เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลูค ไวท์ ผจญภัยห้วงนิทราKGUNTION
หวนอดีต (1)
  •           ในห้องพักชั้นทองแดงไร้สุ้มเสียงใด ๆ นอกเสียจากเสียงติ๊กต่อกบอกเวลาของนาฬิกาเจ้าคุณปู่ ไม่ใช่เพราะผู้อาศัยหลับนอนไปหมดแล้วแต่กลับตรงกันข้าม เด็ก ๆ นั่งกันอยู่พร้อมหน้าในห้องนั่งเล่นรวม ไม่มีใครนึกอยากจะกลับไปนอนอีกเลยนับจากตื่นขึ้นจากฝันร้ายเมื่อครู่นี้


              ถ้าหากไม่ได้นาฬิกาปลุกใกล้พังของฌองเกิดรวนกรีดเสียงดังขึ้นมาตอนตีสาม ป่านนี้ลูคก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง


              หลังจากเรียกขวัญกันอยู่นานร่วมชั่วโมง เด็ก ๆ ก็เริ่มจับกลุ่มนั่งหาคำอธิบายต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นจนเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง


              “หรือว่าที่เราเข้าไปกับนายได้ มันคือพรเฉพาะตัวของนาย” ชินงึมงำพูดตั้งคำถามกับตัวเอง เบ็นจามินเอามือขยี้ผมตัวเองประหนึ่งพยายามจะขุดคุ้ยความคิดออกมาจากหัว “ก็ฟังดูเป็นไปได้” เขาเอ่ยตอบ


              “แต่ทำไมก่อนหน้านี้ที่เราไปนอนค้างบ้านนายถึงไม่ได้ฝันล่ะ” เบ็นจามินถามกลับ


              ลูคนึกย้อนกลับไปถึงวันนั้นและแล้วเขาก็รู้คำตอบว่าทำไม


              “ก็วันนั้นฉันแกล้งทำเป็นนอน ฉันไม่ได้หลับพวกนายเลยไม่ได้ฝันด้วย” เขาพูดด้วยเสียงในลำคอ


              “แล้วคนที่เห็นในฝันก่อนเราตื่นนั่นเป็นใครกัน” คลีโอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


              ลูคเงียบ


              จริงด้วย… ชายคนนั้นทำไมถึงได้มาปรากฏตัวในความฝันเมื่อครู่นี้นะ... 

              

              ลูคนั่งเกยคาง มือคลำจี้สร้อยคอรูปสมอเรือ สายตามองออกไปนอกบานหน้าต่างยามราตรีคิดถึงอดีตวัยเด็กอย่างเหม่อลอย


    ...


              ดำดิ่งสู่ก้นทะเล ความรู้สึกด้านชากำลังครอบงำเส้นประสาททุกเส้นในร่างกาย ดวงอาทิตย์ส่องแสงระยิบอยู่เบื้องบนเหนือฟองอากาศและสายน้ำเย็นเยียบ ฝูงปลาและสาหร่ายที่รายล้อมเริ่มเคลื่อนช้าลงก่อนจะหยุดนิ่ง ราวกับเวลาจงใจแกล้งหยุดเอาไว้ชั่วขณะให้ผู้เคราะห์ร้ายลิ้มรสความทรมาน


              เปลือกตาของเด็กชายวัย 8 ขวบค่อย ๆ ปรือปิดลง มือทั้งสองข้างที่อ่อนล้าลอยอยู่เหนือหัวพริ้วไหวตามแรงน้ำสัมผัสเข้ากับลูกบอลสีแดง เจ้าตัวต้นเรื่องที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


              กระทั่งมีอุ้งมือของใครบางคนมาคว้าแขนของเด็กน้อยเอาไว้ได้ทันเวลา


              เสียงนกนางนวลร้องและเสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่งแว่วมา เขาสำลักน้ำทะเลและพยายามหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด กลิ่นเค็มของเกลือทะเลคลุ้งเต็มจมูกไปหมด ในใจได้แต่คิดว่าทำไมตัวเองถึงยังหายใจได้อยู่อีก หลังจากที่นอนกระพริบตาไปมาอยู่สักพักเพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจน เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง ยกฝ่ามือทั้งสองที่เปรอะเปื้อนเม็ดทรายสีขาวขึ้นมาดูอย่างนึกฉงน


