เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Art first (because life can wait)jchang
[แปล/ตีความ] Gallant x Tablo x Eric Nam - Cave Me In



  •        

    Cave me in 

    ส่วนผสมของความรัก วิทยาศาสตร์และวรรณกรรม


               เพลงออกมาไม่ถึงวันแต่ก็ทำให้เราคลั่งไคล้ได้สุดๆ ความหมายมันมีความเนิร์ดและวิทยาศาสตร์มากๆ ภาษาที่ใช้ก็สวยและเลือกคำได้ดีจนต้องยกให้เป็นมาสเตอร์พีซ (อวยค่ะ อวยมากๆ) จากนี้จะเป็นการแปลเพลงคร่าวๆตามความคิดของเรานะคะ ไม่รู้ว่าคนแต่งเพลงคิดมากขนาดนี้มั้ย ยอมรับว่า แถเยอะมาก ใช้แรงมโนล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนยาวขนาดนี้แต่ว่าทุกคำ ทุกประโยคมันมีความหมายที่ดีมากและผ่านการเลือกสรรมาอย่างดี สมควรที่จะได้รับการอ่านและเข้าใจอย่างละเอียดค่ะ  เขียนนานมาก มึนมาก ขอโทษล่วงหน้านะคะ 




    1. ชื่อเพลง 


              เริ่มจากชื่อเพลงค่ะ Cave me in  คิดว่าหลายคนคงแปลความหมายกันได้คร่าวๆว่า รับฉันเข้าไปเถอะ แต่เรามองว่า cave me in มันไม่ใช่การขอร้องให้เปิดหัวใจรับฉันเข้าไปแบบใสๆ มันเป็นความหมายที่ว่าขอร้องให้คุณกลืนกินฉันเข้าไปเถอะ ให้ฉันตกเป็นจำเลยของคุณ มีความรู้สึกของการยอมแพ้ ยอมจำนนอยู่ในอำนาจของคุณ ซึ่งนี่เป็นธีมของเพลงค่ะ ความรู้สึกรักที่ไม่ได้ใสๆเหมือนทำนองเพลง แต่มีการจำนน ฝืนใจยอมปนๆไปด้วย อารมณ์ผู้ชายซึน ปากแข็ง ท่ามาก พูดอะไรเข้าใจโคตรยากแต่ในใจคืออ้อนวอนว่ารับฉันเข้าไปเถอะ ยอมแล้ว ขอร้อง จะตายแล้ววว




    2.  ท่อนร้องของ Gallant 


    [Gallant: Verse 1]

    These flies on my window are winners in a losing game

    Dip, duck, roll, and hover

    They barely see a season change


    แมลงที่อยู่บนหน้าต่างเป็นผู้ชนะในเกมส์ที่มีแต่คนแพ้ 

    จม ซ่อน กลิ้ง และ บินวนอยู่รอบๆ

    พวกมันแทบจะไม่เคยเห็นฤดูที่เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ 



    ท่อนแรกก็งงไปเลย อะไรของพี่คะ ?


    จริงๆเราตีความท่อนนี้ได้เป็นท่อนสุดท้ายค่ะ คิดว่าเป็นการใช้ metaphor เปรีบเทียบคนที่เสียความรักไปแล้วค่ะ คิดภาพผู้ชายคนนึงอยู่ในห้องปิดตาย อกหัก รู้สึกผิด รู้สึกดาวน์ อยู่ๆก็มองไปเห็นแมลงบินอยู่ที่หน้าต่างห้อง  คิดไปได้ว่าแมลงที่น่ารังเกียจพวกนั้นไม่ต่างจากตัวเองสักนิด เป็นผู้ชนะที่น่าสมเพช ผู้ที่รอดตายในเกมส์ที่มีแต่คนแพ้ อารมณ์แมงเม่าบินเข้ากองไฟ (ในเมืองนอกคงเป็นพวกแมลงที่บินอยู่ใต้เสาไฟถนน เดาเอาค่ะ) บินอยู่รอบๆเหมือนจะชนะ แต่เดี๋ยวก็ตายหมด เหมือนตอนนี้ที่ความรักจบไปแล้ว เคยคิดว่าตัวเองชนะ แต่ไม่ใช่เลย แพ้แล้วยังไม่รู้ตัว เอาแต่ ซ่อน หนี เอาตัวออกห่าง (Dip, duck, roll, and hover) ยังจมอยู่ที่เดิม ไม่รู้เลยว่าฤดูกาลเปลี่ยนไปแล้ว เวลาผ่านไปนานแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่อยู่แล้ว ฉันผิดเอง โง่เอง เพิ่งรู้ตัว




