Artist: eaJ (Jae of Day6)
อีกครั้งแล้วสินะที่เราจะขายโปรเจค eaJ หรือ อีจ หรือ คุณเจ จากวง Day6 วันนี้เอาอีกเพลงของคุณเขามาฝากกันอีกแล้ว เนื่องจากหยุดนึกถึงไม่ได้ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เลยอยากมาเขียนเก็บไว้ตรงนี้เลยดีกว่า ใครบังเอิญผ่านเข้ามาก็มาฟังกันนะคะ รับประกันความพึงพอใจหลังการกดปุ่มเล่นเพลง
เพลง Rose เป็นอีกเพลงนึงที่เราชอบมาก ๆ จากโปรเจคโซโล่ของคุณเจเลย เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่เขายกเอาทั้งความรู้สึกและมุมมองชีวิตมาใส่ไว้ในหนึ่งนาทีกว่า ๆ ได้เป็นอย่างดีเลย โดยเพลง Rose นี้ค่อนข้างจะเป็นเพลงที่คุณเจใช้อธิบายความรู้สึก ความพยายามของตัวเขาเอง ที่ทำอย่างเต็มที่มาเสมอแต่ทุกครั้งที่เหมือนจะสำเร็จก็เหมือนมีแต่คนหันหลังให้และรู้สึกไร้ค่าไปเฉย ๆ ทว่าเป็นตัวเขาเองที่รู้จักตัวเองและรู้ว่าตัวเขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เขารับรู้มันลึก ๆ ในอกซ้าย ถึงจะมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจและไม่มีเหตุผลสำหรับเขาเลย แต่เมื่อลองปรับมุมที่มองแล้วหลาย ๆ อย่างมันก็ดีขึ้นได้ สุดท้ายแล้วการยอมรับตัวเองและมอบคุณค่าให้กับเราเองที่ทำงานหนักก็เป็นสิ่งที่เราควรได้รับที่สุดกว่าใครคนอื่น (แต่ยังไงก็ตามทุกคนที่ทำงานหนัก คนที่มีความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทำอะไรสักอย่างก็ควรถูกเคารพที่สุด เหมือนกับที่คุณเจก็ควรได้รับ ขอให้คุณเจได้รับสิ่งนั้นอยู่เสมอทั้งความรักและความเคารพเขาในฐานะศิลปินและมนุษย์คนหนึ่ง และถึงทุกคน คุณที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ด้วยนะคะ ขอให้เป็นที่รักเป็นที่เคารพในทุกฐานะที่ต้องการและคอยมอบความรักให้คนอื่นได้อย่างดีในทุกวันเลยนะคะ)
บทความนี้มีเนื้อหาจากการแปลจากที่คุณเจเคยอธิบายเนื้อเพลง Rose ไว้ใน Twitchและวิเคราะห์เพิ่มตามความเข้าใจของผู้เขียน หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากขาดตกบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์สามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือติชมได้เสมอนะคะ
และขอความร่วมมือไม่นำเนื้อหาไปดัดแปลงหรือคัดลอกไปผลิตในรูปแบบอื่นนะคะ ขอขอบคุณค่ะ
LYRICS AND TRANSLATION
For the times when they hit you
Face down in the ground with the wet suit
Plant seeds but the tree never grow fruit
Shouting but they all got you on mute
แต่ละครั้งที่พวกเขาโจมตีคุณ
คว่ำหน้าอยู่บนพื้นกับเสื้อผ้าที่เปียกปอน
พยายามหว่านเมล็ดแต่ต้นไม้นี้ไม่มีวันออกผล
ตะโกนออกไปแต่พวกเขาปิดเสียงคุณไว้อยู่แล้ว
- "Plant seeds but the tree never grow fruit, shouting but they all got you on mute" หว่านเมล็ดให้ต้นไม้โตแต่ไม่ออกผล ตะโกนออกไปก็ไม่มีใครได้ยิน คุณเจเล่าว่าท่อนนี้ใช้อธิบายความรู้สึกของตัวเขาเองที่เคยเผชิญกับอะไรแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เพราะหลาย ๆ ครั้งเวลาที่เขาพยายามทำอะไรอย่างเต็มที่แล้วแต่ผลมันก็ออกมาไม่ได้อย่างที่ใจคิด และเวลาที่อยากตะโกนพูดหรืออธิบายกับใครก็ไม่เคยมีใครได้ยินเหมือนกับว่าเขาปิดเสียงเราไว้ได้ ก็เหมือนที่เขาพยายามจะทำอะไรหลาย ๆ ครั้งแล้วไม่มีใครอนุญาต ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำและประสบความสำเร็จได้
When they got you thinking maybe
It could be me that's the crazy
All the tears bled up
On the climb up
Dry up