              "นายโอเคใช่ไหม" เสียง ๆ หนึ่งดังมาจากด้านหลัง เด็กชายย่างเข้าวัยรุ่นนั่งจ้องเขาตาไม่กระพริบ ปอยผมสีดำเหลือบเขียวที่ยังไม่แห้งดีนักตั้งชี้โด่เด่กระเซอะกระเซิงเพราะถูกขยี้ด้วยอุ้งมือของเจ้าตัว ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงขาสั้นเก่าขาดวิ่นตัวเดียวที่เปียกชุ่มน้ำทะเล


              เด็กชายผมดำพยักหน้าหงึก ๆ


              "เล่นไม่เข้าเรื่อง เกือบจมน้ำตายแล้วไหมล่ะ ดีนะที่พี่อยู่แถวนี้พอดีเลยกระโดดมาช่วยทัน --" เด็กหนุ่มตำหนิเด็กน้อย "-- นายชื่อลูคใช่ไหม ได้ยินมาว่านายเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พี่ชื่อไคล์ ซี อยู่บ้านหลังถัดไปนี้เอง" ไคล์ขว้างลูกบอลสีแดงสดใสที่เขาไม่คิดต้องการมันอีกต่อไปแล้วมาให้


              “พ่อแม่นายปล่อยให้ออกมาวิ่งเล่นริมทะเลคนเดียวได้ยังไงกัน” ไคล์หลิ่วตาถาม


              “แม่กับพ่อไม่มีเวลามาดูฉันหรอก แม่ต้องเข้าเมืองไปทำงานทุกวันกว่าจะกลับก็มืด ส่วนพ่อก็ต้องวาดภาพที่ถ้ำร่ำไห้ให้เสร็จ ความจริงที่ผมต้องย้ายมาที่นี่ก็เพราะพ่ออยากหาแรงบันดาลใจ เลยเลือกบ้านริมทะเลห่างไกลจากผู้คนในเมือง” ลูคตอบ


              “ครอบครัวจิตรกรสินะ ฉันก็เคยเจอพวกแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ย้ายมาเก็บไอเดียใหม่ ๆ แล้วก็จากไป -- แต่นายคงเหงาแย่เลยสิ แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีผู้คนอย่างที่นายว่าด้วยนั่นแหล่ะ นานทีปีหนจะมีคนย้ายเข้ามาแต่ไม่นานก็ย้ายกลับไปเพราะแถวนี้อยู่ลำบาก จะมีก็แค่ตลาดปลากับสถานพยาบาลเล็ก ๆ นอกนั้นก็ธรรมชาติล้วน ๆ เอางี้ไหมล่ะ... ฉันจะเป็นพี่ชายให้นายเอง” ไคล์ยิ้มโชว์เขี้ยวขาว


              รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าของเด็กชายเพียงชั่วครู่ก่อนแววตาจะฉายความเดียวดายออกมา


              “คงจะไม่ได้หรอก พ่อไม่ชอบให้ฉันสุงสิงกับใครนอกจากคนในครอบครัว” ลูคเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย


              “ก็เก็บมันไว้เป็นความลับสิ เถอะน่า… นายคงไม่อยากอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตหรอกใช่ไหมล่ะ แล้วก็อีกอย่างถ้านายยอมรับฉันเป็นพี่ ฉันอาจจะสอนนายให้ว่ายน้ำเป็นด้วยก็ได้นะใครจะไปรู้” ไคล์พูดอย่างเจ้าเล่ห์มือก็ขยี้ผมที่เปียกโชกบนหัวลูคเสียจนฟูกระจายไม่ต่างจากผมของตัวเอง


              “จริงเหรอพี่” ลูคถามด้วยแววตาตื่นเต้นระคนดีใจ ไคล์ยกแขนขึ้นกอดอกจนน่าหมั่นไส้


              “แต่นายจะต้องเรียกฉันว่าอาจารย์นะเจ้าน้องชาย -- มาเจอฉันที่โขดหินแฝดทุกวันจันทร์”

    ลูครู้ภายหลังว่าพ่อแม่ของพี่ไคล์เป็นชาวประมงที่เก่งฉกาจ แต่เรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในรุ่งสางของเช้าวันเดือนมืด คลื่นทะเลได้พรากชีวิตพ่อแม่ของเด็กหนุ่มไป นับแต่นั้นไคล์กลายเป็นเด็กกำพร้า เขาต้องอาศัยอยู่กับคุณยายเอลเลนในกระท่อมเหล็กสีสนิมเก่าซอมซ่อใกล้กับหน้าผาสูงริมทะเล


              ชีวิตของไคล์ลำบากตรากตรำ เขาไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนและยากจน สมบัติเดียวที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้เขาคืออุปกรณ์หาปลาเท่าหยิบมือ แต่ถึงกระนั้นไคล์ก็ไม่เคยบ่นให้ลูคได้ยินเลยว่าชีวิตของเขาลำบากมากแค่ไหน กลับกันเขารับมือกับความทุกข์ยากด้วยรอยยิ้ม