    [Pre-Chorus]


    While you and me live like birds on a power line

    Hands gripping, and our fingers fried



    เธอกับฉันก็เหมือนกับนกที่เกาะบนสายไฟฟ้า 

    ตอนที่มือจับกันไว้ นิ้วมือของเราก็ไหม้ไปหมด



    ความgeek ของเพลงเริ่มแล้วค่ะ ทำไมเธอกับฉันต้องเหมือนนกที่เกาะอยู่บนสายไฟฟ้า ? 


    หลักการวิทยาศาสตร์ที่อาจจะเคยเรียนแต่ลืมกันไปแล้วค่ะ นกเกาะอยู่บนเสาไฟฟ้าได้โดยที่ไม่โดนไฟช็อตเพราะว่านกเกาะอยู่ที่สายไฟแค่เส้นเดียวค่ะ ทำให้ไฟไหลไม่ครบวงจรเลยไม่โดนไฟช็อต เมื่อไหร่ที่เกาะสองสาย หรือว่าเอาขาอีกข้างไปแตะพื้นโลก ไฟไหลครบวงจรนกก็ตายค่ะ 


    (ใครคิดภาพไม่ออกไปดู animation ของpixar อันนี้ค่ะ )


    เพราะงั้นเธอกับฉันเหมือนนกบนสายไฟ ต่างคนต่างอยู่แต่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงเราไว้เลย ไม่มีความรักเลย

    ตอนที่มือของเราจับกัน (คิดว่าคงจะสื่อว่าไฟวิ่งครบวงจร ตอนที่เรารักกัน) มือของเราก็ไหม้ (ไฟครบวงจรก็ช็อตไงค่ะ) คงจะเเปลว่าตอนไม่รักกันมากๆ เป็นแค่นกบนสายไฟ ก็ต่างแฮปปี้ดี พอรักกัน จับมือกัน ก็เจ็บเลย ไหม้หมดเลย 


    ในอีกแง่นึง จริงๆ นกบนสายไฟฟ้า ใช้ในเพลงที่ดังมากของ Leonard  Cohen (bird on the wire) ซึ่ง Cohen อธิบายว่ามันแทนการอดทนอยู่กับอะไรที่วุ่นวาย คาดเดาไม่ได้ น่ากลัว เช่นโลกใบนี้  ถ้าจะแปลจากมุมนี้ความหมายก็จะเจ็บปวดกว่าเดิม ทนอยู่กับความรักที่ไม่เข้าใจเหมือนนกบนสายไฟ พอพยายามจับกัน ประครองกันไป รักก็เผาไหม้ทุกอย่าง 




    God bless those Northern lights

    And our own devices, babe 


    พระเจ้าอวยพรให้กับแสงออโรร่าที่นำทาง

    และความหวาดกลัวของพวกเรา ที่รัก



    พาร์ทนี้พูดตรงข้ามกับความรักของนกบนเสาไฟค่ะ ความรักที่ทำให้เราต่างเจ็บปวด แต่ถึงแบบนั้นแล้ว มองไปที่ขอบฟ้าสิที่รัก เห็นแสงของออโรร่าที่สวยงามพวกนั้นมั้ย แม้จะเจ็บปวดแต่พระเจ้ากำลังอวยพรให้กับพวกเราอยู่  

