เด็กๆ เดินออกไปบนระเบียงภายนอกอาคาร พวกเขาต้องขึ้นบันไดอยูหลายต่อหลายครั้งจนลูคเริ่มสงสัยแล้วว่าตนจะหาทางกลับออกมาจากชั้นเรียนวิชาต่อไปได้หรือเปล่ากระทั่งทั้งสี่เดินมาถึงยังห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลหะในหอคอยหลังคาปลายแหลมสูงตระหง่านสีทองอร่ามที่เด็กทุกคนเรียกกันอย่างเคยปากว่าหอคอยทองเหลือง
ลูคขึ้นบันไดราวขดหอยทอดยาวขึ้นไปจนเกือบถึงชั้นบนสุดของหอคอยหน้าซุ้มประตูโค้งเหล็กสีทองหมอง ๆ มีระฆังใบใหญ่สีเดียวกันห้อยติดไว้เขารู้ทันทีว่าหอคอยนี้ไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นหอระฆังของโรงเรียนต่างหาก
เด็กหนุ่มย่ำเท้าเดินบนแผ่นเหล็กที่ส่งเสียงดังครืดคราดตลอดเวลาผ่านโต๊ะอาจารย์ที่หน้าชั้นเรียนซึ่งยังคงว่างเปล่าไร้ผู้สอน เขาค่อย ๆ แทรกตัวลอดช่องทางเดินแคบๆ ที่ลาดชั้นสูงขึ้นไปเป็นระดับ ห้องเรียนนั้นช่างแคบแสนแคบ แต่ถึงกระนั้นก็สามารถจุนักเรียนกว่าห้าสิบคนที่ลูคเริ่มคุ้นหน้าอยู่เพียงประมาณสี่ถึงห้าคนเท่านั้น
ลูคเห็นมารีน่านั่งอยู่แถวเก้าอี้เกือบหน้าชั้นเรียนข้าง ๆ เธอคือเด็กผู้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งกำลังนั่งเสยผมมันปลาบสีน้ำตาลตุ่น ๆของตน แค่ดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังพยายามเรียกร้องความสนใจมารีน่าอยู่กลับกันที่พอเห็นซิดจ์เดินเข้ามาในชั้นเรียนเธอก็รีบส่งยิ้มหวานพราวสเน่ห์มาให้โดยทันที
ลูคเห็นสายตาส่อแววโมโหของเด็กหนุ่มผมเนี๊ยบคนนั้นที่หันมามองซิดจ์ไม่วางตา
ซิดจ์หันมองหน้าเขาแบบเซ็งๆ เล็กน้อยก่อนจะยักไหล่ประมาณว่าช่างเถอะ และเดินขึ้นทางลาดแคบ ๆไปยังเก้าอี้หลังห้องที่ยังพอเหลือที่อยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่วายส่งสายตามาให้ซิดจ์อยู่ดี
แน่นอนว่าเด็กสามคนนั้นคือหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เขาคุ้นหน้าก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้เสียอย่างไรเพราะหนึ่งในนั้นมีเส้นผมสีแดงสดเหมือนผลมะเขือเทศ อีกคนผมสีฟ้าใสส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปริมสุดที่นั่งนั้นมีผมสีส้มอมเหลืองเหมือนขนของเสือลายพาดกลอนไม่มีผิด
ฝนตกหนักใส่บานกระจกราวกระสุนเหล็กทันทีเมื่ออาจารย์อาวุโสร่างท้วมเริ่มการบรรยายด้วยน้ำเสียงยานยืดเม็ดฝนสาดกระทบหน้าต่างดังเป็นจังหวะกล่อมให้ซิดจ์ฟุบหน้าลงหลับน้ำลายยืดล่วงหน้าไปทันทีที่อาจารย์พูดประโยคแรกจบ
ลูคมองตามนิ้วของเพื่อนไปยังภาพพิมพ์สีน้ำมันของชายชราหลังค่อมเจ้าของใบหน้าเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งจริงอย่างที่ซิดจ์ว่าฮาร์โปเป็นชายแก่ที่ดูน่ากลัวและชวนให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก
ลูครู้สึกตัวอีกทีตอนเบ็นจามินเขย่าให้ตื่นดูเหมือนว่าชั้นเรียนจะเลิกได้สักพักแล้วและเพื่อนร่วมโต๊ะก็ต่างแยกย้ายไปกันหมดแล้วด้วย ชั้นเรียนทั้งชั้นเงียบกริบเหลือเพียงแต่เพื่อนซี้ทั้งสี่คน
