เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลูค ไวท์ ผจญภัยห้วงนิทราKGUNTION
ฝันร้าย (3)
  •           เช้าวันจันทร์มาถึงอย่างรวดเร็วจนลูคไม่ทันตั้งตัว เมื่อวานเขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนง่วนอยู่กับการเขียนเรียงความส่งอาจารย์บาร์ทกว่าจะเขียนเสร็จก็ปาเข้าไปตีห้า ลูคนั่งเหม่อเหมือนคนหมดแรงอยู่ในตู้รถรางที่เปิดกระจกอ้าซ่ารับลมฝน เขารีบเอื้อมมือดึงกระจกปิดเมื่อน้ำฝนสาดเข้าใส่หน้าจนเปียกโชก


              ชั้นเรียนวิชาอัณมณีดาราศาสตร์ของอาจารย์บาร์ทผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะลูคหลับไปจนหมดเวลา


              สภาพอากาศในฟอร์ทอีสต์ดูจะเลวร้ายมากขึ้นทุกวัน พาลเอาเด็กหลาย ๆ คนป่วยไปตาม ๆ กัน หนึ่งในนั้นคือซิดจ์ เจ้าเพื่อนตัวแสบกำลังคุยโม้น้ำลายฟอดในระหว่างพักกลางวันแต่ก็ไม่วายที่จะจามเสียงดังใส่หน้าเขาเต็ม ๆ


              “ว่ายังไงนะ! เมื่อกี้นายพูดว่าตอนนี้ที่มหาลัยถูกประกาศปิดพื้นที่สำคัญ ทั้งหอดูดาวที่อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ พื้นที่บางส่วนในหอพักฤดูหนาวของพวกเด็กปี 4 รวมทั้งสวนพฤกษศาตร์ในหอใบไม้ผลิของเราอย่างไม่มีสาเหตุเหรอ” ลูคพูดทวนสรุปในสิ่งไม่คาดคิดที่ได้ยินจากเพื่อน ซิดจ์พยักหน้าตอบรับ


              “เออ แล้วยังมีข่าวลือมาจากพวกนักเรียนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหอพักของเราช่วงวันหยุดที่ผ่านมาด้วยนะ ได้ยินมาว่าเด็กบางคนเจอบางสิ่งที่แปลกประหลาดอยู่ที่ชายป่ารอบนอกที่ใกล้กับหอพักฤดูหนาว สิ่งมีชีวิตที่ร้องโหยหวนเหมือนกับสัตว์ดุร้าย แถมตอนนี้ทางมหาลัยได้ออกกฎระเบียบแปลก ๆ บังคับใช้ทันทีด้วย อย่างกฎที่ห้ามเด็กออกจากหอพักหลังเวลา 3 ทุ่ม หรือห้ามเดินไปไหนมาไหนคนเดียว” ซิดจ์เล่าต่อ “กฎอะไรแปลกชะมัด เหมือนกับว่าพวกอาจารย์กลัวอะไรบางอย่างอยู่เลย”


              “นายคงไม่หลงไปเชื่อคำพูดของเด็กพวกนั้นหรอกนะ มันไม่มีหลักฐานว่าไอ้สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีอยู่จริงสักหน่อย ฮัดเช้ย!” เบ็นจามินแย้งก่อนจามเสียงดังแข่งกับซิดจ์


              สัปดาห์เรียนล่วงเลยจนถึงช่วงเลิกเรียนของเย็นวันพฤหัส


              ตลอดทั้งวันลูคพบว่าเด็กคนอื่น ๆ มักจะเดินเกาะกันเป็นกลุ่ม สีหน้าของบางคนดูวิตกกังวลหรือไม่ก็ดูหวาดกลัว แม้กระทั่งตอนนี้ในขณะที่พวกเขากำลังยืนรอรถบัสรับส่งไปยังหอพักใบไม้ผลิ เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนหันมองไปมารอบ ๆ ตัวด้วยแววตาฉายความหวาดระแวง