    ส่วนตรงคำว่า devices หลังจากที่งงกับประโยคนี้มานานเพราะมัวแต่คิดว่ามันแปลว่าอุปกรณ์ วันนี้มานั่งนึกๆเลยคิดออกว่ามันแปลว่าวิธีการ แผนการได้ด้วย เพราะงั้น พาร์ทนี้เลยแปลว่าพระเจ้าจะอวยพรให้กับเส้นทางที่เราสองคนเลือกเช่นกัน 

    นอกจากนี้แล้วเราไปลองดูการตีคำว่า devices ในไบเบิ้ลมาเพราะเนื้อเพลงพูดถึงพระเจ้า เลยไปเจอมาว่าในไบเบิ้ลมีคำว่า devices เหมือนกันซึ่งใช้ในความหมายที่แปลว่า "conceits" or "contrivances."  conceit นี่ประมาณว่าการภูมิใจในตัวเองมากเกินไป ส่วน contrivances แปลว่าทักษะ/วิธีการที่ใช้ในความหมายแง่ลบ คำนี้ในไบเบิ้ลใช้ในเนื้อหาที่หมายถึงเวลาที่มีปัญหาคนเรามักจะเลือกหนทางของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะผิดพลาด เพราะมนุษย์โง่เขลา มีบาปติดตัว เลยต้องให้พระเจ้า bless our own devices เอามาใส่ในเพลงเหมือนเป็นการเพิ่มสีสันไปว่า ความรักที่เจ็บปวดของเรา เส้นทางความรักโง่เขลาที่เราเลือกเอง ขอให้พระเจ้าอวยพรเราด้วย 




    Entropy multiplies


    Clock's ticking and I'm mortified


    เอ็นโทรปีเพิ่มทวีคูณ (เดินทางเข้าสู่ความวุ่นวายพังทลาย)

    นาฬิกาเดินไปข้างหน้าและฉันยอมรับทุกอย่างแล้ว 




    ท่อนนี้ geek ที่สุดและชัดเจนที่สุดในเพลงแล้วค่ะ 


    Entropy เป็นศัพท์วิทยาศาสตร์ค่ะ ใช้อธิบายได้ตั้งแต่ว่าทำไมน้ำกับน้ำมันไม่รวมกันเป็นเนื้อเดียว ทำไมน้ำแข็งในน้ำร้อนละลายแต่น้ำร้อนไม่กลายเป็นน้ำแข็ง ไปจนถึงเรื่องยากๆเช่น ทำไมเวลาเดินไปข้างหน้าไม่ถอยหลัง ทำไมจักรวาลขยายตัว  อะไรเกิดก่อนbig bang  ซึ่งถ้านักวิทยาศาสตร์เข้าใจ entropy แล้ว ทั้งนิวตัน ทั้งควอนตัมฟิสิกส์ก็เลิกเรียนไปเลย 


    อธิบายง่ายๆที่สุด entropy ทำให้สสารที่เสถียรเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายค่ะ เช่น เวลาเราทำแก้วแตก แก้วที่มีอะตอมเรียงเป็นระเบียบ พอแตกเป็นชิ้นๆ ก็ไม่เสถียรแล้วค่ะ และเราไม่มีทางเปลี่ยนแก้วที่แตกไปแล้วให้ต่อกับมาเหมือนเดิมได้ เพราะว่า entrophy จะเดินทางจากความสงบไปสู่ความวุ่นวายเท่านั้น ไม่เดินทางย้อนกลับ

     

    ความเนิร์ดในเนื้อเพลงไม่หยุดแค่นี้ค่ะ ที่เนิร์ดกว่าเดิม คือ ในสูตรคำนวนหา entropy ของสาร entropy จะมากหรือน้อยขึ้นกับตัวแปรที่เรียกว่า multiplicity  ค่ะ เพราะงั้น entropy multiplies เป็นศัพท์วิทย์ทั้งประโยค  


    (อ่านเรื่อง entropy เพิ่มได้จากบล็อกนี้ค่ะ)


