หมายเหตุ : มีการสลับโพในบางตอน
Rate : R
มันช่างเนิ่นนาน...
เป็นเรื่องก่อนที่อ๊อดจะเกิดมานานแสนนาน...
หลังจากที่พรานทมิฬได้เข้าเฝ้าเทหะยักษา และได้อยู่คอยรับใช้ในฐานะนักล่าที่เก่งกาจที่สุดเรื่อยมา หลายต่อหลายครั้งที่พวกนางยักษ์ มนุษย์ หรือเผ่าอื่นๆจะต้องเข้าไปบำเรอท่านท้าวเทหะยักษา แต่ด้วยกำลังที่มากและความรุนแรง ท่านอยากจะเสพสุขกับใครก็มีอันต้องทำให้บาดเจ็บหนักหรือปางตายไปซะหมด จนหลายๆครั้ง ก่อนที่เจ้ากรุงนครคีรีกัณฑ์จะได้เสร็จสมอารมณ์หมายนางบำเรอก็ตายไปซะก่อนแล้ว
เรื่องนี้เริ่มแพร่ขยายไปยังยักษ์และมนุษย์ในวังหลายฝ่ายและสร้างความไม่พอใจให้กับยักษ์บางตนอยู่บ้าง แต่ด้วยความเกรงกลัวในอำนาจของเทหะยักษา จึงยังไม่มีใครกล้าพอที่จะแสดงความเห็นหรือกระทำการใดๆ
กลางดึกของคืนหนึ่ง ที่เมืองยักษ์ทั้งเมืองอยู่ในความเงียบสงัด เสียงกระพือปีกของสกุณเหราทำให้เทหะยักษาลืมตาขึ้นมากลางความเงียบนั้น
“...ขออภัยขอรับท่านจ้าว ข้ามารายงานตามที่รับสั่ง”
พรานทมิฬยืนหันหลังอิงขอบหน้าต่างอยู่ด้านนอก เผยให้เห็นเพียงแค่เงาจากขนปีกที่คลุมไหล่เท่านั้น ทารคาชันตัวขึ้นมาจากแท่นบรรทมแล้วฟังเสียงรายงานจากเงาตรงกรอบหน้าต่างเงียบๆ
“พวกมันยังคงลำเลียงอาหารเข้าไปในค่ายเรื่อยๆและคิดว่าทางเรายังไม่รู้ตัว นอกนั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ”
“...วันนี้เจ้าได้ปะทะกับพวกมันมาหรือไม่” สุ้มเสียงใหญ่แสดงถึงอำนาจกล่าวขึ้น
“...แผลของข้าจากคราวก่อนยังไม่หายดีเท่าไหร่ ครั้งนี้ข้าจึงเร้นกายไม่ให้พวกมันเห็น แต่ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส ข้าจะค่อยๆลดจำนวนพวกมันลงดังคราก่อน ขอท่านจ้าวจงวางใจ”
“เจ้าเข้ามาหาข้าตรงนี้ซิ”
สิ้นเสียงของเจ้ากรุงนคร พรานทมิฬยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะที่ผ่านมาเมื่อเขารายงานข่าวสารเสร็จก็จะหมดหน้าที่แล้วเทหะยักษาก็จะบอกให้เขากลับไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเรียกให้เข้าหา
ร่างสีม่วงเทาได้เดินออกจากเงามืดอย่างช้าๆ แผลเป็นตามตัวยามต้องกับแสงจันทร์ทำให้ดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด พรานทมิฬค่อยๆปลดหน้ากากออกระหว่างเดินเข้ามา และคุกเข่าอยู่ตรงแทบเท้าเทหะยักษา
“ข้ามีงานอีกอย่างจะให้เจ้าทำ ที่นอกเหนือจากการลอบฆ่า” ทารคาจับหน้าของพรานทมิฬให้เงยขึ้นเพื่อให้ฟังคำของเขา
“ไม่ว่างานอะไรถ้าเพื่อท่านจ้าวแล้วข้าขอน้อมรับ เชิญท่านบัญชาได้เลย” ดวงตาสีเหลืองเข้มที่ซ่อนในเงามืดฉายแววมุ่งมั่นเฉกเช่นเดียวกับคำพูด
เทหะยักษายิ้มที่มุมปากแล้วพรางปลดเกราะที่ไหล่ของพรานทมิฬออก
“จงใช้ร่างกายอันอดทนและเหมาะกับการต่อสู้ของเจ้าเพื่อข้าซะ ข้าเชื่อว่าเผ่าทมิฬเช่นเจ้าน่าจะทนการสมสู่กับข้าได้จนจบเป็นแน่แท้”
ยังไม่ทันที่คำพูดจะกลืนหายไปในลำคอ ทารคาคว้าคอพรานทมิฬแล้วยกขึ้นกระแทกกับกำแพง พลันก้มลงฝากคมเขี้ยวไว้ที่คอสีม่วงเทาอย่างเต็มแรงจนมีเลือดซึมไหลออกมาจากรอยนั้น
“อะ!!”
