้นชัดเจนและเหลื่อมซ้อนกับภาพนัยน์ตาสีอำพันเหลือบทองคำในความทรงจำ


    อลันรู้ทันทีว่าชายในรูปคือใครแม้ภาพเป็นสีขาวดำไม่เห็นสีแดงฉานของเส้นผม...อัสลาน เดวิส เพื่อนผู้มั่นคงของเขา


    ใต้ภาพของชายคนนั้นมีข้อความจากหนังสือพิมพ์ติดว่า ทหารหาญผู้กล้าเสียสละเพื่อชาติ เป็นผู้จุดระเบิดทำลายศูนย์ทดลองอาวุธข้าศึก ทำให้กองทัพฝ่ายตรงข้ามประกาศขอสงบศึกสงคราม


    อลันเฝ้ารออัสลานมาเยี่ยมบ้านของเขา แม้จะทำใจไว้แล้วว่าอัสลานอาจไม่มาตามที่บอก แต่เมื่อความจริงแล่นเข้าสมองกะทันหันเช่นนี้ ต่อให้เขาทำใจมาดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางรับไหว...


    เย็นวันนั้นอลันกลับบ้านอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง ในมือถือรูปที่ตัดจากหนังสือพิมพ์รูปนั้นมาตลอดทาง ชายหนุ่มมองกระถางดินเผาปลูกดอกป๊อปปี้สีแดง มีเกสรเหลืองทองอร่ามตาชวนมอง สีทองคล้ายลักษณะเฉพาะในดวงตาใครบางคน พวกมันกำลังบานสะพรั่งชูดอกเต็มภาคภูมิ เขาเดินช้า ๆ ไปหาพวกมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย ในความรู้สึกเหล่านั้นมีความโกรธแทรกอยู่มาก นี่เป็นครั้งแรกที่อลันโกรธดอกไม้พวกนี้


    เขาโกรธที่พวกมันยังชูช่อเชิดหน้าสู่ฟ้าได้อย่างสดใสไร้กังวลในวันนี้ วันที่คนคนนั้นลาลับจากเขาไปไม่หวนคืน


    อลันอยากดึงทึ้งพวกมันทิ้งให้หมด แต่สิ่งที่เขาทำ กลับเป็นการค่อย ๆ ถอนพวกมันอย่างเบามือออกจากกระถาง เพื่อพาไปปลูกลงดินในทุ่งดอกไม้


    อลันทรุดนั่งกลางทุ่ง เขาวางดอกป๊อปปี้ไว้บนพื้นข้างกาย พร้อมกับรูปภาพจากหน้าหนังสือพิมพ์ใบนั้น ใช้มือเปล่าทั้งสองข้างขุดดินในทุ่ง...จนความโกรธ ค่อยมอดไหม้เหลือเป็นความเศร้าหมองเต็มหัวใจ แล้วกลายเป็นหยดน้ำตาไหลหยดลงหลุมดินตรงหน้าในที่สุด


    อลันทรุดนั่งกลางทุ่ง เขาวางดอกป๊อปปี้ไว้บนพื้นข้างกาย พร้อมกับรูปภาพจากหน้าหนังสือพิมพ์ใบนั้น ใช้มือเปล่าทั้งสองข้างขุดดินในทุ่ง...จนความโกรธ ค่อยมอดไหม้เหลือเป็นความเศร้าหมองเต็มหัวใจ แล้วกลายเป็นหยดน้ำตาไหลหยดลงหลุมดินตรงหน้าในที่สุด


    เธอเดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่แบ่งปันกับลูกชาย นั่งลงข้างกองผ้าห่มกลางเก่ากลางใหม่บนเตียงของอลัน ชายหนุ่มซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มยิ่งกว่าเดิมเมื่อพื้นที่ข้างเตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของมารดา คล้ายไม่อยากเผชิญหน้าเธอ


