หลังจากส่งโรงพิมพ์ไปก็วุ่นอยู่กับการจัดเตรียมงานนิทรรศการ อยู่มาวันหนึ่งก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ตอนแรกก็ไม่อยากรับเพราะกลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ ด้วยความที่ปกติแล้วสายส่วนใหญ่ที่โทรเข้ามาเป็นมิจจี้มากกว่ามิตรแท้ ถ้าจะกลัวการรับสายก็ไม่แปลก สมัยนี้อะไรระวังได้ก็ระวัง แต่เมื่อดูเบอร์ที่โทรเข้ามาก็เกิดรู้สึกว่า ไม่รับไม่ได้เลยตัดสินใจรับ เฉลยคือสายจากโรงพิมพ์นั่นเอง เกือบไปแล้วไหมล่ะ
ด้วยน้ำเสียงที่โทรเข้ามาด้วยความร้อนรนของพี่แอดมิน สรุปความได้ว่าเนื้อในมีความหนาไม่พอที่จะใช้ปกแข็งจั่วปัง ถ้าเปลี่ยนเป็นหนังสือปกอ่อนแทนจะได้ไหม เมื่อได้ยินดังนั้นสิ่งแรกที่เกิดขึ้นคืออึ้งค่ะ เพราะตั้งแต่วันแรกที่อยากจะทำหนังสือภาพสิ่งที่ต้องการคือหนังสือภาพปกแข็งเคลือบเงาเท่านั้น ไม่ปกอ่อน ไม่เคลือบด้าน เรารักปกแข็งมาก อีกอย่างตอนสั่งพิมพ์ก็ได้ถามไปแล้วว่ารายละเอียดตามนี้สามารถพิมพ์ได้ไหม ทางร้านก็ตอบกลับอย่างมั่นใจว่าพิมพ์ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการได้หมดเลย ณ ตอนนั้นจึงทำได้แค่ตอบกับทางโรงพิมพ์ไปว่า
“ขอปรึกษาทีมสัก 10 นาทีก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวจะติดต่อกลับไปค่ะ”
ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนในที่นี้งง ธีสิสคืองานเดี่ยว และทีมที่ว่าคือใคร เฉลยคือทั้งทีมมีคนเดียว จริง ๆ คือขอปรึกษาตัวเองก่อนว่าจะทำอย่างไร ถ้าทำปกแข็งต้องเพิ่มหน้า ถ้าทำปกอ่อนก็ไม่ได้แย่ แต่แค่ไม่ถูกใจ ตอนนั้นขนหนังสือปกแข็งทั้งบ้านมาวัดความหนาของเนื้อในว่ามีขนาดเท่าไรถึงจะใช้ปกแข็งได้ จากที่วัดก็ใช้ได้หมด แล้วทำไมหนังสือเราถึงไม่ได้ ไม่นานทางร้านก็โทรกลับมาบอกว่า “ทำให้ได้นะคะ แต่อาจจะต้องเพิ่มความหนาของเนื้อในที่จากเดิม 128 แกรม เป็น 250 แกรม คุณพะแพงสะดวกไหมคะ” ตอนนั้นคือ 250 แกรม ก็แอบหนาไปไหม แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้เลยตอบตกลงไป สุดท้ายก็อยากฝากคำคมว่า “เกินไปแต่ไม่เกินใจครับน้อง ๆ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in