              “คงไม่พ้นเรื่องข่าวลือพวกนั้นแหละ ยังดีที่เจ้าซิดจ์มันไม่เป็นไปกับเขาด้วยถึงมันจะเชื่อ กลับกันมันดูอยากจะเห็นกับตาว่าสัตว์ประหลาดมีจริง” เบ็นจามินบอก


              “แน่นอนมันต้องเป็นเรื่องจริง” แล้วซิดจ์ก็เริ่มขุดคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาพูดโน้มน้าวให้เพื่อน ๆ เชื่อตามตัวเองอีกครั้ง


              “ฉันไม่อยากจะเชื่อนายเลยจริง ๆ ซิดจ์” เบ็นจามินเหนื่อยหน่ายกับเจ้าเพื่อนตัวแสบขณะยัดกระเป๋าใบโตเข้าไปใต้ท้องรถบัส แต่แล้วเสียงใครบางคนก็เรียกความสนใจจากลูคไปมองที่รถบัสคันหนึ่งที่อยู่ถัดออกไป


              “ทำไมหน้าเหม่ออย่างนั้นล่ะไวท์! เมื่อคืนนอนไม่หลับมาหรือยังไงกัน”


              เบอมิวด์ แกรนด์โกสต์กำลังยืนหัวเราะเย็นเยียบอยู่ข้างรถบัสฤดูหนาวของเด็กปีสี่ สายตาก็จ้องมองมายังลูค ข้างเบอมิวด์คือฮาลน์ กับเด็กผู้ชายผมดำยาวหยักศกอีกหนึ่งคนที่ลูคไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขามีริมฝีปากบางอยู่ระหว่างแก้มตอบลึกแลดูอมทุกข์ นอกเหนือจากรอยแผลเป็นใต้ตาข้างซ้ายแล้ว สิ่งที่ลูคคิดว่าแปลกก็คือเด็กคนนี้ลืมตาข้างขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น


              “ลูค นายรู้จักกับรุ่นพี่คนนั้นด้วยเหรอ” เบ็นจามินกระซิบถาม ลูคส่ายหน้าตอบ


              “อีก 5 นาทีรถบัสใบไม้ผลิจะออกเดินทางแล้ว กรุณารีบขึ้นมาจับจองที่นั่งให้เรียบร้อย และอย่าลืมสัมภาระของท่านด้วยครับ” เสียงประกาศจากลำโพงรถดังขึ้นช่วยชีวิตลูคเอาไว้


              “เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง พวกเรารีบไปกันเถอะรถจะออกแล้ว” ลูครีบรุนหลังเพื่อน ๆ ขึ้นไปบนรถบัสทันที


              ลูคเลือกที่นั่งใกล้หน้าต่างหวังจะชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปหอพัก แต่เขาก็ต้องรูดม่านปิดเมื่อเห็นรุ่นพี่เบอมิวด์กำลังยืนจ้องด้วยแววตามุ่งร้ายมา ครู่หนึ่งรถก็เริ่มออกตัวมุ่งหน้าสู่หอพัก


              “ฉันเจอกับรุ่นพี่คนนั้นที่ลูนคาเฟ่ ตอนนั้นนายกำลังช่วยงานในครัว” ลูครีบเล่าให้เบ็นจามินฟังทันที


              “แล้วทำไมถึงทำหน้าอย่างกับเห็นผี” เบ็นจามินถามต่อ


              “ถ้าฉันบอกนายว่าเพราะฉันเจอกับเบอมิวด์ในฝันเมื่อคืนนั้นนายจะเชื่อฉันไหมล่ะ” ลูคถามย้อนทำเอาเบ็นจามินหน้าเสีย เพื่อนผมยุ่งมีท่าทีอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ ทำให้ลูครู้ว่าเบ็นจามินยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่นึกโทษเพื่อนเลยแม้แต่น้อยเพราะเขารู้ดีว่าเรื่องที่เล่ามันน่าเหลือเชื่อและดูเพ้อเจ้อเสียยิ่งกว่านิทานก่อนนอน


              “เรื่องที่นายฝันฉันก็พยายามจะเชื่อนะเพราะมันก็มีเรื่องตำนานเมืองมาอ้างอิงได้บ้าง แต่เรื่องเจอรุ่นพี่คนนี้ในฝันนี่มันก็อีกเรื่อง ขอโทษนะลูค” เบ็นเอ่ยพลางสูดน้ำมูกกลับเข้ารูจมูกเสียงดังสวบ