              

              เวลาล่วงเลยไปไม่นานทั้งสองก็สนิทสนมกันราวกับพี่น้องร่วมสายเลือด ลูคไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เขามักจะแอบออกจากบ้านไปเรียนว่ายน้ำกับไคล์จนเริ่มว่ายน้ำเป็น ตลอดเวลาที่เรียนกับไคล์ ลูคไม่เคยนึกสงสัยในทักษะการว่ายน้ำของพี่ชายเลย


              เย็นวันหนึ่งที่ท้องฟ้าทอแสงสีอำพัน ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินจากชายหาดกลับไปยังหน้าผา


              “ลูค!” เสียงหนึ่งเรียกขึ้นจากข้างหลัง โนเอล ไวท์ ผู้เป็นพ่อเดินปรี่เข้ามาหาเขาก่อนจ้องหน้าไคล์เขม็งราวกับอาจารย์ใหญ่ที่กำลังคาดโทษเด็กนักเรียน


              “พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามยุ่งกับคนอื่น ลูกถูกกักบริเวณห้ามออกจากบ้าน กลับบ้านกับพ่อเดี๋ยวนี้” โนเอลรีบคว้ามือลูคแล้วแยกลูกตนเองออกมาทันที


              สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือรอยยิ้มแบบฝืน ๆ ของไคล์ วันนั้นเองที่ลูคได้รู้ซึ้งถึงบทเรียนสำคัญว่าความลับไม่มีในโลก


              โนเอลสั่งกักบริเวณลูคอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็ม วัน ๆ เด็กชายได้แต่นั่งอยู่ในห้องนอน จมอยู่ในห้วงคิดของตัวเองว่าทำไมพ่อถึงต้องลิดรอนอิสรภาพไปจากเขาขนาดนี้ เขารู้สึกไม่ต่างไปจากลูกนกในกรงที่ถูกผ้าสีดำคลุมทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง


              ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ลูคกำลังนั่ง ๆ นอน ๆ วาดรูปด้วยดินสอสีอยู่บนห้องนอนของตัวเอง นาฬิกาแขวนผนังรูปแมวดังบอกเวลาสามทุ่มตรง ทว่าเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังเล็ดลอดมาจากข้างนอกห้อง เด็กชายรีบลุกจากเตียงย่องเดินลงบันไดไปดู เขาตามเสียงนั้นไปถึงห้องครัว เด็กตัวน้อยแอบมองผ่านช่องประตูครัวที่แง้มเปิดอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสา


              เขาเห็นแม่กำลังยืนล้างถ้วยชามอยู่หน้าอ่างล้างจาน ใบหน้าของแม่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าอย่างมาก ส่วนพ่อคงเพิ่งจะกลับมาจากการวาดภาพที่ถ้ำร่ำไห้ได้ไม่นานเหมือนทุกครั้ง เขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวรายวันอยู่ตรงเก้าอี้นวมตัวประจำหน้าเตาผิง


              “ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยให้ลูกออกไปเล่นข้างนอกบ้าง ลูคยังเด็กอยู่เลย ทำแบบนี้มันทำร้ายจิตใจของลูกนะคะ” เดซี่เปรยเสียงเนือง


              “บอกไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก เลิกคิดเรื่องของลูค แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของคุณต่อไปเสียดีกว่า ยังไงเสียวัน ๆ คุณก็ต้องออกไปทำงานที่ในเมืองอยู่แล้วนี่ คุณจะเดือดร้อนอะไรอีก” โนเอลตอบเสียงแข็ง มือคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ออกเสียงดังแกรบ


              “ไอ้เหตุผลบ้าบอเดียวกับที่คุณเคยบอกฉันเมื่อคืนที่ลูคเกิดนั่นเหรอคะ... ฉันว่าคุณน่าจะไปพบหมอ ปรึกษาหาทางรักษาจริง ๆ จังๆ ได้สักทีแล้วนะ อาการฝันและเห็นภาพหลอนของคุณมันชักจะหนักกว่าเก่า มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าคุณออกมาช่วยฉันทำงาน แล้วเราเลี้ยงดูลูคด้วยกันอย่างที่ครอบครัวควรจะเป็น” เดซี่สวน เขาไม่เคยได้ยินแม่พูดด้วยเสียงที่มีน้ำโหแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง


              พ่อทำหน้าหงิกงอขึ้นมาทันทีที่แม่พูดจบประโยค ชายหนุ่มผละตัวจากเก้าอี้นวมลุกยืนขึ้น


              “คุณหาว่าผมบ้าเหรอ” โนเอลขึ้นเสียง


              “ฉันสุดจะทนแล้วกับภาระครอบครัวทั้งหลายแหล่ที่คุณไม่สนใจจะช่วยแบ่งเบา ฉันเบื่อที่จะต้องแบกหน้าออกจากบ้านไปทำงานหาเลี้ยงลูกและสามีด้วยตัวคนเดียว คุณไม่รู้เหรอว่าเขาซุบซิบนินทากันเรื่องครอบครัวเรา ฉันอายเหลือเกินที่มีสามีแบบ...”


