อยากจะชวนทุกคนมาฟังเพลงเนื้อหา Feminist จังหวะ 70s ของวง Tennis กันค่ะ ตอนแรกที่เราเริ่มฟัง Tennis ก็ไม่ได้สนใจเนื้อเพลงเท่าไหร่ ชอบดนตรีแนวนี้เลยฟัง แต่พออ่านเนื้อเพลงกับบทสัมภาษณ์ ทุกเพลงมีความหมายเยอะมากๆ ตั้งแต่เพลงที่เล่าถึงตอนที่นักร้องนำหันหลังให้พระเจ้ากับความเชื่อของตัวเอง ไปจนถึงเนื้อหาโรแมนติก ชีวิตคู่ กับอารมณ์ไปล่องเรือเที่ยวเกาะชิวๆ
แต่ที่อยากจะยกมาพูดมาวันนี้คือ เพลงรักในมุมมองของ feminist ที่Alaina Moore (วงนี้เป็นคู่สามีภรรยากันค่ะ) นักร้องนำและคนแต่งเพลงออกมาบอกว่าเขาอยากเขียนเพลงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น มู้ดของเพลงจะเป็น nostagic romantic เพราะงั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ของผู้หญิงที่บางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าเราควรเล่นบทบาทอะไรในความสัมพันธ์กับคนรักและโลกใบนี้
1. Ladies don't play guitar
มาที่เพลงเด่นจากอัลบั้มล่าสุด Your Conditionally กันก่อนค่ะ เพลงนี้พูดถึงความอัดอั้นตันใจของ Alaina เองที่จริงๆแล้วชอบเล่นกีต้าร์ไฟฟ้ามากแต่ว่าเพราะเกิดมาเป็นผู้หญิงเลยถูกสอนให้เล่นเปียโนมาตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงเวลาโดนสัมภาษณ์ สามีอย่าง Patrick ก็จะโดนคำถามที่ว่าทำเพลงเองเลยเหรอ แต่งเองเหรอ ซึ่งเธอจะไม่โดนถามคำถามแบบนี้เลย มันทำให้ Alaina คิดต่อไปอีกว่าผู้หญิงมีอิทธิพลแค่ไหนกับวงการเพลงที่โดนผู้ชายครอง
Ladies don't play guitar
Ladies don't get down down to the sound of it
Maybe we can play pretend
Baby I can go down deep just to be what you're needing
ท่อนแรกของเพลงนี้ก็มาด้วยน้ำเสียงประชดประชันเหมือนที่หลายๆคนอาจจะเคยได้ยิน ผู้หญิงไม่เล่นกีต้าร์หรอก พวกเรา(สังคม)ก็แค่กำลังเสแสร้งกันอยู่ งั้นฉันก็จะทำตามที่สังคมต้องการละกัน ตรงนี้Alaina บอกว่าเป็นคำบ่นของเธอว่า เธอถูกสอนให้เล่นเปียโนเพราะว่าเธอเกิดเป็นผู้หญิงและสังคมสั่งให้เธอต้องเล่นเปียโน
Ladies just need your love
Don't you know we are all caught up in it
Baby I've been listening
I can be the archetype of whatever you're feeling
What you're feeling
ความแดกดันส่งต่อไปถึงท่อนต่อไป ผู้หญิงก็แค่ต้องการความรักของคุณ ที่รัก ฉันฟังคุณอยู่นะ บอกมาเลยอยากได้แบบไหนจะเป็นทุกอย่างตามที่คุณรู้สึกนั่นแหละ
จากนั้นความประชดแดกดันสังคมของแม่ก็ต่อไปเรื่อยๆทั้งเพลง มีท่อนพีคที่ verse หลังคอรัสค่ะ
Tell me what can I give
If all my work is oblique and abstracted
Try to build a legacy