    กลับมาที่เนื้อเพลงค่ะ ฉันกำลังเดินทางไปสู่ความวุ่นวาย พังทลาย  อย่างไม่มีทางเลือก ไม่่มีทางหยุดได้ และนาฬิกาก็เดินไปข้างหน้า เสียงติ๊กๆ ไปเรื่อยๆ เวลาของเรามันหมดแล้ว 


    ความงามมันอยู่ที่คำว่า mortified ค่ะ แปลแบบเว่อร์ๆมันคือการ บำเพ็ญทุกรกิริยา คือการยอมรับความผิดของตัวเองด้วยความรู้สึกผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นทำให้ยอมรับ แต่ยอมรับด้วยตัวเองผ่านความเจ็บปวด  เช่น ไม่มีเงินแต่ไปยืนดูเครื่องสำอางค์แพงๆให้รู้สึกถึงความจนของตัวเอง หรือที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือการหิวตอนดึกๆออกไปกินไม่ได้แล้วเปิดดูรูปอาหาร mortify ตัวเองไปค่ะ ดังนั้นท่อนนี้ก็จะแปลว่าพอฉันเห็นว่าเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า ฉันก็รู้ตัวแล้วว่าเวลาของเรามันหมดแล้ว ฉันยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดแล้ว เพราะว่า... 





    'Cause in the back of my mind


    In the back of my hemisphere



    เพราะในความคิดที่ซ่อนอยู่ของฉัน 

    ในซีกโลก (ซีกสมอง) อีกซีกของฉันที่มองไม่เห็น 



    [Chorus]

    Baby, I want you to cave me in

    So maybe I won't have to admit it

    Baby, I want you to cave me in

    So maybe I won't ask to forget it



    ที่รัก ยอมรับฉันเข้าไปหน่อย ฉันยอมหมดแล้ว 

    แม้ว่าฉันจะไม่อยากยอมรับมัน 

    ที่รัก ยอมรับฉันเข้าไปหน่อย ฉันยอมหมดแล้ว 

    ฉันจะได้ไม่ต้องขอให้ลืมมันไป




    อารมณ์ผู้ชายซึนค่ะ ยังพยายามเป็น winner in a losting game อยู่ จากท่อนที่ที่ว่าในความรู้สึกที่ซ่อนไว้ของฉัน ฉันอยากให้เธอยอมรับฉันเข้าไป แม้ยังปากแข็งไม่ยอมรับ แต่จริงๆ ก็อยากให้เธอยอม เป็นผู้ชายซับซ้อนค่ะ แต่งเพลงก็เข้าใจยาก พอท่อนฮุกทำเป็นซึนอีก สงสาร 


    ตรงคำว่า Hemisphere ไปอ่านแปลเพลงใน genius มา นอกจากแปลว่าซีกโลกแล้วยังแปลว่าซีกสมองได้ด้วยคิดว่าถ้าแปลว่าซีกสมองน่าจะเข้ากับประโยคก่อนหน้า back of my mind ได้ดีกว่าค่ะ แต่ในgenius เขาแปลลึกไปว่าเป็นสมองซีกซ้ายแล้วไปโยงกับ northern light ซึ่งเราว่าโยงลึกไปนึดนึง ทำไมทิศเหนือต้องแปลว่าทางซ้าย ? เราเลยขอแปลว่าเป็นซีกสมองซีกนึงก็พอค่ะ  







    3. ท่อง rap ของทาโบล 


    ทาโบลบอกว่าแต่งท่อนของตัวเองตอนที่ได้คำว่า cave me in ซึ่งก็ยังคงธีมผู้ชายสายซึนไว้ได้อย่างครบถ้วนค่ะ และที่สำคัญคือเพลงสีสันให้เพลงนี้ด้วยการเล่นคำภาษาอังกฤษที่โคตรรรรเก่ง ทำให้เพลงรักที่เต็มไปด้วย metaphor และความ greek เพลงนี้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าเดิม ตอนนี้ไม่ต้องตีความอะไรขอแปลรัวๆเลยนะคะ หวังว่าทุกคนจะเห็นทักษะการเล่นคำของพี่เขาค่ะ 