              เสียงแก้วแตกดังเพล้งดังกลบคำสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากของแม่ เขาเห็นพ่อผลักแม่จนเซล้มไปถูกชั้นวางของ บรรดาถ้วยชามร่วงแตกกราวเสียงดังบาดใจ ส่วนแม่นั้นล้มลงไปกองอยู่บนพื้น โนเอลยกมือขึ้นกุมหัวของตัวเองดูไม่ต่างจากคนที่กำลังคุ้มคลั่ง ก่อนตั้งท่าหันเดินมาทางประตูห้อง โดยมีเสียงร้องสะอึกขอเดซี่ดังแผ่วตามมาเบา ๆ


              ลูครีบเขย่งเท้าวิ่งกลับขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเองทันที เมื่อถึงห้อง เด็กชายกุมมือบนหน้าอกข้างซ้ายที่เต้นตุบจากความตื่นกลัว น้ำตาไหลรินลงสองข้างแก้ม เขาไม่เคยเห็นพ่อทำร้ายแม่มาก่อน คำถามเริ่มผุดพรายในหัวว่านี่คือครั้งแรกหรือที่พ่อทำกับแม่แบบนี้


              นับแต่คืนนั้นมา มุมมองของลูคที่มีต่อโนเอลก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขามักจะพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนากับพ่อ และทำเหมือนว่าพ่อไม่มีตัวตน เป็นเพียงแค่อากาศ


              เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายวันหนึ่งในปลายฤดูร้อน ลูคได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังมาจากหน้าต่างห้องนอน เด็กชายชะเง้อมองลงไปเห็นไคล์กำลังป้องปากเรียกให้เขาลงไปหา


              “แอบออกมาได้ไหม แป๊ปเดียวเท่านั้น” ไคล์กระซิบถาม ลูคพยักหน้าตอบเพราะเห็นว่าพ่อยังไม่กลับมาบ้าน


              ไคล์พาลูคไปที่ริมหน้าผาเช่นเดิม ทั้งสองนั่งลงที่ขอบผา สายลมเอื่อยพัดพาเกลือทะเลกระทบใบหน้าสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย


              “ขอบคุณนายมาก ฉันไม่รู้สึกเกลียดชังทะเลอีกต่อไปแล้ว” ไคล์เปรยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยอย่างที่ลูคไม่เคยเห็นมาก่อน


              “รู้ไหมหลังจากที่พ่อแม่ฉันเสีย ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเดินเหยียบน้ำทะเล ถึงแม้ว่าพ่อจะสอนฉันเสมอมาว่าผืนทะเลอันกว้างใหญ่คือสถานที่แห่งความไม่แน่นอน แต่ฉันจะทำใจได้ยังไงกัน ในเมื่อทะเลเอาชีวิตพ่อแม่ฉันไป ถ้าไม่ทันเห็นนายจมน้ำเมื่อวันนั้นป่านนี้ฉันก็คงจะยังรู้สึกเหมือนเดิม” ไคล์เอ่ยสายตาเหม่อมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าสีน้ำเงินก่อนจะคว้าบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง


              “ฉันให้… มันจะช่วยให้นายว่ายน้ำได้เก่งเหมือนฉัน” ไคล์แบมือออกให้เห็นสร้อย ห้ามถอดมันออกเด็ดขาดแล้วก็ห้ามทำมันหายด้วย สัญญานะ” พี่ชายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ราวกับข่มขู่


              “สัญญา” ลูครีบรับมันมาไว้และรีบใส่สร้อยนั้นโดยทันที


              ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก เสียงคลื่นซัดกระทบหาดทรายดังซู่ซ่าคละเคล้ากับเสียงนกนางนวลร้องดังอยู่เนือง ๆ เด็กทั้งสองนั่งแกว่งขาสลับกับ ก้มหน้าลงมองยังผิวน้ำเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยโขดหินขึ้นระเกะระกะ ถูกคลื่นที่ซัดกระทบจนเกิดฟองสีขาวอยู่พักหนึ่ง ไคล์ก็ไล่ให้ลูคกลับไปบ้าน