ร่างสูงผอม ตัวเกร็งแข็งทื่อด้วยความตกใจ สองมือเผลอดันตัวเทหะยักษาออก เล็บอันคมยาวจึงบาดเข้ากับลำตัวสีมรกตอย่างไม่ตั้งใจ
“ไม่ต้องตกใจไป ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้า” ทารคาพูดพลางใช้ลิ้นเลียเลือดที่ผุดออกมาตามซอกคอ พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งข้างหู
“มันคงไม่ดีแน่ถ้ามีศพของนางบำเรอทั้งมนุษย์และยักษิณีออกจากห้องข้าทุกวันทุกคืน แล้วข้าก็ไม่เคยได้เสร็จสมอารมณ์หมาย เหล่ายักษาภายใต้บัญชาข้าคงจะลุกฮือขึ้นมาสักวัน”
ทารคาพูดพลางพลิกตัวพรานทมิฬให้หันหน้าเข้าหากำแพง มือใหญ่หนาสีมรกตพยายามปลดทุกสิ่งอันบนตัวพรานทมิฬออก
“แต่เผ่าทมิฬเช่นเจ้า...คงไม่ทำให้ข้าผิดหวังเป็นแน่แท้” สิ้นเสียง ยักษาก็บดเบียดกายเข้าไปในร่างของพรานทมิฬ
“อะ—”
ความร้อนที่รุกรานเข้ามาเป็นครั้งแรกทำให้พรานทมิฬสะดุ้งสุดตัว แต่เทหะยักษาคว้าคอระหงไว้ แล้วใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่าทาบทับและถาโถมแรงลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า..ครั้งแล้วครั้งเล่า
น้ำใสๆปนสีเลือดจางๆไหลลงมาจากหว่างขาทมิฬ น้ำหล่อลื่นค่อยๆออกมามากขึ้นจนหยดลงบนพื้น เทหะยักษากระแทกซ้ำอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายตอดรัดเขาจากภายใน
“ฮ่า..า..เจ้า..ไม่ต่อต้านข้ารึพรานทมิฬ”
ราชาเจ้านครรบเร้าถามจากด้านหลังพลางบดเบียดเข้ามาให้ลึกขึ้นอีก
ร่างสีม่วงเทาค่อยๆหันมาพร้อมชายตาสีเหลืองดำมอง
“ข้า..ขอให้ข้าได้มีประโยชน์กับท่าน ข้าก็..อะ..พอใจแล้ว”
“หึ....ดี..” ทารคาแสยะยิ้มให้กับคำพูดเอาใจที่มือขวาที่แสนภักดีมอบให้ พลางขยับตัวเร็วขึ้น จนเสียงหอบหายใจ และความชื้นเหงื่อของทั้งคู่คลุมบรรยากาศโดยรอบ
คืนนั้นพรานทมิฬโดนทำสารพัด ทุกอย่างที่ไม่เคยได้ทำกับคนอื่นๆเพราะแทบทุกคนและทุกตนจะชิงตายไปเสียก่อน แต่ไม่ใช่กับคนเผ่าทมิฬเช่นเขา
ขนปีกสีเขียวดำของสกุณเหราปลิวร่วงลงมาที่พื้นอย่างช้าๆ ก่อนจะถูกลมที่พัดจากการกระพือของมันพัดไกลออกไป พรานทมิฬกระโดดลงจากหลังของเพื่อนคู่ใจอย่างคล่องแคล่ว พลางลูบที่คอของสกุณเหราอย่างนุ่มนวล ลูกครึ่งนาคและนกตนนี้โน้มคอลงมาพาดที่ไหล่เหมือนเป็นการทักทายและทันใดก็ถีบตัวบินสูงลิบขึ้นไปไกล ปล่อยให้ร่างผอมสีม่วงยืนมองส่งในความมืด
“ส่งคนออกไปแจ้ง อีกสองเพลาเราจักเดินทัพเข้าโรมรัน และในวันที่สามข้าจะเป็นผู้กรีฑาทัพด้วยตนเอง”