    อะกาธาร์รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับลูก


    “ลูกเอาดอกป๊อปปี้ลงดินหรือจ๊ะ” เธอถามบุตรชายเสียงอ่อนโยน เลือกเปิดการสนทนาด้วยเรื่องในบ้านหวังให้เขาออกมาจากใต้ผ้าห่ม แล้วจะได้ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป


    “ครับ” เสียงใต้ผ้าห่มแหบแห้งจนอะกาธาร์แทบจับความไม่ได้ อลันงอขาข้างเดียวของตนชิดอก พยายามให้ตัวเองเล็กลง และยิ่งกอดขาแน่นขึ้นเมื่อมืออุ่นของแม่ทาบลงบนศีรษะผ่านชั้นผ้าห่ม


    “เพื่อนลูกจะไม่มารับพวกมันแล้วหรือ กำลังสวยเชียว” อะกาธาร์ถามต่อ หารู้ไม่ว่าคำถามนี้สะกิดปมที่เปราะบางของอลันอย่างจัง


    “อลันลูกเป็นอะไร ทำไมตัวสั่นอย่างนี้ เป็นไข้หรือลูก” เธอตกใจเมื่อสัมผัสแรงสั่นไหวใต้ผ้าห่ม แต่ไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งอลันก็ไม่เอ่ยปากตอบสักคำ สุดท้ายอะกาธาร์ต้องอ้อนวอนให้เขายอมโผล่หน้าให้เห็น


    “ออกมาเถอะลูก ให้แม่ดูหน่อยว่าลูกเป็นอะไร” เมื่อเสียงของมารดาเริ่มไม่สู้ดี อลันก็ยอมโผล่หน้าจากผ้าห่ม เธอจึงเห็นสภาพอ่อนแอไม่น่ามองของเขา


    อะกาธาร์เห็นดวงตาอลันบวมช้ำแดงก่ำก็รู้สึกปวดใจ เธอยกมืออังหน้าผากหวังจะวัดอุณหภูมิไข้ แต่หน้าผากอลันเย็นยิ่งกว่ามือของเธอเสียอีก อะกาธาร์ประคองใบหน้าลูก ตะแคงหารอยกัดหรือรอยผื่นคัน ปลายนิ้วจึงสัมผัสความชื้นบนแก้มของเขา เธอจึงรู้ว่าอลันไม่ได้ป่วยเป็นไข้กาย แต่เป็นไข้เจ็บที่ใจ


    อะกาธาร์รอยเกลี่ยน้ำตาให้ชายหนุ่มผู้กำลังอ่อนแออย่างเบามือ อลันในตอนนี้ดูไม่เหมือนชายหนุ่มอย่างที่ควรเป็น เขากลับไปดูคล้ายเป็นเด็กชายตัวเล็กสมัยวันวาน


    “อลัน เกิดอะไรขึ้น” อะกาธาร์ถาม พยุงเขาให้นั่งพิงหัวเตียง ทำให้ผ้าห่มที่คลุมถึงคอของชายหนุ่มร่วงไปที่ขา เผยให้เห็นแผลเลือดออกตามข้อนิ้วทั้งสิบ และปลายนิ้วถลอกแดงช้ำ


    “อลัน...” อะกาธาร์กำลังจะถามอีก แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค อลันก็ขัดเธอว่า “ผมไม่เป็นอะไรครับแม่” เธอมองรอยยิ้มตัดกับดวงตามัวหมองของลูกชายอย่างกังวล


    อลันเห็นความวิตกของมารดา จึงพยายามหาคำอธิบาย แต่คิดจนหัวแทบแตกก็พูดได้เพียง “ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ ครับแม่ ผมแค่...” ต่อจากนั้นสมองของเขาก็ว่างเปล่า ไม่อาจคิดแต่งเรื่องราวใดโกหกให้มารดาสบายใจ


    เขาไม่อยากพูดถึงการจากไปของอัสลาน แม้จะยอมรับความจริงได้ แต่การเอ่ยความจริงออกไปนั้นยากยิ่งกว่าการทำใจ