              ไม่รู้ว่าบทสนทนาจบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเขาหันไปมองเพื่อนอีกครั้งก็พบว่าเบ็นจามินกับซิดจ์ผล็อยหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองคนนี้คงจะง่วงนอนมากเพราะเป็นหวัด เว้นแต่ชินที่ยังคงนั่งเงียบ ๆ คนเดียว


              “นายว่ามันคือเรื่องจริงไหม” ลูคกระซิบถามหนึ่งชีวิตที่ยังตื่นอยู่


              “ฉันเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากมันยังไม่ถูกพิสูจน์ให้เห็น แม้แต่เรื่องความฝันของนายเองก็เถอะ” ชินตอบเสียงเย็น


              กว่ารถบัสจะขับมาถึงยังหอพักก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว ทันทีที่กลับถึงห้องซิดจ์กับเบ็นจามินก็รีบแยกตัวไปนอนพัก ส่วนคลีโออาสาลงไปซื้อมื้อเย็นให้ทุกคน ในห้องนั่งเล่นรวมจึงเหลือแค่ลูค ชินที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ บนโซฟา ข้าง ๆ คือฌองที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ช่องการ์ตูน


              ฌองคงจะชอบดูการ์ตูนช่องนี้มาก ลูคจึงนั่งดูเป็นเพื่อนฌองอยู่สักพักแล้วเขาก็แยกตัวไปอาบน้ำทิ้งให้ฌองอยู่กับชินสองคน


              หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ลูคกำลังจะสวมเสื้อเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของฌองดังมาจากด้านนอก


              ลูครีบวิ่งออกจากห้องน้ำจนเกือบจะลื่นล้มหัวฟาดพื้น ในห้องนั่งเล่นรวมเขาเห็นเพื่อนทั้งสองกำลังจ้องมองออกไปยังนอกระเบียงด้วยแววตาฉายความหวาดกลัว ลูคแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองซึ่งพานพบกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดคิดว่ามันมีอยู่จริง


              หมาป่าตัวใหญ่ยืนอย่างมนุษย์อยู่นอกระเบียง นัยน์ตากลมโตสีแดงก่ำลุกวาวจ้องมาอย่างอำมหิตอยู่เหนือคมเขี้ยวแหลมคม ทั่วทั้งเรือนร่างของมันปกคลุมด้วยขนดำสาก สัตว์ร้ายย่างสามขุมเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่หน้าแผ่นกระจกบางเฉียบ


              มันแยกเขี้ยวโชว์เขี้ยวแหลมที่เต็มไปด้วยคราบสีเหลืองแลดูสกปรกทันทีเมื่อฌองก้าวพลาดสะดุดโต๊ะล้มหงายหลังลงไปที่พื้น เสียงเสียดสีน่าสยดสยองดังขึ้นเมื่อมันเงื้อกรงเล็บขึ้นฝากรอยข่วนยาวไว้ที่บานกระจกใส


              แต่แล้วแววตาของสัตว์ร้ายก็เปลี่ยนไป มันชูหูตั้งประหนึ่งได้ยินเสียงบางอย่าง ก่อนจะกระโดดออกจากระเบียงหายไปในความมืดมิดของราตรี เสียงฝนตกหนักดังขึ้นตามมาหลังจากที่เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นหายไปอย่างไร้วี่แวว สายฝนสาดชำระล้างรอยเท้าที่มันเหยียบย่ำเอาไว้ที่ระเบียงจนหมด คงเหลือเพียงแค่รอยกรงเล็บบนกระจกทิ้งไว้


              “เกิดอะไรขึ้น ทำไมทำหน้าอย่างนั้นลูค แล้วฌองนายลงไปอยู่ที่พื้นทำไม” ซิดจ์เดินหน้าตาสดใสเข้ามาในห้องอย่างไม่รู้ประสีประสา ตามมาด้วยเบ็นจามินและคลีโอที่กลับมาจากซื้ออาหารมื้อค่ำ เสียงฝนสาดกระทบบานกระจกดังซู่ซ่า เรียกให้เจ้าตัวแสบเดินไปด้อมมองที่หน้าระเบียง