ท้าวเทหะยักษาสั่งการม้าเร็วเพื่อส่งข่าวไปยังชายแดนที่กำลังล้อมเมืองอยู่
ช่วงเวลาโผล้เผล้ยักษ์ทุกตนเริ่มกลับเข้าที่พำนักของตน ทารคาก็เช่นกัน เขาเดินผ่านโถเปลวไฟสีฟ้าที่โถงใหญ่พลางเห็นขนนกสีดำปลิวอยู่ไม่ไกล
“มาถึงแล้วทำไมไม่มารายงานตัวกับข้าทันที” ทารคาพูดขึ้นมาลอยๆ ทั้งๆที่ยังเดินอยู่
คนเดียวพร้อมกับก้าวเท้าเร็วขึ้น ทันใดก็เผยให้เห็นเงาเท้าอีกคู่ที่ออกมาจากเงามืดเดินตามติดมาจากด้านหลัง
“ขออภัยท่านจ้าว... ข้าไม่ใคร่รู้ว่าท่านเรียกตัว” ร่างสีม่วงเทาพูดพลางถอดหน้ากากไปด้วย
“เรียกหรือไม่เรียกเจ้าก็ควรมาหาข้าทันทีที่กลับมา!” เทหะยักษากึ่งพูดกึ่งตะคอกพลางถอดเครื่องทรงของตนเองออกเมื่อถึงห้องพระราชฐานชั้นใน พรานทมิฬเดินตามเข้ามาและหยุดยืนอยู่ตรงประตู เขาไม่กล้าเข้าไป เพราะครั้งก่อนมียักษ์ตนหนึ่งรีบร้อนผลีผลามมาแจ้งข่าวโดยไม่ขออนุญาต ท้าวเทหะยักษาถึงกับลงแรงทุบมันจนกะโหลกแตกกระจาย เดือดร้อนไปถึงคนทำความสะอาดที่ต้องมาลากซากออกไป
“พรานทมิฬ” ท่านจ้าวเรียกหาและผายมือมาที่เขา
“ปิดประตูแล้วมาหาข้าซิ ข้ามีงานจะให้เจ้าทำ” รอยยิ้มเล็กๆผุดที่มุมปาก เผยอให้เห็นเขี้ยวของยักษาอย่างชัดเจน
อา…..ข้าคงรอให้ใครเรียกข้าอยู่เป็นแน่…
ความร้อนระอุคับเต็มอยู่ในโพรงปากของพรานทมิฬ เขานั่งอยู่ที่พื้นบรรจงทำอย่างตั้งใจ โดยแอบเหลือบมองทารคาที่นั่งอยู่บนปลายแท่นบรรทมเป็นพักๆ
ถึงจะบอกว่าเป็นงาน แต่ทารคาที่ร้อนรุ่มขนาดนี้ก็มีแต่เขาเพียงผู้เดียวที่ได้เห็น ไรผมที่ทัดหูไว้กับเหงื่อที่เริ่มเปียกชื้น เอวที่ดูบางกว่าที่คิดกำลังขยับตามการใช้ลิ้นของเขา และเรียวขาที่เขากำลังจับอยู่นี้ก็เริ่มทำให้เขาคลั่งอยู่ในใจเล็กๆ
“ท่านจ้าว... ท่านจะนอนลงก็ได้นะ เพื่อความสบายตัวของท่าน”
ทารคาหายใจหอบและลืมตาสีโลหิตขึ้นมามองตามเสียงเรียก บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกดีขนาดนี้ เพราะทุกคนมาด้วยความยำเกรงและกลัวเกรง แทบไม่มีใครเลยที่”ทำ”ให้เขาโดยนึกถึงเขา
เทหะยักษาล้มตัวลงตามคำบอก เพราะที่นั่งอยู่ตอนแรกก็ค่อนข้างฝืนแรงพอควร มันรู้สึกตัวเกร็งและเสียวปลาบจนเหมือนจะเป็นอัมพาตแต่ก็สุขสมไปพร้อมๆกัน
พรานทมิฬเห็นนายเหนือหัวล้มตัวลงอย่างว่าง่ายก็แอบยิ้มในใจปนเอ็นดู
เขาบรรจงครอบปากลงบนจุดอ่อนไหวของท้าวเทหะยักษาอีกครั้ง ยักษ์เขียวสะดุ้งเล็กน้อยในความมืดที่พอมองเห็น เขาค่อยๆเลียจากโคนขึ้นมาจรดปลายและใช้ลิ้นดุนตรงส่วนหัวพร้อมกับกดลงไปจนมีน้ำใสปริบออกมา
“อะ!”
สะโพกของทารคากระตุกขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ พรานทมิฬเห็นดังนั้นจึงใช้มือรูดขึ้นลงอย่างช้าๆและค่อยๆเพิ่มความเร็ว ลิ้นที่ว่างอยู่จึงเลื่อนลงมาเลียสองอัณฑะที่อยู่ด้านล่างจนเปียกชุ่ม
“ฮะ!...อะ...อืม…”
ร่างยักษ์สีมรกตกระตุกจนเกร็งไปทั้งตัว ทั้งๆที่คิดว่าจะกลั้นเสียงไว้แล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้
พรานทมิฬทั้งดูดทั้งดุนสลับกัน เขาจับขาทั้งสองข้างของทารคาพาดบนบ่าไว้เพื่อความสะดวก
...วันนี้ช่างต่างไปจากทุกที ทุกครั้งข้าจะเป็นคนกำหนดว่าจะทำเยี่ยงไร แต่ครั้งนี้พรานของข้าเสนอว่าอยากจะทำให้ข้าผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าทั้งหลาย ไหนจะงานที่ต้องคอยสั่งการยักษาทั้งปวง ไหนจะมารตาที่นับวันเริ่มจะต่อต้านข้าในทุกๆเรื่อง…
“ฮะ!! อ๊—”
พรานทมิฬงับดุนถุงอ่อนนุ่มด้านล่างจนไปโดนกับจุดๆนึงเข้า ทำให้กล้ามเนื้อของยักษ์มรกตกระตุกไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เรื่องที่คิดอยู่ในสมองพลันมลายหายไปหมดสิ้น
ทมิฬเลียไล้ลงมาเรื่อยจนเจอน้ำใสที่ออกมาจากช่องทางด้านหลัง เขาลองเลียและใช้ลิ้นดุนดูอย่างใคร่รู้ ทารคารู้สึกเสียวปลาบไปทั้งตัวเหมือนไฟแล่นช๊อต
ที่เขาทำกับทุกคนมามันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน
“อะ…….”
ทมิฬแอบสังเกตุเห็นท่านจ้าวพึงพอใจจึงลองใช้ลิ้นล้วงลึกเข้าไปในช่วงทางด้านหลัง
“ดะ..เดี๋ย..อะ..” ยังไม่ทันจะได้ทักท้วง ความเปียกชื้นก็ล้วงลึกเข้าไปตวัดกวัดแกว่งอยู่ภายใน ทารคาเกร็งตัวและหนีบขาเข้าหากัน ทมิฬยกสะโพกของทารคาขึ้นนิดนึงเพื่อองศาที่เขาจะเข้าไปโลมเลียได้สะดวก
ทมิฬรู้สึกถึงน้ำใสๆจำนวนมากที่กำลังหลั่งออกมาสวนทางกับลิ้นของเขาจากช่องทางด้านหลัง. ทันใด!หลังฝ่ามือของทารคาก็ฟาดลงมาที่หน้าทมิฬเต็มแรง!
ทมิฬกระเด็นไปติดกำแพงเยื้องปลายแท่นบรรทม
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบก้มลงกราบขอขมา
"ขออภัย..ท่านจ้าว….ข้าเห็นท่านพึงพอใจเลยเผลอ..."
"ออกไป!!!"