That will not complicate the future of your own progeny
บอกฉันสิว่าฉันให้อะไรได้บ้าง งานของฉันมันไม่ชัดเจนแถมยังabstract ตอนนี้ฉันกำลังพยายามจะสร้างตำนานที่ไม่ทำลายอนาคตลูกหลานของคุณอยู่นะ
ท่อนนี้ Alaina เขียนใน
genius ว่าเธอหมายถึงหน้าที่ของผู้หญิงที่มักจบอยู่ที่การดูแลลูกไม่ใช่การสร้างสรรค์งานอย่างอื่นเหมือนผู้ชาย เพราะงั้นตอนนี้เธอเลยพยายามจะทำทั้งสองอย่างคือการทำหน้าที่แม่/ภรรยาและออกไปสร้าง legacy ในงานการเหมือนที่ผู้ชายทำ
จากนั้นเพลงนี้ก็จบลงด้วยประโยคประชดให้เข้ากับธีมของเพลงนี้
We pretend I can be the one that you've been dreaming
พวกเรา(สังคม) ก็เสเเสร้งกันต่อไปแล้วนะกันว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบที่ทุกคนวาดฝันไป
และความเกรี้ยวกราดประชดประชันของAlaina ในเพลงนี้ก็จบลง
2. My emotions are blinding
มาเกรี้ยวกราดกันต่อเลยแล้วกัน เพลงนี้เหมือนบอกผู้ชายว่า ที่รัก อารมณ์ฉันมันขึ้นๆลงๆแบบนี้แหละ ฉันไม่ได้ไม่มีเหตุผลนะ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้แหละ อย่ามาด่าว่าไร้เหตุผล
Women are much closer to nature
So but can't you understand
Binary opposition
Hits me like a divine plan
ท่อนแรกก็บอกเลยว่าผู้หญิงอ่ะเป็นธรรมชาติมากกว่าผู้ชาย ไม่เข้าใจเหรอไง ? ส่วนไอ้ Binary opposition ที่บอกว่าผู้หญิงคืออารมณ์ ผู้ชายคือเหตุผลนะ มันเป็นแผนการของพระเจ้าหรือไงถึงได้เชิดชูมันจัง
เราว่า Aliana จะบอกว่า คำว่ามีเหตุผล มันเป็นคำที่ให้คำนิยามโดยผู้ชาย ดังนั้นผู้หญิงเลยถูกมองว่าไม่มีเหตุผลไปซะงั้น แล้วไอ้ Binary opposition นี่ก็ถูกใช้กันในสังคม ซึ่งมันไม่แฟร์ เพราะผู้หญิงก็มีเหตุผลในแบบของผู้หญิงนะ
ท่อนอื่นๆในเพลงก็พยายามจะส่งข้อความนี้ค่ะ
I get hysterical, oh oh
It's empirical, oh yeah
เออ ฉันก็อารมณ์แรงๆแบบนี้แหละ ก็มันเป็นความจริง ก็เป็นแบบนี้ไง
I'll be giving all my attention
To the world's most interesting man
ที่ผ่านมากฉันก็ได้แต่มอบความสนใจทั้งหมดให้กับโลกของผู้ชาย
I'm just a vehicle, oh oh
For the material, oh yeah
เออ ฉันก็แค่พาหนะ(ถูกตัดสินใจจากเพศสภาพที่เป็นผู้หญิง) ที่มีไว้ให้คนอื่นใส่ความหมาย ใส่เนื้อแท้ลงไป (ตรงนี้ประมาณว่า แค่เห็นฉันเป็นผู้หญิงก็ถูกตัดสินไปแล้วไม่มีใครมาใส่ใจดูเลยว่าข้างในฉันเป็นยังไง)
ก่อนจะจบที่ท่อนฮุกค่ะ
My emotions, they are blinding
อารมณ์ฉันมันก็ไร้เหตุผลแบบนี้แหละ
Baby, don't you know that my love is binding?
ที่รัก คุณไม่รู้เหรอไงว่าความรักมันก็ทำให้ฉันเป็นแบบนี้แหละ
จบเพลงแบบสวยๆ ค่ะ อย่ามาด่าชั้นอีกนะ !