              “นี่มันรอยอะไร” ซิดจ์สังเกตเห็นรอยขีดข่วนเป็นทางยาวบนกระจกใส


              “ถ้าพูดไปคุณซิดจ์ต้องไม่เชื่อแน่ครับ แต่เมื่อกี้นี้มีบางอย่างแปลก ๆ อยู่ตรงตรงระเบียงก่อนที่ฝนจะตกลงมา” ฌองพูดออกมาไม่หยุดเมื่อได้สติกลับคืนมา


              “พวกนายเห็นอะไร” เบ็นจามินหันมาคาดคั้นคำตอบจากลูค


              “มนุษย์หมาป่า” ลูคตอบทำเอาห้องทั้งห้องเงียบ ซิดจ์อ้าปากค้างจนแมลงเม่าบินเข้าปากไปหนึ่งตัว ส่วนเบ็นจามินกับคลีโอหัวเราะออกมาเสียงดังแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อชินมองดุใส่


              หลังจากที่ลูคเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้เพื่อนคนอื่นฟัง เด็ก ๆ ก็รีบกรูกันไปมุงอยู่ตรงระเบียงเพื่อดูรอยที่เจ้าสัตว์ร้ายฝากไว้


              “นั่นน่ากลัวชะมัดยาด” เบ็นจามินอุทาน


              แต่แล้วเสียงท้องร้องของซิดจ์ก็ทำเอาฌองสะดุ้งโหยงเพราะนึกว่ามนุษย์หมาป่ากลับมา


              แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้จะน่าสยดสยองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของซิดจ์จากถาดพิซซ่าที่อยู่บนโต๊ะอาหารได้


              “ฉันว่าแล้วว่ามันจะต้องเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างงั้นทางมหาลัยคงไม่ออกกฎบ้า ๆ บอ ๆ พวกนี้ขึ้นมาหรอกจริงไหม” ซิดจ์โพล่งขึ้นมาด้วยแววตาฉายความตื่นเต้นเต็มประดาพลางหยิบพิซซ่าขึ้นมาเคี้ยวตุ่ย ส่วนเป็นจามินรีบกระโจนเข้ามารูดผ้าม่านปิดอย่างหวาดระแวงว่าสัตว์ประหลาดจะกลับมา


              “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริง เออว่าแต่นายซ้อมว่ายน้ำบ้างหรือเปล่า ฉันได้ยินมาว่าการแข่งขันชิงแชมป์มหาลัยใกล้จะมาถึงแล้ว การแข่งที่จัดขึ้นทุกปีระหว่างชั้นปีของโกลเด็นฟอร์เธ่น่ะ นายสมัครลงแข่งไปด้วยใช่ไหมล่ะลูค” เบ็นจามินเอ่ยถาม ลูคส่ายหน้าตอบ เขาแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าครั้งล่าสุดที่ได้ว่ายน้ำคือเมื่อไหร่


              “ทำไมนายไม่กินล่ะ เดี๋ยวฉันก็แย่งกินให้หมดเลยนี่” คลีโอถามเมื่อเห็นว่าฌองเอาแต่นั่นนิ่งเงียบไม่ยอมกินอาหารที่วางหราอยู่บนโต๊ะเลยสักคำ


              “ไม่ต้องไปคิดถึงมันหรอก ฉันไม่คิดว่าเจ้าหมาป่านั่นจะโผล่มาให้เห็นบ่อย ๆ หรอกจริงไหม” คลีโอเอ่ยต่ออย่างรู้ทัน


              “จะว่าอะไรไหมครับถ้าคืนนี้เราจะนอนรวมกันห้องเดียว ผมกลัวว่ามนุษย์หมาป่าจะกลับมาอีก” ฌองพูดเสียงสั่นไม่หาย ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของฌอง


              “เออใช่ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง คุณลูคครับ คุณน้าจูเลียฝากสิ่งนี้มาให้ --” ฌองกล่าวพลางยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลเปื้อนคราบช็อกโกแลตมาให้