ทารคายืนขึ้นแผดเสียงอันเปี่ยมอำนาจพร้อมกับร่างเปลือยเปล่าที่มีน้ำใสไหลออกมาจากจุดเร้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว มือที่กำแน่นนั้นสั่นอย่างสะกดอารมณ์ จนเลือดในมือหยดลงพื้น
หลังจากวันนั้นเทหะยักษาก็ไม่เคยเรียกทมิฬไปเพื่อเรื่องนี้อีกหลายวัน…
จากวัน..กลายเป็นเดือน….
พรานทมิฬยังรับคำสั่งและไปรายงานผลตามปกติ ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติเสมือนเรื่องระหว่างพวกเขานั้นไม่เคยเกิดขึ้น….
“ท่านพี่!” น้ำเสียงรีบร้อนดังขึ้นภายในราชวังอันเงียบสงบ
“ใครเห็นท่านพี่บ้าง!” อสูรสีชาดหรือพระมหาอุปราช รีบซอยเท้าเข้ามายังท้องพระโรงอย่างเร็ว พร้อมกับทวงถามคนในวังไปทั่ว
ให้ตายเถอะ!ก่อนหน้านี้อยู่ๆก็ดูสงบๆดี ไหงช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ชักจะอาละวาดหนักข้อขึ้นทุกวัน ทั้งนางสนมนางกำนัลอะไรก็เอาไม่อยู่ซักคน...หวังว่าคงไม่ได้ไปทำใครตายอีกนะ…
“ข้าเห็นท่านเทหะยักษาเดินไปทางท้ายวังพระเจ้าข้า” ยักษาตนหนึ่งตอบไล่หลังพระมหาอุปราชที่กำลังรีบร้อนจนหัวหมุนไปทั่ว พลางชี้มือไปทางท้ายวัง
ได้ฟังดังนั้นอสูรสีชาดถึงกับยืนนิ่งคิด ...ท่านพี่ไปทำอะไรที่ท้ายวัง...ที่นั่นถ้าไม่เป็นที่พักของทหารก็มีแต่คอกม้า คอกสัตว์เท่านั้นเอง
ณ ท้ายวัง
พรานทมิฬนอนไกวเท้าอย่างสบายอารมณ์อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไป พลันแว่วเสียงพวกยักษ์เอะอะกันด้านล่าง จึงชะโงกลงมาดู เผื่อมีเหตุการณ์อันใดเขาจะได้รีบจัดการได้ทันก่อนที่จะรู้ไปถึงหูคนในวัง
พลางสายตาก็ส่องไปเห็นท่านจ้าวเทหะยักษาเดินอยู่ท่ามกลางพวกทหารยักษ์ทั้งหลายที่กำลังดูทำตัวไม่ถูกหรือไม่ก็ประจบสอพลอกันใหญ่
เขาดูหันไปมาเหมือนมองหาอะไรซักอย่าง ชั่วครู่ก็เดินกลับเข้าวังไป
พรานทมิฬได้แต่มองตามจนลับตา พลางคิด
….ท่านจ้าวมาทำอะไรในที่แบบนี้กัน
ตะวันคล้อยต่ำเย็นย่ำสุริยา ร่างสีม่วงเทากำลังย่างเท้าเดินเข้าไปในป่าเพื่อไปหาสกุณเหราตามปกติ ถึงแม้ว่าเขาจะมีห้องพักภายในรั้ววัง แต่การได้ไปนอนหลับอยู่ในรังของสัตว์เลี้ยงคู่ใจนั้นทำให้เขานอนหลับได้สนิทใจกว่าที่ไหนๆ หรืออาจจะเป็นเพราะความเป็นเผ่าทมิฬของเขานั้นมันเรียกร้องที่จะใช้ชีวิตอยู่ในป่ามากกว่าในวังของยักษาก็เป็นได้
“ประเดี๋ยวก่อนท่านพรานทมิฬ! ท่านเทหะยักษาเรียกหาให้เข้าเฝ้า”
ทมิฬหยุดชะงัก และค่อยๆหันไปมองตามต้นเสียง เขาไม่คิดว่าจะมีการเรียกให้เข้าเฝ้าอีก
ไม่คิดว่า...จะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอีกครั้ง...