เขายกมือขึ้นบีบขมับที่เต้นตุบตับอย่างปวดร้าวพลางนึกไปถึงความฝันในชั้นเรียนเมื่อครู่นี้เขาฝันว่าอยู่ตัวคนเดียวในชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์นี้บรรยากาศอึมครึมและน่าหดหู่ มันเหมือนกับเรื่องจริงจนน่าประหลาดใจ เขาเดินออกจากชั้นเรียนวิชานี้ไปตามระเบียงอันคดเคี้ยวกระทั่งเลี้ยวที่มุมระเบียงหนึ่งแล้วเจอเข้ากับฮาร์โปชายชรายุคโบราณกำลังถือหลอดทดลองที่มีของเหลวสีแดงข้นเหมือนเลือดอยู่ในมือมันมีกระดาษเขียนแปะเอาไว้ด้วยภาษาที่เขาอ่านไม่ออกก่อนจะทันรู้ตัวว่าถูกพบตัวเข้า ฮาร์โปก็จ้องมองมายังเขาด้วยสายตาประทุษร้ายและพุ่งกระโจนตรงมายังเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าขัดแย้งกับร่างกายอันแก่ชรานั้นโดยสิ้นเชิง
ในที่ก็ถึงเวลาที่ซิดจ์เฝ้ารอที่สุดรองจากเวลาเลิกเรียนเวลาพักกลางวัน ทั้งสี่เดินออกจาหอระฆังผ่านระเบียงที่คดเคี้ยวฝ่าสายฝนกระหน่ำไปยังห้องอาหารของมหาวิทยาลัยเบ็นจามินเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ ว่าในโกลเด็นฟอร์เธ่มีห้องอาหารอยู่ทั้งหมดสี่ห้องแบ่งตามชั้นปี สำหรับห้องอาหารใบไม้ผลิของนักเรียนปีหนึ่งนั้นตั้งอยู่ใกล้กับสวนดอกไม้ริมทะเลสาบ
ห้องอาหารสุดหรูหราใต้หลังคากระจกถูกแบ่งออกอย่างเป็นสัดส่วนบริเวณตักเติมอาหาร ขนมหวานและน้ำดื่มแออัดไปด้วยนักเรียนจำนวนมากโต๊ะเก้าอี้ในส่วนอาคารเต็มเกือบหมดแล้ว โชคดีที่ยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่บ้างไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องออกไปนั่งกลางสายฝนที่ชานระเบียง
เด็กหนุ่มผมเขียวคนหนึ่งโผล่มายืนข้างหลังเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แม้แซมจะแต่งตัวดูหลุดโลกด้วยกางเกงทรงกระบอกลายสก็อตสีแดงเสื้อกล้ามสีส้มสะท้อนแสง ตบท้ายด้วยผมสีเขียวนีออน แต่เขาฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะไม่กี่ปีก่อนแซมได้ทุนการศึกษาจากโกลเด็นฟอร์เธ่ ทำให้เขาต้องทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์หลายท่านจนแทบไม่มีเวลาไปไหนได้ไกลจากรั้วมหาวิทยาลัยเพราะเหตุนี้เขาจึงแทบไม่ได้กลับบ้านในวันหยุดเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
สมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กคุณและคุณนายลอว์สันทุ่มเทเวลาให้กับงานมากจนไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก ๆซิดจ์เลยติดพี่ชายงอมแงมจนถึงที่ว่าไม่ว่าแซมจะอยู่ที่ไหนก็จะมีเด็กชายตัวน้อยขี้มูกโป่งคอยเกาะชายเสื้ออยู่ตลอดเวลาจนพอแซมได้ทุนเขาก็ไม่มีเวลาให้กับซิดจ์และพ่อแม่อีกต่อไป ลูคพอเดาได้ว่าตอนนี้ซิดจ์คงหงุดหงิดมากเมื่อเห็นพี่ชายของตัวเองกำลังเดินร่อนไปร่อนมาอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้
มื้อเที่ยงจบลงด้วยฉากซิดจ์เลียชามสเต็กแบบหน้าไม่อายจนเด็กโต๊ะข้าง ๆ หันมามองอย่างรังเกียจ (โดยมีเบ็นจามินพูดเสียงดังว่า
ลูคคิดในใจขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงสี่สิบพอดีเป๊ะ
