เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe Chapter 2KanSiri
บทที่ 12 แฟร์รี่แลนด์แห่งสก๊อตแลนด์ Isle of Skye
  •             ถ้าใครจำได้ อ่าน Chapter ก่อนที่ผมได้มีโอกาสไป Zermatt ของสวิสเซอร์แลนด์ละก็ การมาเยือน Isle of Skye แทบจะเป็นความรู้สึกเดียวกันเลยหลังจากผมสอบปลายภาคเทอมสองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมมีเวลาเขียนวิทยานิพนธ์หรือดิสเซอเทชั่น 3 เดือนก่อนวันถึงกำหนดส่งผมจึงอยากแพลนไปที่ไหนไกลๆซักที่ เพื่อเป็นการพักผ่อนและเติมพลังชีวิตในการทำงาน หวยเลยมาลงที่ Isle of Skye แต่ก่อนมาก็ได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความดีงามมาบ้างครั้งนี้แหละจะเป็นโอกาสที่จะได้มาพิสูจน์ความดีงามนั้น

                                                                             (Portree)

                ทริปของเรามีกันทั้งหมด 4 คน มีพี่มุก แฟนพี่มุก ชื่อแอนดรูวอายุไล่ๆกับผมเป็นหนุ่มสก๊อตทิช แฟนของผม และตัวผมเอง เราอาศัยรถแอนดรูวในการเดินทางโดยออกค่าน้ำมันหัวละ 70 ปอนด์โดยประมาณค่าโรงแรมถือว่าหนักเอาการ เพราะถือว่าเป็นซัมเมอร์ คืนแรกเราพักแถวทะเลสอบล็อคเนสค่าเช่าทั้งหมดคือ 150 ปอนด์ ที่พักออกแนว Homestay เข้าลึกไปในหมู่บ้านนิดหน่อย และที่ที่สองจาก AirBnB ราคา 200 ปอนด์ อยู่แถวเหนือๆบนเกาะ Isle of Skye

                การเที่ยว Isle of Skye นั้นถ้าเช่ารถหรือมีรถจะสะดวกมาก แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนขับเองแต่ดูจากเส้นทางแล้วก็ขับไปได้เรื่อยๆสบายอยู่ไม่ได้มีความสูงชันอะไร อาจจะคดเคี้ยวบ้างแต่ก็คิดว่าไม่ได้ลำบากอะไร ถ้าค่อยๆขับไป สำหรับคนที่ไม่ได้มีรถ อาจจะต้องลำบากนิดนึงผมได้ยินมาว่าสามารถซื้อทัวร์จากเอดินหรือกลาสโกวไปได้ รวมถึงในเมืองอินเวอร์เนสแต่อันนี้ไม่แน่ใจนะลองเช็คดูอีกทีเพราะตอนแรกก็ว่าจะไปรถสาธารณะแล้วไปซื้อทัวร์เหมือนกัน แต่ด้วยความสามารถในการโน้มน้าว
     แอนดรูว และพี่มุกก็เลยตกลงปลงใจไปกับพวกเราด้วย

                                                                           (Mealt Falls)

                พวกเราเดินทางออกจากอะเบอร์ดีนราวๆ 3 โมงเย็นใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่พักที่แรกจะว่าไปวันแรกนี้อากาศมีแดดออกนิดหน่อย แต่ช่วงเย็นๆนี่ฝนตกซะอย่างงั้น หลังจากถึงที่พัก เราก็มีโอกาสไปแถวๆทะเลสาบ แต่ก็ไม่ได้เที่ยวอะไรมากมายเนื่องจากอากาศที่หนาวและหิวมาก พวกเราเตรียมอาหารจากที่บ้านมาคนละกล่องสองกล่อง เป็นอาหารไทยมื้อนั้นเจ้าของที่พักเข้ามาร่วมแจมด้วย ระหว่างคุยกันเจ้าของเค้ากก็เล่าถึงอสูรแห่งทะเลสาบนั่นแหละ และดูเหมือนว่านางจะเชื่อว่ามีจริงๆซะด้วย พวกเราก็ได้แต่พยักหน้าอือออห่อหมกกันไปตามมารยาท พอถึงเวลา 3 ทุ่มเราก็แยกย้ายไปนอนอันเป็นหมดไปแล้วหนึ่งวัน