ประตูห้องบรรเทาของท่านเจ้าเปิดอยู่ ทมิฬยืนอยู่หน้าธรณีประตูและมองเห็นเทหะยักษายืนหันออกนอกหน้าต่าง พลันเห็นเป็นเงาสีเทาดำน่าเกรงขามพร้อมเกษาสีแดงเข้มปลิวไปตามลม
“วันนี้ข้าไม่ได้สั่งการเจ้าไปที่ใด แล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา” ทารคาเอ่ยเสียบเรียบแต่แฝงไปด้วยความขุ่นข้อง
พรานทมิฬเดินเข้ามาภายในห้องตามเสียงที่เอ่ยถาม
“ข้านอนอยู่บนต้นไม้พะยะค่ะ….หรือว่า..วันนี้ท่านจ้าวไปตามหาข้าด้วยตนเอง”
“เปล่า…...ข้า..แค่ไปตรวจตราตามปกติเท่านั้น”
พรานทมิฬที่อาศัยอยู่ที่นั่น ยังแอบคิดว่าร้อยวันพันปีข้าไม่เคยเห็นท่านเฉียดไปท้ายวังเลยซักครั้ง…..
พรานทมิฬเดินมาคุกเข่าที่แทบเท้า จนจ้าวครองนครหันหน้ามาหา
“ท่านจ้าว ข้าขอโทษกับสิ่งที่ข้าทำในครั้งสุดท้ายที่เราพบกันที่ห้องนี้ ข้าไม่คิดว่าจะทำให้ท่านพิโรธแต่อย่างใด” พูดจบ พรานเพียงหนึ่งเดียวของคีรีกัณฑ์ก็จรดจูบลงบนฝ่าเท้าของเทหะยักษา
“ข้าไม่ได้โกรธอันใด...เจ้าลุกขึ้นเถอะ..” ทมิฬเงยมองหน้าท่านจ้าวด้วยสีหน้ากังวลใจ
ทารคาจ้องมองดูแผลที่เขาเป็นคนฝากไว้ที่ใบหน้าของทมิฬเมื่อวันนั้น นับว่าเขายั้งมือได้ทันแล้ว ถึงเป็นแค่รอยแผลเป็นที่ยาวเกือบครึ่งหน้า
“เพื่อยืนยัน..ข้าจะให้เจ้าทำแบบเดิมอย่างวันนั้นและข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก...”
สิ้นเสียงยักษาก็เดินมานั่งที่ปลายแท่นบรรทมพร้อมกับถอดเกราะของตนออก
“ท่านจ้าว..ข้าไม่อยากให้ท่านฝืนใจ..” แค่ให้ตนได้อยู่ข้างๆ ได้คอยรับใช้ห่างๆก็ดีเท่าไหร่แล้ว นับตั้งแต่เทหะยักษาได้รับเขาเข้ามาในนครคีรีกัณฑ์มันไม่ใช่แค่การให้ที่อยู่อาศัย แต่มันเป็นการให้ตัวตน ให้จุดยืน ที่เผ่าทมิฬคนสุดท้ายอย่างเขาจะได้มีที่ยืนอย่างผ่าเผยไม่ต้องหลบซ่อนและถูกล่าอีกต่อไป
“ข้าไม่ได้ฝืนใจ!!” เทหะยักษาก้มหน้าหันไปอีกทางอย่างหัวเสีย ...ความเกลียดชังและก้าวร้าวมักจะเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวเขาเสมอ และไม่มีใครที่จะมาล่วงรู้ความรู้สึกของเขาได้ ..แม้แต่ตัวเขาเอง แต่เขา จะไม่มีวันทำเรื่องที่จะต้องฝืนสัญชาตญาณตัวเองที่บอกเขาว่า..ถ้าไม่ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างวันนี้อาจจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตอันเนิ่นนานนี้..
ร่างผอมก้าวลงมานั่งที่ด้านหน้าของยักษ์มรกต พลางยกมือขึ้นจับที่ใบหน้าเจ้าของเรือนผมสีเพลิง
“...ท่านจ้าว...ไยท่านจึงดูเศร้านัก..”