              “-- คุณน้ายังบอกอีกว่าขอโทษด้วยที่ทำช็อกโกแลตเปรอะครับ”


              ลูคไม่รีรอรีบแกะจดหมายขึ้นอ่านออกเสียง


    โอ้พระเจ้า! ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเชื่อในสิ่งที่ฉันเขียนลงไปในกระทู้นั่น และที่วิเศษไปกว่านั้นคือจดหมายฉบับนี้ที่อยู่ในมือของฉันมันช่วยให้มีกำลังใจ ต้องขอโทษด้วยที่หายตัวไปจากเมืองอย่างกระทันหัน และขอโทษที่ทำให้ต้องรอฉันตอบจดหมายกลับอย่างยากลำบาก (มันเป็นความคิดของพ่อที่อยากปกปิดตำแหน่งแห่งหนของเราในตอนนี้) แต่ฉันก็มีเหตุผลสำหรับเรื่องนั้นนะ ถ้าหากคุณว่างในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ (ฉันจำไม่ได้ว่ามันตรงกับวันที่เท่าไหร่) จะเป็นไปได้ไหมหากจะมาพบกับฉันที่ลูนคาเฟ่ มันตั้งอยู่ในซอยซูเคร่ สักประมาณเที่ยงคงจะเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย หวังว่าจดหมายฉบับนี้จะส่งไปถึงยังมือของคุณโดยเร็วที่สุด

    ปล. อย่านอนตอนกลางคืน เรายังมีเรื่องอีกเยอะแยะที่ต้องพูดคุยกัน และฉันก็มีข่าวดีจะบอกกับคุณ!

    แอน ฮันเตอร์


              “ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง! เราจะได้ไปหาน้าจูเลียในวันหยุดนี้!” ซิดจ์พูดกระแอมกระไอเสียงดังเพราะสำลักพิซซ่าลงคอจนเบ็นจามินต้องช่วยตบหลัง ลูคคิดว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเจ้าตัวแสบตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องขนมฟรี


              จดหมายของแอนทำให้ลูครู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ในหัวของลูคเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาไม่รู้ว่าแอนจะเป็นคนแบบไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอหายไปอยู่ที่ไหนมา หรือแม้แต่ความช่วยเหลือให้เขาผ่านพ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้


              จนถึงตอนนี้ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตกเบาลงแต่อย่างใด เสียงฟ้าร้องดังครืนและเสียงฝนสาดกระทบกระจกระเบียงดังติดกันเป็นจังหวะขับกล่อมให้เด็ก ๆ นอนหลับสนิทในห้องนอนของฌอง เว้นแต่ลูคที่เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองมีไข้ เขาคิดว่าเขากำลังป่วยตามเพื่อนจึงลุกไปหยิบสมุนไพรเม็ดพกพามาเคี้ยวกิน ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยา


    ...


              สายลมพัดพาความหนาวเหน็บยามราตรีเข้าแทนที่ความอบอุ่นของห้องนอน เมฆครึ้มบดบัง แสงจันทร์กำลังส่องแสงริบหรี่ทำให้ทุกอย่างขุ่นมัวใต้ทิวไม้เรืองแสง ลูคไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังมีใครคนอื่นยืนอยู่ด้วยอีกหลายคน


              “ที่นี่มันคือที่ไหนกัน -- นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาจากหนึ่งในนั้น น้ำเสียงของเบ็นจามินดูแตกตื่นจนทำให้อีกสี่คนที่ยังยืนเหม่ออยู่ได้สติ และตอนนี้ทุกคนก็สติแตกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


              หลังจากที่สติกลับเข้าร่างทุกคนอีกครั้ง (ยกเว้นแต่ซิดจ์ที่ยังทำท่าทางเหมือนคนบ้า) เด็ก ๆ ก็ลงความเห็นกันว่าพวกเขาควรหาทางออกจากที่แห่งนี้


              “เราจะออกไปยังไง หรือว่าเราจะต้องติดอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิต!” ทันทีที่ซิดจ์เงียบปากลง ความรู้สึกราวกับถูกจับจ้องด้วยสายตาล่องหนก็กลับมาอีกครั้ง