    Love has either got you over heels 
    or overdosed 

    ความรักจะทำให้คุณเป็นบ้า
    ไม่ก็เหมือนได้ยาเกินขนาด



    (*head over heels - หัวไปก่อนเท้า
    เป็นสำนวนว่ากลับหัวกลับหางไปหมด บ้าแล้ว เล่นคำเหมือน Over)




    It’s got you off your feet 
    or on your toes

    มันทำให้คุณพุ่งตัวไปหา
    ไม่ก็จะบังคับให้ยืนนิ่งงัน 



    (*เล่นกับสำนวนความหมายตรงข้ามแต่พูดถึงเท้าทั้งคู่
    off your feet - พุ่งตัวออกไปด้วยความตกใจ
    on your toes - ถูกบังคับทำให้อยู่ที่เดิม อารมณ์ทำตามคำสั่ง )




    It’s got you out your seat
    or in your place 

    มันทำให้คุณลุกจากที่นั่ง 
    หรือไม่ก็ยังอยู่ที่เดิม



    It’s got you digging it
    or your grave 

    มันทำให้คุณขุดหา
    หรือไม่งั้นก็จะทำให้คุณขุดหลุมศพให้ตัวเอง


    (*เล่นคำว่าจะขุดหลุมรักหรือหลุมศพ)





    Love has just got you mad about 
    or just about mad 

    รักทำให้คุณบ้าบอไปกับมัน 
    ไม่งั้นก็ทำให้คุณเป็นบ้าได้พอดี 



    (ชอบท่อนนี้ด้วยเอา mad about กับabout mad
    มาสลับกันแล้วความหมายมันใช่มาก)





    got you in a crush 
    or it has got you in a crash

    ทำให้คุณสะดุดตกหลุมรัก
    ไม่ก็ทำให้คุณโดนกระแทกจนหล่นไปเอง 



    (เล่นคำ crush กับ crash ที่จริงๆแปลกว่าโดนกระแทกเหมือนกัน 
    แต่ a crush แปลว่าตกหลุมรัก
     ส่วน crash นี่รถชน car crash ตลาดหุ้นล้ม financial crash ไปเลย)







    What used to make you heart sing a hit
    sing a smash 
    will make you wanna hit, wanna smash 
    everything that you had into pieces 



    สิ่งที่เคยทำให้หัวใจคุณร้องเพลงฮิตๆที่เป็นที่นิยม
    คือสิ่งที่จะทำให้คุณอยากทำลายทุกอย่างที่คุณมี
    ให้กลายเศษซากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 




    (ตรงนี้เล่นคำเหมือนค่ะ a smash คือเพลงที่ฮิตมาก
    ถึงขั้นทำลาย (smash)ทุกชาร์ตเพลง แล้วทั้งทำว่า hit กับ smash ก็เเปลว่าทำลาย
     ท่อนสองเอาสิ่งที่โคตรดี โคตรฮิตมาทำลายตัวเองกลับ โอ้ยย ) 






    But love becomes clear when in pieces 

    แต่ความรักก็จะชัดเจนขึ้นเมื่อมันกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย




    ต่อจากท่อนที่แล้วที่ความรักทำลายทุกอย่างลง เป็นตอนที่ทุกอย่างพังเป็นชิ้นๆนั่นแหละที่คุณจะมองเห็นความรักชัดเจนที่สุด ตั้งแต่ท่อนแรกของแรป ทาโบลก็พูดถึงความย้อนแย้งของความรัก ว่าถ้าไม่ทำให้เราสุขก็เศร้า ถ้าไม่ทำให้ทุกอย่างดี ก็บ้าและพังไปเลย แล้วรักมันดีหรือว่าไม่ดีกันแน่ ? 