                วันที่สองเรามุ่งหน้าสู่เกาะสกายโดยไม่ได้แวะที่ไหนนอกจากเติมน้ำมันยืดแข้งยืดขาเล็กน้อยระหว่างทางโชคร้ายที่วันนี้ฝนตกทั้งวัน นี่มันหน้าร้อนนะเฮ้ย มีแดดออกบ้างก็ได้ยังไงก็ตามหลังจากขับผ่านเข้ามาในเขต Highland ในส่วนของเกาะพวกเรารับรู้ได้ถึงความแตกต่างเลย เนินเขาเล็กๆ เขียวขจี สลับกันไปมาสะกดทุกสายตา โอ้แม่เจ้าน้ำตกสายเล็กๆที่ตกลงมาจากเนินเขามากมายสลับกันอย่างสวยงาม ผนวกกับหมอกจางๆ ละอองจากฝน ทำให้ภาพที่เห็นมันเหมือนในนิทานแฟร์รี่ยังไงอย่างงั้นเลยมันสวยจนผมละสายตาจากสองข้างทางไม่ได้เลย ผมเปิดหน้าต่างรับลมบริสุทธิ์ที่แบบชาตินี้คงหาไม่ได้ในประเทศไทย พวกเราดื่มด่ำกับธรรมชาติ จนกระทั่งถึง Portree เพื่อหาอะไรกินสำหรับมื้อกลางวัน แต่อากาศที่ไม่เต็มใจดูเหมือนว่าจะอยากให้เราหยุดพักที่หมู่บ้านนี้ยาวๆซะแล้ว


                                                                (Talisker Bay กับ แอนดรูว)


                เราใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารจนฝนเริ่มซาลงพวกเรารีบขับรถไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของ ก่อนที่ฝนชุดใหม่กำลังจะเทลงมา และแน่นอน พวกเราคณะเดินทางหน้ามนก็โดนสายฝนสาดใส่ เปียกกันถ้วนหน้าแต่ก็ไม่วายที่จะไปชม Mealt Falls และสะพานเก่าบนเกาะอันเลื่องชื่อ Sligachan และสุดท้ายเราก็ไปที่ Fairy Pools และ Talisker Bay วันที่สองบนเกาะสกายของเราจบลงพร้อมกับความเปียกปอนกันถ้วนหน้า จะว่าไปที่พักของพวกเรานี่มันก็ดีอยู่นะ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และพายุที่แปรปรวน

                วันที่สามเราตื่นมาต้อนรับอากาศที่แจ่มใส วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเดินเขาเล็กน้อยเล็กน้อยแบบ 3 ชั่วโมงเอ๊งงง เรามุ่งหน้าไปยัง The Quiraing จุดแทร็คกิ้งยอดฮิตเมื่อคุณมาเกาะนี้ ถ้าใครเคยไปภูกระดึงที่นี่คือของหวานไปเลยอาจจะเหนื่อยนิดหน่อยแต่รับรองว่าวิวสวยๆที่ได้มันคุ้มแน่นอนทางเดินเขาก็จะเป็นวงกลม จะเริ่มจากตรงไหนก่อนก็ได้ สุดท้ายก็จะมาบรรจบกับที่จอดรถ

                                                                     (วิวจาก the Quiraing)

                การเดินบน Quiraing เป็นการตอกย้ำว่าสวรรค์บนดินมีอยู่จริงความเขียวของหย่อมหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เนินเขาสลับกันไปมาเรียงรายกันอย่างสวยงาม มันเป็นการย้ำถึงความคุ้มค่าที่ครั้งหนึ่งเราได้มาเหยียบดินแดงแห่งนี้

                พวกเราใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงในการเดินวนเขานี้หลังจากนั้นพวกเราก็ไปแวะพักหาอะไรที่ Portree พักให้หายเหนื่อยก็มาลุยที่ The Storr ต่อที่นี่ถือว่าเป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ หินทรงเข็มที่ตั้งตะหง่าบนเนินเขาแต่อย่างนั้นหากไปคนละวันกับ The Quiraing ได้ก็อาจจะดีกว่าที่นี่เดินง่ายและสั้นกว่า ใช้เวลาเดิน 1.30 ชม.ก็เป็นอันจบพิธี

                                                                              (The Storr)

                หลังจากนั้นพวกเรามุ่งหน้ากลับอะเบอร์ดีนแอนดรูวเหยียบคันเร่งแทบมิดเท้าเพื่อให้กลับถึงบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สรุปปเราถึงบ้านตอนตี 1 โอ้แม่เจ้าระหว่างทางก็พักกินข้าวเย็น เข้าห้องน้ำ ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ยังไงก็ตามหลังจากทริปนี้แล้ว กำลังใจเราในการทำงานมันขึ้นมาเต็มที่จริงๆ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in