              “นายเคยเล่าให้ฟังใช่ไหมว่าในฝันนายวิ่งหนีตัวอะไรสักอย่าง...” ยังไม่ทันขาดคำฌองก็ร้องจ๊ากขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


              “อะไรอยู่ในพุ่มไม้นั่น!” ฌองพูดหน้าถอดสีเมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาคู่โตที่กำลังวาวโรจน์อยู่ในพงไม้ตรงหน้า


              เด็ก ๆ จับมือกันวิ่งหนีจากดวงตาปริศนาคู่นั้นโดยทันที พื้นหญ้าแห้งเรืองแสงส่งเสียงกร๊อบแกร๊บตลอดทางเดินลูกรังแคบทอดยาวออกไปในป่าลึก ลูคพาเพื่อน ๆ วิ่งอยู่นานกว่าชั่วโมงจนกระทั่งหยุดฝีเท้าลงที่หน้าหุบเหวลึกกินบริเวณออกไปด้านข้างยาวสุดลูกหูลูกตา


              “เราจะทำยังไงดี มันจะต้องตามมากินหัวเราแน่ ๆ เลย” ซิดจ์สติแตกสายตามองลงไปยังผิวน้ำไหลเชี่ยวที่ก้นเหว


              ลูคกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางหนี จนสายตาไปเจอะเข้ากับสะพานข้ามเหวอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่นัก เขาไม่รอรีรีบกวักมือเรียกเพื่อน ๆ มุ่งหน้าตรงไปยังสะพานแห่งนั้นทันที


              เชือกเส้นหนาที่ยึดไม้กระดานผุพังเข้าไว้ด้วยกันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดหวั่นจะพังมิพังแหล่ทุกครั้งที่ลูคย่างเท้าเดินนำเพื่อน ๆ ข้ามไปยังอีกฝั่ง


              “ข้างล่างนั่นมีสัตว์ประหลาดเปล่าวะเนี่ย” ซิดจ์ที่เดินตามมาข้างหลังไม่วายปากเสียขึ้นมา


              “อยากลงไปหามันไหมล่ะ ไอ้ปากหมา” เสียงของเบ็นจามินไล่หลังซิดจ์มาอีกที ส่วนเจ้าตัวแสบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก


              ลูคโล่งใจเพราะคิดว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นคงไม่กล้าข้ามสะพานไม้แคบ ๆ นี้มาอย่างแน่นอน เมื่อเขาหันกลับไปมองก็เห็นเพียงแค่ดวงตาสัตว์ร้ายมองมาทางพวกเขาอย่างอาฆาตมาดร้ายอยู่บนขอบหน้าผา


              จนกระทั่งพวกเขาข้ามสะพานมาได้เกือบครึ่งทาง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อสะพานเริ่มแกว่งโคลงเคลง ลูคได้ยินเสียงปริแตกของแผ่นไม้กระดาน เสียงหัวเราะเย็นเยียบฟังคุ้นหู เสียงกรีดร้องของเพื่อน ๆ จากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงน้ำกระเซ็นดังซู่ซ่าหลายครั้ง ก่อนที่ไม้กระดานที่เขาเหยียบยืนอยู่จะร่วงกราวลงพาร่างของเด็กหนุ่มตกลงสู่ผิวน้ำเย็นเฉียบ


              ร่างของพวกเขาไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำ ลูคเห็นสีหน้าสติแตกของซิดจ์ลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลออกไปนัก บนไหล่ข้างขวาของมันมีร่างหมดสติของเบ็นจามิน ในขณะเดียวกันที่ข้างซ้ายคือใบหน้าขวัญเสียของคลีโอ


              ลูคเห็นชินเกาะโขดหินอยู่กลางกระแสน้ำไหลบ่าห่างไปเพียงคืบเดียว เด็กหนุ่มรีบคว้าคอเสื้อของเพื่อนมาให้ไหลไปตามกระแสน้ำด้วยกัน ในขณะที่ไร้วี่แววของฌอง


