เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
TakkiTsuba fictiontomei_tan
[fic T&T]Find my love song


  • ==============================================
    fiction จากการต่อฟิคของบอร์ด T&T : one and only 
    ผู้เล่น :: tanok , kaya , yuki , คุณยิ้ม , ชิชิ , โทเม
    โทเมเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เนื้อเรื่องมีระดับภาษาที่เสมอกัน
    ==============================================



    ในวันหนึ่งที่ผ่านมาไกลมาก ใต้เมฆสีส้มยามเย็นเคลื่อนลอยผ่าน บนทุ่งโครฟเวอร์กว้างใหญ่ เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งยืนก้มหน้านิ่ง ปล่อยให้มือทั้งสองของตัวเองอยู่ในอุ้งมือใหญ่กว่าของคู่สนทนา แม้จะซ่อนใบหน้าไม่ให้ได้เห็น แต่ไหล่เล็กบางที่สั่นน้อยๆรวมทั้งหยดน้ำใสหยดลงพื้นแปะๆ ก็บอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้อย่างหนัก

    “ฮิเดะจัง จะไปจริงๆเหรอ?”

    น้ำเสียงอู้อี้ที่ผ่านริมฝีปากเล็กจ้อยสีแดงก่ำ ทำให้เด็กชายร่างสูงต้องเขย่ามือเล็กๆที่เกาะกุมไว้เพื่อปลอบโยน ทั้งที่ตัวเองก็เศร้าไม่แพ้กัน

    “ทำไมขี้แยแบบนี้ล่ะสึบะจัง ทุกทีเอาแต่พูดว่าเป็นพี่ฉันไม่ใช่เหรอ”

    “ไม่เหมือนกันสักหน่อย คราวนี้ถ้าฮิเดะจังย้ายไปแล้วจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้นี่นา”

    สึบาสะพูดพลางสะอื้นฮัก ปล่อยหยดน้ำตาไหลพรูลงมาอีกระลอก เด็กชายตัวสูงจึงดึงร่างเล็กๆนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ใช้เสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองเป็นที่รองรับหยาดน้ำใส แตะริมฝีปากลงยังเรือนผมสีดำนุ่มละมุนด้วยความรักสุดใจ

    “อย่าร้องไห้นะสึบะจัง สักวันหนึ่งฉันจะกลับมาแน่ๆ”

    “จริงๆนะ? สัญญานะว่าจะกลับมา?”

    “อื้ม!...สัญญา”

    มือน้อยๆคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมาเกี่ยวก้อยสัญญา ดวงตากลมโตยังคงรื้นไปด้วยละอองน้ำ หยดน้ำตายังคงค้างบนพวงแก้มใส แต่ใบหน้ากลมอิ่มกลับระบายด้วยรอยยิ้มเต็มที่ทำให้น่ารักน่าเอ็นดูนักหนา

    “รีบๆกลับมานะ ฉันจะรอ”

    ++++++++++++++++



    เขาว่ากันว่าวันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก...

    ผมกวาดสายตามองวิวรอบข้างอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อนัก เพราะจากที่แห่งนี้ไปในช่วงวัยเด็ก จนย้อนกลับมาอีกครั้งด้วยเหตุผลเรื่องงานตอนอายุ28 แต่ทำไมเมืองที่เคยอยู่แห่งนี้ถึงเหมือนถูกสตั๊ฟท์ ไม่ก็ถูกกาลเวลาลืมเลือน เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นความกันดารบ้านนอก เอ่อ...ผมไม่ได้เจตนาจะดูถูกบ้านเกิดนะครับ แต่วิวบ้านทรงเก่าซึ่งเรียงรายตามถนนที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้

    “ที่นี่จะใช้อินเทอร์เน็ตได้รึเปล่าก็ไม่รู้”

    ว่าไปก็แวะถอนใจอีกทีก่อนตัดสินใจลากกระเป๋าออกมาจากสถานีรถไฟ สำหรับนักแต่งเพลงชื่อดังที่มีเวลาเป็นเงินเป็นทองอย่างทาคิซาว่า ฮิเดอากิ ความสะดวกสบายทุกวินาทีของชีวิตถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะธีมเพลงใหม่ที่ต้องแต่งประกอบหนังรักชื่อพิลึกของรุ่นพี่ที่ผมนับถือล่ะก็ ผมคงไม่ยอมถ่อสังขารกลับมาบ้านนอกแบบนี้เด็ดขาด

    “ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะหนังเรื่องรักแรกของผมหล่นอยู่แถวบ้านเกิดของรุ่นพี่โคอิจิล่ะก็...”

    บ่นไปก็เท่านั้น เพราะปัญหาอยู่ที่ตัวผมนี่แหละที่ดันแต่งเพลงแนวรักใสๆหัวใจสิบดวงไม่ได้ สุดท้าย...ก็ต้องหันมาตามหาแรงบันดาลในสมัยเด็กจากที่แห่งนี้

    “ว่าแต่บ้านคุณน้าไปทางไหนล่ะนี่?”

