นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน
คนที่เคยมีบุพกรรมร่วมกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน
เราอยู่ในโลกของพลังงาน
ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนสงบนิ่ง
แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนตลอดเวลา
หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม
นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้
ประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้ มา 2607 ปีแล้ว
ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า..
ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)
ล้วนเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ได้ยาก (ทุกขัง)
และไม่มีตัวตน (อนัตตา)
สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”
กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ
เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง
พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่
ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด
ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น ..
คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์
ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ 2 ส่วน คือ..
1. ส่วนที่เป็นกายภาพ
สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้
เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
2. ส่วนที่เป็นพลังงาน
สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน”
เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ
คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์”
ทางพระเรียกว่า “นาม”
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้ง
ลงไปอีกว่า..
นามนั้นประกอบด้วย..
ความรู้สึก (เวทนา)
ความจำ (สัญญา)
ความคิด (สังขาร)
การรับรู้ (วิญญาณ)
ข้อดีของสัจธรรมก็คือ..
เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง
อยู่เหนือกาลเวลา
และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
.
.
เราเคยสงสัยไหมว่า..
ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ
มารู้จัก มาทำงานร่วมกับคนเหล่านี้
ในสถานะ พ่อ-แม่-ลูก พี่-น้อง
เจ้านาย-ลูกน้อง คู่รัก-คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน
ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไร
นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน”
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกัน
คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน
เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน
จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหน
พวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง
เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์
หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี
นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน
มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น
.
.
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรา..
ยังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน
เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป
และวิธีการสลัดตนให้ "หลุดพ้น"
จากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา
และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น
แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ
“ระดับพลังงาน”
ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป
เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ
โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลง..
ไปในทางที่ดี ยิ่งๆขึ้น
และหมั่นตรวจสอบความรู้สึก ..
รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
ให้เป็นคนที่รู้สึกดี..ได้มากที่สุด
ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา
ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย
มีความสำนึก..รู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง
ไปวัดบ้าง นั่งสมาธิ รักษาศีล
ออกกำลังกายอยู่เสมอ
งานอดิเรก ..วาดภาพ ปลูกต้นไม้ ฯลฯ
ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ
เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย
แต่จะเปลี่ยนไปเจอคน
ที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา
.
.
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า..
เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก”
ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไป
โดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา
แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว
พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”
ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก..
ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
โดยเริ่มต้นจาก ความรู้ตัว และ ความรู้สึก
แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สมดังคำสอนเปลี่ยนโลก
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า...
"การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"
ทาน .. บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี
ศีล .. บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก
สมาธิ .. บอกระดับความสุขสงบเย็น
ปัญญา .. บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก
และสรรพสิ่ง
คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน
ตามระดับคุณธรรม..
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวา
Cr : กลุ่มเพื่อน Line
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in