              “ฌองยังติดอยู่ที่ปลายเชือก!” คลีโอตะโกนเสียงสั่นคลอน


              ลูคมองไปยังสะพานขาด เขาเห็นฌองกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ริมหน้าผา เพื่อนตัวจ้อยกำลังจ้องไปในความมืดริมผาที่ซึ่งดวงตาของสัตว์ประหลาดกำลังวาวโรจน์ด้วยความอาฆาต ครู่หนึ่งฌองก็ปล่อยมือจากเชือกและตกลงสู่ผืนน้ำ นับว่าโชคช่วยที่กระแสน้ำพัดฌองมาทางลูค เขาจึงสามารถคว้าแขนของฌองไว้ได้อย่างพอดิบพอดี


              แม้ว่าเขาจะคลาดกับดวงตาปิศาจคู่นั้นได้ แต่ลูคก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย กระแสน้ำพัดพาเด็ก ๆ ไหลไปอย่างไร้จุดหมาย จนทัศนียภาพของโขดหินผาเริ่มมลายหายไปแต่ถูกแทนที่ด้วยตลิ่งและชายป่า มันเต็มไปด้วยสัตว์แปลกและต้นพืชประหลาด


              ขอให้ลำธารนี้พาพวกเขาไปให้ไกล ๆ จากดวงตาที่น่าเกลียดน่ากลัวคู่นั้น ลูคคิดพลางจ้องมองไปยังสัตว์ฝูงหนึ่งที่มีครึ่งบนเป็นมนุษย์ส่วนครึ่งล่างเป็นแพะอย่างไม่ไว้ใจว่ามันจะกระโดดมารุมทึ้งผมบนศีรษะของเขาเพราะนึกว่าเป็นอาหารเลิศรส หลังจากถูกพัดตกน้ำตกเล็ก ๆ หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดสายน้ำก็พัดพาพวกเขามาสู่บ่อน้ำขนาดพอ ๆ กับบึงแถวบ้านของลูค


              “ฉันคิดว่าครีบจะงอกมาจากตูดแล้วเชียว” ซิดจ์บ่นทันทีที่ตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นริมตลิ่งอย่างทุลักทุเล


              หลังจากช่วยลากฌองขึ้นมาบนพื้นดินเป็นคนสุดท้ายได้สำเร็จ ลมหนาวก็พัดปะทะร่างกายที่เปียกโชกของพวกเขาทันที ลูคกวาดตามองไปรอบ ๆ หวังจะหาต้นไม้กำบังลม แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะทั่วทั้งเนินดินริมตลิ่งมีเพียงแค่หญ้าเรืองแสงขึ้นสั้นเตียนเท่านั้น


              แต่แล้วเขาก็ต้องอึ้งเป็นไก่ตาแตกเมื่อสายตาไปเจอะเข้ากับเห็นชายคนหนึ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ ชายคนนั้นยืนห่างออกไปราวสิบเมตรและเริ่มย่างเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ ลูคกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกพลางหันมองหน้าเพื่อนซี้ทั้งสี่ที่ดูจะอึ้งไม่แพ้กัน


              ทันใดนั้นเองเสียงหวีดแหลมสูงก็ดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้างจนลูคหน้าเบ้เบี้ยว เด็กหนุ่มหันมองเพื่อน ๆ ทุกคนก็มีสีหน้าเช่นเดียวกับเขา ไม่ทันที่ลูคจะได้ยกมือขึ้นอุดหูเขาก็เริ่มหายใจไม่ออกและสำลักราวกับว่ามีน้ำอยู่เต็มปอด สายตาเริ่มพร่าเลือนในแสงสว่างสีขาว


              ลูครู้สึกตัวตื่นอีกครั้งบนพื้นห้องนอนของคลีโอ เหนือหัวเขามีนาฬิกาปลุกไขลานสีเงินสว่างสลักอักษรตัว G กำลังแผดเสียงแหลมและสั่นกุกกักไม่หยุด ฌองรีบคว้ามันไปบิดสองสามทีจนมันหยุดร้องก่อนจะเอากลับไปซุกไว้ที่ใต้หมอนดั่งเดิม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in