    ท่อนนี่ทาโบลบอกว่าเราไม่รู้หรอกว่าความรักมันดียังไงจนเราเสียมันไปแล้วนั่นแหละ 





    what you could not see and hear during peace 
    is why a heart becomes ears in two pieces 



    สิ่งที่คุณไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินในช่วงเวลาที่สงบ
    คือเหตุผลที่ทำให้หัวใจกลายเป็นหูทั้งสองข้างของคุณ 


    (เล่นคำพ้องเสียง peace กับ piece ค่ะ)





    สิ่งที่คุณไม่เคยเห็นและได้ยินช่วงที่สงบ  ช่วงที่สงบนี่น่าจะหมายถึงช่วงที่มีความรัก ต่อจากท่อนที่แล้ว
    ที่บอกว่าไม่เสียรักไปก็ไม่เข้าใจว่ารักมันดียังไง ท่อนนี้เลยบอกเราว่าเพราะงั้นเวลาที่เราตกหลุมรัก(ชีวิตสงบ) เราอาจจะไม่มองเห็นข้อดีของมัน ดังนั้น ในช่วงเวลาสงบๆ ที่ยังรักกันดี ให้เปลี่ยนหัวใจให้กลายเป็นหู มองข้อดีของความรักผ่านหัวใจ อย่าตัดสินจากสิ่งที่ดวงตาเรามองเห็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้น love becomes clear when in pieces  เราจะเข้าใจความรักขึ้นมาตอนที่เสียมันไปแล้วนั่นเอง


    ท่อนแรปเข้ากับเนื้อหาของเพลงที่ผ่านมาค่ะ ปรบมือ ชอบมากกกก 







    4. ท่อนร้องของ Eric nam




    [Verse 3: Eric Nam]


    Gravity makes wonders

    On us it doesn't seem to weight

    Float like clouds on water

    Or waves across an open plane



    แรงดึงดูดทำให้เกิดเรื่องอัศจรรย์

    แต่มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเราเลย

    เคลื่อนไปเรื่อยๆเหมือนก้อนเมฆเหนือสายน้ำ 

    ไม่ก็แผ่กระจายเหมือนคลื่นไปในพื้นที่โลงๆ 




    อันนี้คิดว่าคงพูดถึงความรักระหว่างกันและกันค่ะ แรงดึงดูดระหว่างกันทำให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ แต่กลับพวกเราไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนั้นเลย (ประโยคนี้อาจแปลไม่ตรงทุกคำนะคะ) แรงดึงดูดไม่เคยดูดเราไว้เลย แต่ระหว่างเรามันก็เหมือน ก้อนเมฆเคลื่อนที่เหนือสายน้ำ ไปพร้อมๆกันแต่ไม่เคยได้รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ก็เหมือนกับคลื่นที่แผ่ไปทั่วๆที่ว่าง ไม่ได้ถูกดูดมาไว้รวมกัน จากนั้นก็เข้าคอรัสได้พอดีค่ะ 'Cause you and me live like birds on a power line เพราะเธอกับฉันก็เหมือนนกบนสายไฟฟ้า ไม่ได้ถูกดูดไว้ด้วยกันผูกพันกัน ประมาณนี้ค่ะ 







    5. Outro 

    ท่อน outro สรุปทุกอย่างค่ะ เลิกซึน เลิกพูดจาเปรียบเปรยอะไรวุ่นวายไม่รู้เรื่อง อยากได้เขามากก็พูดไปเลยตรงๆ



    I want it, I do

    (Girl, cave me in, I won't say it again, I want you)

    I want it, I do

    I want it, I do, do, do, do

    (Girl, cave me in, I won't say it again, I want you)






    เป็นเพลงที่ค่อนข้างย้อนแย้งค่ะ เปรียบเปรยจนปวดหัว แต่ลึกซึ้งและสวยงามมากจริงๆ ค่ะ รักกันมากและรักก็ทำให้เจ็บมาก ห่างกันมีความสุขพอพยายามก็พังไปหมด ย้อนแย้งทั้งเพลง แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า ยังไงก็รักเธอนะ cave me in หน่อย ได้โปรดเถอะ คิดว่า main idea คงประมาณนี้ค่ะ