Into nothing
เวลาที่พวกเขาทำให้คุณเริ่มคิดว่าบางที
มันอาจจะเป็นเราเองที่เสียสติไป
น้ำตาทุกหยดที่หลั่งไหล
บนเขาที่กำลังปีนป่าย
เหือดแห้ง
สู่ความว่างเปล่า
- "When they got you thinking maybe, it could be me that's the crazy" เวลาที่พวกเขาทำให้เราคิดว่าหรือจะเป็นเราเองที่เสียสติไปแล้ว คุณเจก็พูดถึงประสบการณ์ของตัวเองอีกทีที่หลายครั้งที่มีแต่คนไม่ฟังหรือปฏิเสธเขา มันก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยในตัวเองขึ้นมาว่าหรือบางทีเราจะเป็นคนผิดและทุกคนคิดถูกแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเราเองจะรับรู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่เราคิดมันดีที่สุดแล้ว แต่ทุกคนก็คงมีช่วงเวลาแบบนั้นที่พอมีคนมาบอกว่าไม่ได้แล้วเราก็กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองแทน
- "All the tears bled up on the climb up, dry up into nothing" น้ำตาทุกหยดที่ไหลรินตามไหล่เขา เหือดแห้งสู่ความว่างเปล่า คุณเจบอกว่าเขาเองก็มองชีวิตว่าเหมือนเป็นการปีนเขาขึ้นไปพอถึงจุดหมายแล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเวลาที่จะเดินลงกลับมาข้างล่าง แต่น้ำตาที่ไหลรินระหว่างทางขึ้นทนี่แหละที่เขาเปรียบเทียบมันเป็นความพยายามของตัวเอง ที่เหมือนพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เหมือนแค่พยายามแล้วผลลัพธิหายไปต่อหน้า
Nothing you understand
Nothing makes sense but
ไม่มีอะไรที่คุณเข้าใจเลย
ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย แต่ก็
Don't you know that nothing's really ever beautiful
We're all just broken windows
What you see depends from where
You set your eye
I could see my
Blood on the floor
Or it might just be a
Rose
คุณก็คงรู้ว่าไม่มีอะไรที่มันสวยงามจริง ๆ หรอก
เราต่างก็เป็นแค่หน้าต่างบานพัง ๆ
สิ่งที่คุณเห็นมันก็แล้วแต่ว่ามองมาจากตรงไหน
คุณอยากเห็นอะไร
ส่วนผมเห็น
เลือดตัวเองบนพื้น
หรือบางทีมันอาจจะเป็น
ดอกกุหลาบแดง
- "Don't you know that nothing's really ever beautiful, we're all just broken windows" คุณก็คงรู้ว่าไม่มีอะไรที่สวยงามจริง ๆ เราต่างก็เป็นบานหน้าต่างพัง ๆ กันหมด ท่อนนี้คุณเจก็ยังนำเสนอมุมมองชีวิตที่เขาเห็นอีกด้วยว่าชีวิตก็เหมือนบานหน้าต่างพัง ๆ บานนึง ชีวิตมีแต่จะตอกย้ำและลากคุณไปมาจนกว่าคุณจะตาย
- ในขณะเดียวกันท่อน "What you see depends from where you set your eye" สิ่งที่คุณเห็นก็แล้วแต่ว่าคุณจะมองจากตรงไหน คุณเจก็เล่าต่อว่าบานหน้าต่างนี้น่ะ ถ้าหากเรามองมุมอื่น ๆ แล้วมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ อย่างถ้าคุณยืนอยู่ข้างตึกมองออกไปจะไม่เห็นแม้กระทั่งเศษกระจกนั่นด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาพยายามจะบอกก็คือว่าไม่มีอะไรสวยงามไปหมดจด แต่ถ้าหากเปลี่ยนมุมที่เรามองมันอาจจะสบายตา และเจอเรื่องดี ๆ กว่าที่มองอยู่แค่จุดเดียวก็ได้
- "I could see my blood on the floor or it might just be rose" ผมมองเห็นเลือดตัวเองอยู่บนพื้นหรือบางทีมันอาจเป็นแค่กุหลายดอกนึง อย่างที่เขาอธิบายว่าถ้าเปลี่ยนมุมมองชีวิต ลองถอยออกไปสักก้าวหรือหันไปซ้ายขวา ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนได้แล้ว เหมือนที่เขาเห็นเลือดตัวเองบนพื้นที่ถ้าลองดูอีกทีมันอาจจะเป็นแค่ดอกกุหลาบดอกนึงวางอยู่ก็ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in