ชินบอกเขาว่าชั้นเรียนวิชาวรรณกรรมฟอร์ทอีสต์อยู่ใกล้กับหอคอยทองเหลืองซึ่งนั่นก็แปลว่าพวกเขาต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม
ถึงอย่างนั้นลูคก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าความรู้ที่ได้จากการเรียนวิชาวรรณกรรมฟอร์ทอีสต์นั้นจะสามารถนำไปใช้ทำอะไรในชีวิตประจำวันได้เหมือนกันพวกวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับโลหะแต่เขาก็ไม่ปริปากบ่นหรอก หากอาจารย์มาธาร์ใจดีไม่เหมือนอาจารย์บาร์ทและปล่อยให้เขานอนหลับได้อย่างสบายใจ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ฝนเริ่มปรอยเม็ดเบาลงทันทีที่ทั้งสี่เดินกลับไปตามทางระเบียงโลหะกลางแจ้งเพื่อกลับเข้าสู่อาคารหลัก ห้องเรียนวิชาวรรณกรรณท้องถิ่นอยู่ชั้นบนสุดของตึกเดิมที่มีโถงน้ำพุกว่าจะเดินขึ้นมาถึงก็เล่นเอาลูคและเพื่อน ๆ เหนื่อยหอบไปตาม ๆ กันเมื่อลูคหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะเรียนเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าไม่ทันได้ยินแม้แต่เสียงกล่าวทักทายชั้นเรียนของอาจารย์มาธาร์เลยด้วยซ้ำไป
ลูครู้สึกตัวตื่นอีกครั้งด้วยแรงเขย่าของเบ็นจามินเขาพบว่าชั้นเรียนเลิกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลูคได้แต่นึกสงสัยว่าพวกหล่อนกำลังหัวเราะอะไรกันอยู่แต่แล้วเขาก็ต้องตัวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อเหลือบตามองไปเห็นสตรีสาวหุ่นหนาผู้หนึ่งกำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างหลังใกล้จนแทบจะชิดหัวซิดจ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาได้เธอกำลังมองตรงมาที่ซิดจ์ตาเขียวปั้ด
ชินแอบส่งซิกเป็นเชิงบอกให้พวกเขาที่เหลือรีบออกไปก่อนที่เขาจะเดินตามออกมาภายหลัง
ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึงคาบเรียนสุดท้ายของวันซึ่งเป็นวิชาที่ลูคเฝ้ารอที่สุดของวันนี้
ยิมเป็นอาคารทรงโดมกว้างส่วนในร่มมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อุปกรณ์กีฬามากมายวางเรียงรายอยู่ข้างสนามหญ้าเขียวขจียาวจรดริมทะเลสาบลูคได้ยินเสียงเป่านกหวีดปรี๊ดลอยมาแต่ไกลจากข้างสนามหญ้า และมองไปเห็นนักเรียนคนอื่นยืนจับกลุ่มอยู่ที่ขอบสนามหญ้าพลางมุงดูกระดานเหล็กเก่าขึ้นสนิม
เพื่อนอีกสามคนไม่มีใครสมัครเลยลูครู้ว่าสำหรับเบ็นจามินแล้วเขาคงไม่ยอมเสียเวลาอ่านนิตยสารรายสัปดาห์ทุกฉบับที่ผลิตในฟอร์ทอีสต์เพื่อเอามาใช้ทำกิจกรรมที่ไม่ถนัดอย่างการเล่นกีฬาเป็นแน่ในขณะที่ชินคงเห็นห้องสมุดมีค่ากว่าการเสียเวลาเป็นชั่วโมง ๆ ทุ่มลูกเหล็กหนักอึ้งไปทั่วสนามหญ้าส่วนซิดจ์คงไม่อยากเสียเวลานอนอันล้ำค่าไป
เสียงเบ็นจามินปลุกเขาจากภวังค์นี่เขาเผลอหลับไปตอนไหน นอนเท่าไหร่ก็รู้สึกไม่พอเด็กหนุ่มคิดในใจอ้าปากกว้างหาวหวอดใหญ่
ลูคหัวเราะเบาๆ ก่อนบอกขอบใจเพื่อนที่เป็นคนจัดการทุกอย่างให้เพื่อนในกลุ่มตลอดตั้งแต่สิบขวบจนตอนนี้ปาไปสิบแปด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in