“......ไม่ใช่กิจอันใดของเจ้า จงทำเท่าที่ข้าสั่งซะ…”
เหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งอย่างที่เคย แต่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบและแววตาที่พรานทมิฬเห็น เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นคำขอร้องเสียด้วยซ้ำ
ทมิฬเลิกโจงกระเบนขึ้น เขาใช้มือคลำไปอย่างคุ้นชิน รู้ในจุดที่จะทำให้ท่านจ้าวของเขารู้สึกดี บางทีก็ลองทำอะไรอีกหลายอย่าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าครั้งนี้จะโดนตบอีกมั้ย เพราะการที่เขาทำตามใจครั้งที่แล้วโดยไม่ขออนุญาตใดๆก่อน แต่โดนแค่หลังมือฟาดอัดกำแพง เทียบกับคนอื่นที่ทำอะไรผลีผลามลงไปกลับโดนบีบสมองจนเละคามือนั้น มันทำให้ทมิฬอมยิ้มร้ายๆอย่างได้ใจว่าเขาก็เป็นที่โปรดปรานอยู่ไม่น้อย...
เขาจึงลองทำตามใจอย่างครั้งที่แล้ว ลองใช้ลิ้นดุนดันในจุดซ่อนเร้นด้านหลัง ได้ผล..ท่านจ้าวของเขาตัวกระตุกขึ้นในทันใดอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางที่พยายามอดกลั้น แต่ก็ยังไม่มีการสั่งห้ามให้หยุด
ลิ้นของร่างสีม่วงตวัดไปมาอย่างแผ่วเบา บ้างดุนดัน บ้างลากไล้ บ้างดูดคลึงในจุดเร้า จนเขาเริ่มรับรู้ความฉ่ำน้ำจากภายในที่ค่อยเอ่อล้นออกมา เขาเหลือบมองทารคาที่นอนอยู่ ผมสีแดงสยายอยู่เต็มผืนเตียง พลางเห็นเขี้ยวแหลมๆที่กำลังกัดแขนตนเองอยู่จนเลือดซิบ
พรานต้องละออกมาจากการไต่ระดับอารมณ์อย่างช่วยไม่ได้
"ท่านจ้าว..ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ไม่มีใครผ่านมาในเพลานี้ ที่นี่มีแค่ข้ากับท่านเท่านั้น" ดวงตาแข็งขืนสีอำพันไม่ได้ตอบใดๆ ทมิฬจึงก้มลงใช้ปากครอบส่วนร้อนของทารคาไว้อีกครั้ง ลองใช้นิ้วคลึงเล่นที่จุดเร้นด้านหลัง... ลองใส่น้ำหนักนิ้วดันเข้าไปเพียงน้อยนิด..
“อะ! อ๊าาาาาา!!”
ทารคาสะดุ้งเฮือกสุดตัวพร้อมกับรับความเสียวสะท้านไปทั่วร่าง
ทมิฬลองดันนิ้วเข้าไปให้ลึกขึ้นอีกนิด ร่างสีมรกตเกร็งจนสั่นสะท้านถี่ เขาค่อยๆถอนนิ้วออกมาอย่างช้าๆ ร่างหนาสีเขียวก็ค่อยๆผ่อนแรงตาม ทมิฬทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น จนทารคาเริ่มขยับตามนิ้วของเขาด้วยตัวเองเมื่อไหร่ไม่รู้
"ท่านจ้าว.. ข้าขอถือวิสาสะ"
พูดจบทมิฬก็เลื่อนตัวขึ้นมาและเลียยอดพระถันที่ชูชันของทารคา ทารคาเบือนหน้าไปอีกทาง สีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความสุขสม
ทมิฬเห็นปอยผมสีแดงพาดผ่านจากไรหูมายังต้นคอเปลือยเปล่าก็ไล้ลิ้นขึ้นมาจากไหปลาร้า ยาวไปยังติ่งหูและขบเม้มอย่างเร้าอารมณ์พร้อมขยับนิ้วที่โดนตอดรัดอยู่ด้านล่างให้ลึกขึ้น. เร็วขึ้น…
“อ๊าาา…..”
ทารคาร้องออกมาอย่างไม่สามารถกลั้นไว้ได้ น้ำขุ่นขาวพุ่งออกมาอย่างไม่คาดคิด
"เจ้า!!"
