"ลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้"
วลีเด็ดที่ไม่ว่าคนเป็นแฟนกีฬาลูกหนังหรือไม่ก็คงเคยได้ยิน ยิ่งโดยเฉพาะคนที่ชอบเสี่ยงดวงแทงพนันบอลด้วยแล้วนั้น คำพูดสั้นๆนี้เป็นเหมือนคำปรามเตือนใจอยู่เสมอว่าภายในเวลาเก้าสิบนาทีในเกมส์ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ นักเตะ 11 คน ชิงไหวชิงพริบกับนักเตะอีก 11 คน ไม่ว่าแต่ละคนนั้นจะมีค่าตัวป้ายราคาที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ กุนซือผู้จัดการทีมจัดทัพวางหมากรัดกุมแค่ไหน เมื่อเสียงนกหวีดจากกรรมการเชิ้ตดำเป่าเริ่มเกมส์เมื่อไหร่ โลกของความเป็นตรรกะเหตุผลที่เราคุ้นชินก็จบลง และโลกของความเป็นไปได้ที่มีเสน่ห์ชวนตื่นเต้นก็เริ่มต้นขึ้น และนี้คือเหตุผลที่กีฬาฟุตบอลเป็นที่รักของคนทั่วโลก
ออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นสาวกของหงส์แดงลิเวอร์พูลตัวจริง สามารถร้องเพลง “You’ll never walk alone” ได้ตั้งแต่วัยหนุ่มขบเผาะ เริ่มติดตามอย่างโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ตอนนั้นจำได้ว่ากลุ่มเพื่อนๆของผมเตะบอลกันเสร็จก็มานั่งคุยกันข้างสนาม หัวข้อสนทนาคือ “มึงเด็กผีหรือเด็กหงส์” ผมซึ่งตอนนั้นไม่รู้จักทั้งสองทีมเสือกเลือก “หงส์” เหตุผลเพราะมันฟังดูเท่ว่าผี (อืมกูก็เด็กจริงๆแหละ คิดได้แค่นี้) และตั้งแต่นั้นมาก็คอยเชียร์ลิเวอร์พูลมาโดยตลอดไม่มีขาด แม้ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้หงส์แดงยังไม่เคยกางปีกบินจนจบอันดับหนึ่งครองถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกให้เห็นเลยสักครั้งเดียว (ใครมีกระดาษทิชชู่บ้างครับ?)
กีฬาประเภทนี้มันแปลกดี ถ้าลองได้รักแล้ว แม้ทีมแพ้หรือเล่นห่วยมากแค่ไหน นัดต่อไปก็ยังคงตามเชียร์ (และด่า) ต่อไปได้เรื่อยๆ
ลีคที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบ้านเราคงหนีไม่พ้นพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ซึ่งทีมดังๆอย่างแมนยูฯ เชลซี แมนฯซิตี้ อาเซนอล สเปอร์ส ลิเวอร์พูล เอฟเวอร์ตัน พวกนี้คอยเบียดแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของตารางคะแนนอยู่ทุกปี โดยแชมป์ก็วนกันอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นสมบัติผลัดกันชมระหว่างทีมยักษ์ใหญ่แค่ไม่กี่ทีม
แต่ในฤดูกาล 2015-2016 นั้นทีมม้ามืดนอกสายอย่างเลสเตอร์ซิตี้ได้สร้างปรากฏการณ์บางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ มันเหมือนเป็นเทพนิยายปรัมปราที่ทีมรองบ่อน underdog สามารถยืนหยัดสู้ฟัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับทีมใหญ่ได้อย่างสูสี แถมบ่อยครั้งยังทำได้ดีกว่าพวกเขาเหล่านั้นอีกด้วย
"The Fairy Tale of Underfox" เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเห็นปุ๊บแล้วตัดสินใจสั่งซื้อทันที เพราะนิสัยส่วนตัวที่คลั่งไคล้กีฬาประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความอยากรู้อยากเห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของความสำเร็จครั้งนี้ซะมากกว่า ผู้เขียน (จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์) เล่าถึงวันที่ไปสัมภาษณ์ ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานผู้รับหน้าที่บริหารทีมเลสเตอร์ฯ ถึงเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ความรักในกีฬาฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เติบโตมาเป็นนักกีฬาของโรงเรียน จนได้เข้ามาคลุกคลีช่วยงานกับคุณพ่อที่อาณาจักรสินค้าปลอดภาษี คิง เพาเวอร์ และสุดท้ายได้รับหน้าที่ให้มาดูแลสโมสรจิ้งจอกสีน้ำเงินหลังจากที่ผู้เป็นพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) ตัดสินใจเข้าซื้อเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2010 ตอนนั้นเขาอายุเพียง 25 ปี เลสเตอร์ซิตี้ยังอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพและเป้าหมายคือการขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกให้ได้ เขาเห็นว่ามันเป็นโอกาสใหม่ที่ท้าทาย น่าลอง แม้ยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องไปเจออุปสรรคมากมายแค่ไหนที่คอยอยู่เบื้องหน้า
การบริหารทีมฟุตบอลนั้นแตกต่างออกไปจากงานที่เขาเคยทำ ประสบการณ์ที่ขาดไปถูกเติมเต็มด้วยความกระหายในการเรียนรู้ ช่วงแรกของการทำงานเขาเริ่มต้นด้วยการเรียกทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยกันเป็นเวลาหลายเดือน ใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันตั้งแต่เช้าจนดึกเพื่อเข้าใจถึงปัญหาต่างๆของสโมสร สอบถามว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ ให้ทำ wish-list มาว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหน หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆลงมือปรับเปลี่ยนในหลายๆเรื่อง ทั้งในด้านของธุรกิจอย่างระบบการขายตั๋ว ร้านขายของที่ระลึกและห้องสต็อกสินค้าที่ต้องจัดใหม่ทั้งหมด ใช้เงินไปหลายสิบล้านเพื่อพัฒนาตรงจุดนั้น ส่วนของสนามทั้งกล้องวงจนปิด พรม ระบบ wifi ก็รื้อใหม่หมด แต่ในส่วนที่เขาลงทุนหนักที่สุดคือวิทยาศาสตร์การกีฬา ปรับปรุงสนามซ้อมใหม่ สั่งซื้อสายคาดอกที่ใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (ซึ่งในปี 2010 ถือเป็นเรื่องใหม่ของทีมในลีกแชมเปี้ยนชิพ) ตรวจฉี่ ตรวจเลือด ร่างกายใครขาดอะไรก็ต้องเติมให้แข็งแรง ถึงขนาดสั่งทำห้องแช่แข็งหรือ Ice Chamber ที่มีอุณหภูมิ -130 องศาเซลเซียส เมื่อนักเตะทุกคนฝึกซ้อมเสร็จเรียบร้อยก็ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงใน ใส่ที่รัดตามข้อพับ และเข้าไปยืนในห้องนี้ประมาณ 30 วินาที ความหนาวเย็นจะขับไล่ความเมื่อยล้าและอาการบาดเจ็บ เขาบอกต่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแรกๆที่เขาทำ เพราะทราบดีถึงผลกระทบในระยะยาวที่จะมีต่อนักเตะทุกคน ตอนนั้นตัดงบประมาณการซื้อนักเตะใหม่มาลงทุนในส่วนนี้ด้วยซ้ำ สตาฟท์ทุกคนรวมถึงพ่อเขาไม่เห็นด้วย แต่เขายืนยันและบอกว่า "เชื่อสิว่าเดี๋ยวจะดี"
แต่จากจุดนั้นทุกอย่างก็ไม่ได้ราบเรียบและสวยงามไปซะทั้งหมด มีการตัดสินใจที่ผิดพลาดและการเรียนรู้ตลอดเส้นทางที่ขรุขระ พวกเขาใช้เวลาอีกกว่า 5 ปีในการขยับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีและยืนอยู่ในหัวตารางอันดับหนึ่งเบียดกับทีมยักษ์ใหญ่ได้อย่างสนุก เพียงหนึ่งฤดูกาลก่อนหน้านี้พวกเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดและหวุดหวิดตกลงไปสู่ลีกแชมป์เปี้นชิพอีกครั้ง มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปถึงสามครั้งจนมาหยุดที่คนปัจจุบันคือ "เคลาดิโอ รานิเอรี" กุนซือมากประสบการณ์ชาวอิตาลี