3. Needle and a Knife
มาถึงเพลงสุดท้ายค่ะ เป็นเพลงที่มาจากอัลบั้มเก่าและเป็นเพลงที่ทำให้เรารู้จัก Tennis เนื้อหาเพลงมาจากชีวิตแต่งงานที่พังทลายของแม่ตัวเองค่ะ ซึ่งในเพลงนี้มาได้มาได้แนวแดกดันเหมือนเพลงที่ผ่านๆมาแต่เป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้เรารู้สึิกอินไปด้วยมากๆ
ธีมของเพลงนี้ก็หนีไม่พ้นสังคมที่มองผู้หญิงเป็นแม่บ้านแม่เรือนอีกแล้วค่ะ
She works hard
Does it all without complaining
She believes that
Sacred things don't need explaining
เริ่มต้นประโยคแรก เธอทำงานหนัก แต่ทำโดยไม่ปริปากบ่น เพราะว่าเธอเชื่อว่าสิ่งที่ลำค่ำที่สุดไม่ต้องการคำอธิบาย พออ่านเนื้อเพลงแล้วจากเพลงสนุกๆเราคิดภาพนางซินขึ้นมาเลยค่ะ
And the mind is elevated
Though the body, devastated
The inner life of
Sweet sacrifice, yeah
Armed with nothing but a needle and a knife
ท่อนต่อมาก็รันทดไปอีก จิตใจได้รับการขัดเกลาแต่ร่างกายกลับโดนทำลาย นี่แหละคือชีวิตจริงๆของคนที่ยอมเสียสละทุกอย่าง ไม่ได้รับการปกป้องจากใครนอกจากจากเข็มกับมีด
เข็มกับมีดเป็น metaphor ที่เราว่ามันโดนใจมากๆ นอกจากจะสื่อถึงชีวิตงานบ้านงานเรือนของผู้หญิงที่โดนสังคมบังคับให้ทำแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าสุดท้ายผู้หญิงจะไปสู้อะไรใครได้ แค่จะปกป้องตัวเองยังไม่มีอะไรนอกจากเข็มกับมีดเลย
Only a lonely love can devour you
But when you're lonely the same love
Empowers you, yeah
มาถึงฮุกที่เศร้ากว่าเดิม ความโดดเดี่ยวรักที่กัดกินคุณ มันก็เป็นความรักเดียวที่จะสร้างความเข้มแข้งให้คุณในเวลาที่โดดเดี่ยวนั่นแหละ เราว่าตรงนี้พูดถึงปัญหาของผู้หญิงที่ต้องการความรัก แต่เพื่อความรักนั้น ก็ต้องเสียสละมากมาย เช่น แต่งงานแล้วผู้หญิงก็ต้องมีงานบ้านงานเรือที่ต้องทำ แต่ก็ทำนะ เพราะรักไง รักที่ทั้งทำร้ายและให้กำลังใจตัวเอง
ความเศร้าของเนื้อเพลงเดินทางไปเรื่อยแต่จังหวะปลุกใจขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึง verse สุดท้าย
It's the holiest fixation
And it's taken cultivation
A pioneer in a foreign land, yeah
She's devoted to a real good man
มันเป็นเหมือนสิ่งที่ถูกบังคับให้ต้องบูชา
แล้วมันก็ค่อยๆถูกส่งต่อกันมาเรื่อยๆ เป็นวัฒนธรรม
ผู้บุกเบิกในดินแดนใหม่ เหอะ
เธอก็แค่อุทิศชีวิตให้ผู้ชายดีๆ
ท่อนนี้สั้นๆแต่มีความแรงมากกกก เกรี้ยวกราดสุดๆ จากทั้งเพลงที่พูดถึงชีวิตผู้หญิงที่ทำหน้าที่แม่บ้านและไม่เคยได้รับการยอมรับ ไม่เคยได้รับความรัก ท่อนที่สรุปว่า แนวคิดแบบนี้ (แนวคิดเรื่องหน้าที่ที่ไม่เท่าเทียมในครัวเรือนระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ผู้หญิงทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ผู้ชายออกไปทำงาน) เป็นแนวคิดที่มีความ holy มาก ทุกคนต้องเชื่อและบูชา และก็ค่อยๆส่งผ่านกันรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นความคิดหลักของสังคม
ส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้บุกเบิกในโลกในดินแดนใหม่ คิดว่าอันนี้พูดถึงความสำคัญของผู้หญิงที่เป็นเหมือนช้างเท้าหลัง ดูแลครอบครัวและสามี แต่ความดีไม่เคยได้รับการยอมรับ แล้วก็พูดในแบบประชดอีกแล้วค่ะ อ่อ เปรียบเทียบให้ผู้หญิงเป็นผู้บุกเบิกเหรอ ? พูดเสียใหญ่โต ในความจริง ผู้หญิงก็ยังมีหน้าที่อุทิศตัวเองให้ผู้ชายนั่นแหละ !