ทารคาหันมาสบตากับทมิฬทั้งๆที่ยังนอนอยู่ หลังจากความอัดอั้นได้พุ่งออกมา
จนเลอะทมิฬเต็มตัว
นิ้วทั้งสามนิ้วของทมิฬยังโดนตอดรัดจากร่างยักษ์เขียวอยู่ ถึงแม้ว่าจะปลดปล่อยออกไปแล้วก็ตาม ทมิฬขยับนิ้วเข้าออกอย่างเร็วขึ้น
“อะ.. ฮ้า...อ๊าาาา ดะ..เดี๋ยว...หยุด..”
ทารคาได้แต่บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวยแต่นิ้วมือของทมิฬก็ได้หาหยุดไม่
"ถึงจะปลดปล่อยไปครั้งนึงแล้วแต่ยักษาที่เสพสมจนคู่นอนของท่านตายไปนักต่อนักคงยังไม่พอแค่นี้หรอก"
เสียงแหบสากพูดอย่างร้อนใจ พรานทมิฬสอดใส่ความร้อนรุ่มของตนเข้าไปจนสุด
“อะ!อ๊าาาาา ฮะ! อะะะะ———”
ร่างสีเขียวบิดเกร็งจนสุดตัวภายใต้ร่างผอมสีม่วง มือคว้าจิกผ้าที่อยู่บนแท่นบรรทมไว้แน่น ทุกอย่างช่างขาวโพลน ความรู้สึกที่แก่นกลางกายแล่นเสียวปลาบมาจนถึงยอดอก เสียงความฉ่ำเยิ้มที่โดนรุกล้ำดังขึ้นมาอย่างกระชั้น ..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..จนแม้แต่เขาเองที่ได้ยินเสียงก็ไม่อยากเชื่อว่านั่นคือเสียงแห่งความสุขสมที่เขาได้รับจากพรานคนนี้
“อ—..ท่านทารคา..” ทมิฬขยับตัวอย่างเร็วและแรงราวกับไม่สามารถควบคุมความรู้สำนึกของตนได้
“ท่าน..คงไม่รู้ว่าบางครั้ง..อะ..ข้าก็มองท่านด้วยสายตาที่ปรารถนาเหลือเกิน” เขาโน้มตัวไปข้างหน้ามากขึ้นและขยับแรงมากขึ้น
ทารคาเอื้อมมือคว้าคอของทมิฬไว้ ทมิฬชะงักพร้อมกับเสียวแปลบจากการตอดรัดรุนแรงของอีกฝ่าย
“ไยข้าจะไม่รู้..เจ้าเห็นข้าโง่เง่านักรึ!”
พรานเบิกตาพื้นดำโพลง ริมฝีปากบางสั่นอย่างเสียไม่ได้ พลางน้ำใสรื้นคลอที่ขอบตา เขาทำหน้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน พลางจ้องมองเข้าไปในตาสีอำพันที่เหมือนกันของตนตรงหน้า
มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บสีบานเย็นเข้มยกขึ้นมาแตะที่แก้มและริมฝีปากของจ้าวครองนคร
ทารคาจับมือนั้นไว้แล้วเอียงหัวมาจุมพิตมันเบาๆ
“....เป็นอะไรไปล่ะพรานของข้า..”
เสียงทุ้มแต่กระเส่าเปล่งขึ้น มือชื้นไปด้วยเหงื่อของอารมณ์
เขาเห็นทมิฬนิ่งไปจึงโน้มคอของอีกฝ่ายลงมาเลียที่ริมฝีปาก ลากไล้ยาวไปตามแนวแผลเป็น..จนถึงน้ำตาที่กำลังหยดลงมา
พรานทมิฬหลับตาลง และบดเบียดจูบอันร้อนแรงยิ่งกว่าคืนไป
น้ำใสเจือด้วยสีเลือดเชื่อมระหว่างเขี้ยวของทั้งสอง ...ถึงการจุมพิตจะทำให้เกิดบาดแผลซึ่งกันและกันแต่ความสุขสมก็บดบังความเจ็บนี้จนหมดสิ้น
……………………….
ตราบใดที่ท่านยังคิดว่าข้าสำคัญ... จำเป็นต่อท่าน ..อยากให้ข้าอยู่ข้างกาย
ข้าจะเป็นพรานของท่านเสมอ...
ตราบใดที่เจ้ายังไว้ใจข้า ซื่อสัตย์ต่อข้า
ข้าจะเป็นที่พักพิงและเป็นโลกทั้งใบให้เจ้า พรานทมิฬ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in