    เขาทำใจมานานแล้วว่าอัสลานอาจไม่กลับมาจากแนวหน้า แต่การได้ติดต่อกันทางจดหมายนานปี ทำให้เขาเคยชินกับความสม่ำเสมอมั่นคงว่าจะได้จดหมายตอบกลับ จนลืมไปว่าอัสลานกำลังออกไปเสี่ยงชีวิตอยู่ทุกวัน


    เขาเคยชินกับความมั่นคงที่อัสลานมอบให้ เคยชินจนตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ ๆ ความมั่นคงนั้นพลันสลายไป คล้ายนกน้อยบนต้นไม้ใหญ่ที่บินออกไปหาอาหารแล้วกลับมาไม่พบต้นไม้ใหญ่ เพราะมีคนมาโค่นมันไปจนเหลือแต่ตอ ไม่อาจพึ่งพิงได้อย่างเคย


    เช้านั้นอากาศดี บนฟ้าสดใส เมฆาน้อยใหญ่ลอยล่องยอแสงตะวัน ส่วนบนผืนพสุธากลางทุ่งดอกไม้เบื้องล่างนั้น ลมหอบหนึ่งพัดผ่านมาทายทักพักคุยกับดอกป๊อปปี้สีแดงแรกแย้มรับแสงตะวัน เดอายืนอยู่ตรงนั้น ข้างดอกไม้แสนงามเหล่านั้น ฟังเสียงสะอื้นไห้ที่แว่วมาจากบ้านไม้


    หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้า ที่จริงเธออยู่กับอลันตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่ความโกรธเศร้าหมองใจบดบังหูตาของเขาจนชายหนุ่มไม่เห็นหรือได้ยินเสียงเธอเรียกชื่อเขา




    “อลัน...” เดอาเรียกชายหนุ่มที่ทรุดร่างอยู่บนพื้นทุ่ง


    เขาไม่ตอบ


    “อลัน หยุดเถอะ” เธอร้องห้าม เมื่อเห็นมือของชายหนุ่มถลอกแดง แต่อลันยังใช้มือเปล่าขุดดินไม่หยุด แผ่นหลังของชายหนุ่มไหวสะท้านทุกขณะขุดมือลงเนื้อดิน เขากัดฟันแน่นข่มเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร


    “อลัน พอได้แล้ว! มือเลือดไหลแล้ว อลัน” เดอาร้องห้าม เธอพยายามเข้าไปยึดมือเขา แต่ราวกับเธอเป็นแค่ฝุ่นผงเกาะเสื้อผ้า ชายหนุ่มไม่ซวนเซหรือขยับตามแรงของเธอเลย เป็นเธอเสียอีกที่ขยับตามแรงของเขา เหมือนขนนกปลิวลม


    นานร่วมสามชั่วโมงเขาจึงหยุดขุด แต่ยังนั่งคุกเข่าอยู่เช่นเดิม เดอาเห็นอลันหยุดพักก็ละมือออกจากมือเขา เดอาคิดเรียกชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก อลันก็วางบางอย่างลงในหลุม มันเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ใบหนึ่ง


    หญิงสาวมองกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ยับเยินยู่ยี่ เลอะเทอะเศษดินในหลุมใบนั้น แล้วตระหนักได้ว่าใบหน้าบนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นของใคร


    “…อลัน” เดอาเรียกชายหนุ่มเสียงแผ่ว


    “…อัสลาน” ขณะเดียวกับที่อลันเรียกชื่อคนบนหน้าหนังสือพิมพ์เสียงแหบแห้งอ่อนระโหยโรยแรง




    เดอารีบเงยหน้ามองหมู่เมฆลอยเล่นแสงตะวัน...วันนี้ไม่มีเค้าความมืดครึ้มของเมฆฝนแต่อย่างใด




    TBC

    ......................................................

    แล้วเจอกันค่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in