ซึ่งในตอนแรกมีแต่คนต่อต้านเพราะรู้สึกว่าวิธีการเล่นของผู้จัดการทีมคนนี้อาจจะเก่าไปแล้วสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ การอุดรับและโต้กลับนั้นเป็นระบบที่หลายคนบอกว่า "uninspired" หรือไม่น่าสนใจ แต่อัยยวัฒน์บอกว่าเขารู้สึกว่าคนนี้แหละที่ใช่ พูดตรงๆไม่คุยโวโอ้อวด มีระบบที่ชัดเจน มีความเป็นระเบียบ และที่สำคัญสามารถตอบรับความกดดันของสื่อได้เป็นอย่างดี และมันเป็นการตัดสินใจที่นำพวกเขาไปสู่แชมป์ของพรีเมียร์ลีกปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
กุนซือคนนี้นอกจากการวางหมากที่รัดกุมแล้ว ยังเหมือนมีคู่มือการใช้งานของนักเตะทุกคนในสโมสรอีกด้วย แคสเปอร์ ชไมเคิลเฝ้าหน้าประตูเหนียวหนึบและช่วยเซฟสำคัญๆได้หลายครั้ง เวส มอร์แกน และ โรเบิร์ต ฮูธ เป็นปราการหลังตัวกลางที่เหนียวแน่น มาร์ค อัลไบรตัน, แดนนี้ ดริงค์วอเตอร์ และ เอ็นโกโล ก็องเต ประสานงานกันอย่างลงตัวในแดนกลางคอยควบคุมเกมส์ ในแดนรุกมี ริยาด มาห์เรซ, ชินจิ โอคาซากิ และ เจมี่ วาร์ดี้ ที่คอยก่อกวนกองหลังของคู่แข่งและทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทุกตำแหน่งทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าค่าตัวของนักเตะทุกคนรวมกันทั้งทีมยังไม่เท่ากับ เควิน เดอ บรอยน์ คนเดียวของสโมสรแมนฯซีตี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแต่ละคน แต่มันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สู้เพื่อทีมและแฟนบอล จนนำมาซึ่งการเฉลิมฉลองชัยชนะอันเป็นดั่งเทพนิยายของเหล่าจิ้งจอกสีน้ำเงิน
เมื่อต้นฤดูกาล 2015-2016 บ่อนพนันแบบถูกกฏหมายของอังกฤษให้ความเป็นไปได้ที่สโมสรเลสเตอร์ฯจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่ที่ 1 ต่อ 5000 คิดเป็นประมาณ 0.02% ไม่ว่าผมจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีขนาดไหนก็คงยากที่จะเชื่อว่าความเป็นไปได้นี้จะเป็นไปได้เมื่อจบฤดูกาล แต่นี้แหละครับโลกของฟุตบอล จนแล้วจนรอดเราก็พูดได้แต่เพียงว่า "ลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้"
เรื่องราวของพวกเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของเหล่า underdog ม้านอกสายตาคนธรรมดาไร้แต้มต่อทั้งหลาย เป็นหลักฐานมามีชีวิตว่าถ้าเราทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ มีการวางรากฐานที่ดี มีเป้าหมายที่เหมือนกันและคำว่า "ทีม" มีค่ามากกว่าคำว่า "ตนเอง" แล้วหล่ะก็ ปาฏิหารย์...ก็ไม่ได้ไกลเกินกว่าจะคว้ามาครอบครองเลยทีเดียว
ฤดูกาลนี้เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน คงเป็นงานที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าสำหรับแชมป์เก่าที่จะครองแชมป์ติดต่อกันสองปีซ้อน ถ้าเป็นทีมอื่นผมอาจจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่หลังจากที่ผมได้รู้จักผู้บริหารของสโมสร ผู้จัดการทีม และนักเตะเหล่า underfox ทั้งหลาย ผมกลับรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะทำให้มันเป็นไปได้ แต่ถึงผลออกมาจะเป็นยังไง แพ้-ชนะ สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่นอนเลยคือพวกเขาคงสู้ไม่ถอยกัดไม่ปล่อย จนกว่าวินาทีสุดท้าย เหมือนสโลแกนของสโมสรว่า "Foxes Never Quit" อย่างแน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in