Only a lonely love can devour you
But when you're lonely the same love
Empowers you, yeah
ปิดท้ายด้วยท่อนฮุก รักโดดเดี่ยวของคุณนี่แหละที่จะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น เหมือนจะให้กำลังใจแต่ในขณะเดียวกันก็เสียดสีว่า สุดท้ายก็ติดอยู่ในความรักแบบนี้อยู่ดี รักที่ทำร้ายเราแต่เราก็หนีออกไปจากมันไม่ได้
เป็นการจบเพลงด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าเป็นการทำใจยอมรับความจริงอย่างเกรี้ยวกราด ไม่ได้ยอมรับโดยดี แต่ฝืนไปจะทำอะไรได้ เพราะสุดท้ายผู้หญิงเองก็ยังต้องการความรักอยู่ดี เป็นเพลงที่เนื้อหาดาร์กมากๆๆ ตอนที่เราหาอ่านเนื้อเพลงดีๆเลยทำให้เพลงนี้เปลี่ยนจากเพลงสนุกๆเป็นเพลงเสียดสีดีๆเพลงนึงเลยที่เดียว
Outro
จบแล้วค่า สามเพลงเเรงๆที่เล่าเรื่องความรักอย่างซื่อสัตย์ผ่านสายตาผู้หญิงจริงๆได้อย่างมีศิลปะ ทุกเพลงของ Tennis มักจะมีความหมายดีๆแบบนี้เสมอ เราเองเลยเป็นทาสวงนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากเราจะชอบความซื่อสัตย์ในเนื้อเพลงแล้ว หลายครั้งก็ทึ่งไปเลยว่าเอาเนื้อหาหนักๆมาใส่ในเพลงชิวๆแบบนี้ได้ไง แล้วจากเนื้อเพลงทำเราเข้าใจเรื่องราวในลึกซึ้งกว่าเดิมอีก ประทับใจวงมากกกกกกที่สุดเลย
จริงๆแล้ววงนี้เขาก็ไม่ได้เกรี้ยวกราดอย่างเดียวนะคะ ยังมีหลายเพลงที่ใสๆ พูดถึงความรักในแง่ต่างๆ เช่นเพลง 10 minutes,10 years ที่พูดว่าความรักจะตลอดไปหรือจะ 10 นาที 10 ปีมันก็ไม่ต่างกันหรอก เป็นเพลงที่ดีมากๆ หรือว่าจะเป็น Modern Woman ที่เขียนเหมือนเป็นจดหมายให้กับมิตรภาพที่พังไปแล้ว ใครชื่นชอบยังไงลองไปตามต่อได้เลยนะคะ ฝากวงนี้ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยค่ะ :)
สุดท้ายใครยังอยากได้เนื้อหาดีพๆจากวงนี้ เราแนะนำ Origins กับ Please don't ruin this for me ที่พูดถึงความเชื่อและศรัทธาค่ะ เพลงแรกพูดถึงความเชื่อทางศาสนา ส่วนเพลงทีสองพูดถึงการสร้างความเชื่อให้ตัวเอง ลองไปฟังกันได้ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in