              เย็นวันถัดมาท้องฟ้าทอแสงสีแดงฉานราวกับโลหิต ลูคแอบหนีออกมานอกบ้าน ระหว่างที่เขากำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในตลาดปลาเพียงคนเดียว เขาได้ยินแม่ค้าร้านขายปลากำลังคุยกับลูกค้าหญิง


              “คุณรู้ข่าวหรือยังว่าเมื่อกี้นี้มีคนจมน้ำตายที่ถ้ำร่ำไห้” แม่ค้าเม้าอย่างออกรส


              “โอ้พระเจ้า! จริงเหรอคะ” ลูกค้าอุทานเสียงดัง แม่ค้าปลาพยักหน้าตอบก่อนจะเอ่ยต่อ “ได้ยินว่าเด็กคนนั้นอยู่กับคุณยายที่กระท่อมเล็ก ๆ บนหน้าผาใกล้ ๆ กับโขดหินแฝดค่ะ น่าสงสารจริง ๆ ไม่รู้คุณยายแกจะอยู่ยังไงต่อ ไม่กี่ปีก่อนแกก็เพิ่งจะเสียลูกสาวไปเพราะเรือล่มด้วย”


              ลูคสะเทือนใจจนหน้าซีด หัวใจของเด็กชายเต้นระรัวแต่หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในหัวเต็มไปด้วยคำถามแม้ในใจจะยังไม่ปักใจเชื่อ จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนที่ว่ายน้ำแข็งอย่างไคล์จะจมน้ำ เด็กชายคิดไปพลางลากขาที่อ่อนแรงไปยังกระท่อมริมผา


              หลังจากนั่งคุยกับคุณยายเอลเลน ลูคก็รู้เรื่องราวทั้งหมด คุณยายเล่าให้เขาฟังว่าไคล์จมน้ำเสียชีวิตลงที่ถ้ำร่ำไห้ เด็กชายปาดน้ำตาวิ่งไปตามทางลูกรังมุ่งสู่บ้านของตนพร้อมด้วยความเศร้าโศก ความสับสนและโทสะที่เดือดดาล


              เด็กชายกระแทกบานประตูวิ่งถลาเข้าบ้าน เขาเห็นพ่อกำลังนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเหม่อลอย


              “ลูกหายไปไหนมา! พ่อเป็นห่วง...” โนเอลรีบเอ่ยแต่ลูคขัดขึ้นทันที


              “ทำไมพ่อไม่ช่วยไคล์! พ่อก็อยู่ที่ถ้ำบ้า ๆ นั่นด้วยใช่ไหมตอนที่เขาตาย แล้วทำไมถึงไม่ช่วย ปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง พ่อไม่อยากให้ผมมีเพื่อนมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ลูคระเบิดโทสะราวกับภูเขาไฟที่กำลังเริ่มประทุ


              “ลูค… พ่อ...” โนเอลพูดตะกุกตะกัก


              “ชีวิตนี้พ่อเคยทำประโยชน์อะไรให้ใครบ้าง! เคยทำอะไรให้ครอบครัวบ้าง… วัน ๆ เอาแต่วาดรูปงี่เง่าพวกนั้น ผมเห็นแม่ทำงานงก ๆ อยู่คนเดียวไม่เคยได้พัก!” ลูคพูดด้วยความอัดอั้นตันใจ


              “พ่อ...”


              “ไร้ประโยชน์! พ่อมันก็แค่ตัวถ่วงในชีวิตพวกผม ถ้ามีพ่อแบบนี้ไม่มีเลยคงจะดีเสียกว่า! ผมเกลียดพ่อ!”


              เสียงตวัดมือตบเพียะดังสนั่น เด็กชายยืนกัดริมฝีปากตัวเอง พยายามสะกดเสียงร้องสะอึกของตัวเองจนตัวกระตุก น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างมิอาจกลั้นไว้ อาบสองข้างแก้มที่เจ็บชาของตัวเอง และวิ่งหนีกลับขึ้นห้องของตัวเองไปโดยทันที


              บ้านทั้งหลังตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน เขาไม่นึกหิวเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าแม่จะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพ่อ เพราะไม่เช่นนั้นป่านนี้แม่คงรีบเข้ามาปลอบเขาแล้ว คืนนั้นลูคนอนหลับทั้งน้ำตาไม่รู้เลยว่าเช้าวันรุ่งขึ้นพ่อจะหายไปจากชีวิตของตนตลอดกาล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in