    สำหรับเราเพลงนี้ไ่ม่ใช่เเค่เพลง เป็นบทกลอนดีๆ เป็นนิยาย เป็นเหมือนหนังที่ฟังแล้วภาพลอยขึ้นมาในหัวได้เลย มีส่วนผสมของความ geek ความ literature เข้ากันได้อย่างลงตัวมากๆ ขอบคุณที่อ่านเราเพ้อเจ้อมาถึงตอนนี้ ขอบคุณมากค่ะ ช่วยกันสนับสนุนเพลงนี้ด้วยนะคะ :) 







    Credit เนื้อเพลง 

    https://genius.com/Gallant-cave-me-in-lyrics
    https://www.youtube.com/watch?v=DYl7xWHrMkY







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
apple_winter (@apple_winter)
เราไม่เคยสงสัยในความสามารถของพี่ทาโบลเลยค่ะ เนื้อเพลงของเขาสวยงามราวบทกวี ละเมียดะไม ฟังผ่านๆ อาจเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อคุณขุดลงไปให้ลึกคุณจะพบว่าในเพลงของเขาซ่อนอะไรไว้มากมาย

ไม่แปลกใจเลยทำไม ในอัลบัม Rise ของ ยองเบโอปปา ถึงยกให้พี่ทาโบลเป็นนักกวี
Guntalit Somboon (@guntalit13)
ฟินคับ หลงกับอะไรแบบนี้มากๆ
Hong Wannaboribun (@fb1801748703176)
ตีความหมายได้ลึกซึ้งมากเลยคะ ขอบคุณมากนะคะ แปลได้ดีมากจริงๆ
Kanitta Wetchapram (@fb1215918878463)
ชอบเฮียทาโบลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ Tomorrow ที่ฟีสกะแทยัง พอมาเพลงนี้คือดีงามมาก คือรอท่อนเฮียแรป รอฟังเสียงเฮีย พอมาดูคำแปลละเอียดยิบทุกกระบวนท่าแบบนี้ ยิ่งขนลุก ...คิดได้ไงว่ะเฮีย // ขอบคุณมากๆน่ะคะ แปลได้ได้จีๆ
เธิร์สเดย์. (@thursdayismyday)
เราชอบเพลงนี้มากค่ะ ฟังวนไปทั้งวัน
เราชอบการใช้ภาษาของพี่โบลมาก ๆ
ตอนที่เห็นเนื้อเพลงท่อนนี้แบบ... โหหห ถ้าจะเล่นคำกันขนาดนี้ >..<
jchang (@jchang)
@thursdayismyday เล่นคำดีมากๆเลยค่ะ ตอนฟังจบเรากรี๊ดบ้านแตก 555 พี่โบลเก่งมาจริงๆค่ะ
tuarz (@tuarz)
แปลได้ดีมากค่ะ จากที่อินเพลงนี้อยู่แล้วเราอินเข้าไปใหญ่เลย
jchang (@jchang)
@tuarz ขอบคุณมากเลยค่ะ นี่ก็อินมากๆเหมือนกัน
tuarz (@tuarz)
แปลได้ดีมากค่ะ จากที่อินเพลงนี้อยู่แล้วเราอินเข้าไปใหญ่เลย
octoberbreezz (@octoberbreezz)
เขียนดีจังเลยค่ะ
เพิ่งฟังเพลงนี้จบและประทับใจเนื้อเพลงเหมือนกัน ว่าจะเขียนบ้าง แต่เจอคุณเขียนแล้วเลบอ่านฟินไป ไม่ต้องเขียน 5555
เนื้อเพลงเป็นการเล่นคำและเปรียบเปรยที่ดีมาก
เป็นเพลงที่แปลเป็นไทยได้ยากมาก เพราะมีการเล่นคำระเบิดระเบ้อ รักเลยยยย
jchang (@jchang)
@octoberbreezz อยากอ่านที่คุณเขียนบ้างจังเลยค่ะ เรายังคิดว่าเรายังตีความแบบเพ้อๆไปหน่อย อยากรู้ว่าคนอื่นมีมุมมองยังไงบ้าง เพลงนี่ยังกะไบเบิ้ลเลยค่ะ ตีความได้เยอะมากๆ