    แม้ทิวทัศน์จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่กับคนที่จากบ้านนามายี่สิบปีอย่างผมก็มีลืมทางได้เหมือนกัน ทั้งๆที่ว่าจะเดินเล่นเสียหน่อยระหว่างรอคนมารับพักเดียว ก็เริ่มจะกลับไม่ถูกเสียแล้ว

    "แย่แล้วสิ"

    ระหว่างที่หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะโทรศัพท์หาคุณน้าอิมาอิ แม่ของเพื่อนวัยเด็กที่ผมแพลนว่าจะเข้าไปอาศัยพักผ่อนในเรียวคังของท่าน ระหว่างทำงานอยู่ในสถานที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ แต่ก่อนที่จะกดโทร เสียงแตรรถคันหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกให้หันกลับมามอง ต้นเสียงเป็นรถจี๊ปคันเก่า ด้านในเป็นผู้ชายท่าทางนักเลง ทำผมเสยลวกๆ ไว้หนวดเคราและสวมแว่นตาดำ

    ผมเอียงคออย่างงุนงงก่อนหันไปรอบตัวเช็คให้แน่ใจ ว่าผู้ชายที่กำลังยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างรถ แล้วกระดิกนิ้วเรียกอยู่นั้นคือผมจริงๆ แต่ชะรอยว่าผมจะยืนคิดนานไป พี่ชายคนนั้นจึงเปิดประตูรถแล้วเดินอาดๆตรงมาหา มือใหญ่ที่มีเครื่องประดับสไตล์ฮิปปี้อยู่ตรงนิ้วและข้อมือคว้ากระเป๋าเดินทางของผมหมับ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มเจือแหบที่ระยะประชิด 

    “ของมีแค่นี้ใช่มั้ย?”

    “เอ่อ...”

    ความใกล้ชิดที่มากเกินสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกทำเอาผมชะงัก แต่ท่าทางเจ้าตัวจะไม่รู้สึกรู้สา เอามือที่แข็งแรงนั่นเข้ามาคว้าข้อมือผม กึ่งลากกึ่งเดินไปทางรถจี๊ปที่จอดไว้

    “โทษนะ แต่เราต้องรีบนิดเพราะช่วงไฮซีซั่นแบบนี้แขกเยอะ”

    ผู้ชายหน้าหนวดอธิบายสั้นๆระหว่างปิดประตูรถ แล้วถอนหายใจระหว่างพยายามไขกุญแจสตาร์ทเครื่อง   “จริงๆก็อยากจะเอาคันดีกว่านี้มารับ แต่รถคันอื่นไปรับแขกหมด”

    ผมถึงบางอ้อ ท่าทางพี่ชายคนนี้จะเป็นคนของเรียวกัง ที่คุณน้าอิมาอิส่งมารับผมแน่ๆ

    “กระเป๋าคงต้องเอาไว้ด้านหน้า เพราะด้านหลังใส่พวกวัตถุดิบทำอาหารเต็มหมดแล้ว”

    พี่ชายคนเดิมบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลังที่ยัดสารพัดข้าวของเอาไว้ ก้านเขียวๆของหัวไชเท้าและแครอทโผล่พ้นถุงพลาสติกออกมากองพะเนิน   “เมนูวันนี้มีของโปรดฮิเดะจังด้วย ทานเยอะๆล่ะ”

    ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ คุณน้านี่ล่ะก็...เรื่องความชอบของผมน่ะไม่ต้องบอกพนักงานให้ทราบก็ได้นะคร้าบ

    รถจี๊ปวิ่งกึงกังไปตามทางลาดยางเส้นแคบๆ นำไปสู่เรียวกังยูเมะโมโนกาตาริที่คุณน้าอิมาอิกับสึบะจังเป็นเจ้าของ บรรยากาศเก่าๆที่คุ้นเคยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น สมัยเด็กๆช่วงเสาร์-อาทิตย์ผมชอบมาเล่นที่นี่บ่อยๆ เพราะติดใจทั้งออนเซ็นและอาหารฝีมือคุณน้าที่เข้าขั้นเทพ

    “คิดถึงจังน้า...”

    เสียงรำพึงรำพันของผมดูเหมือนจะลอยไปเข้าหูคนข้างๆ ริมฝีปากสีสวยอย่างน่าอิจฉาถึงได้คลี่ยิ้มนิดๆ

    “เดี๋ยวเราจะเข้าทางด้านหลังนะ อยากจะจอดให้ด้านหน้าเหมือนกัน แต่ถ้าทำแบบนั้นมีหวังฉันโดนด่ายับแน่”

    รถจี๊ปเลี้ยววืดเข้าทางแยกสายเล็กพร้อมๆกับเสียงมือถือดัง คนขับร่างสูงเดาะลิ้นเบาๆก่อนกดสมอลทอล์ครับสาย

    “โหล...อื้อ! ใช่ๆ มารับที่ประตูด้านหลังนะ ผมจะวนเข้าทางนั้น”

    พูดจบก็จอดรถพรืดที่ประตูไม้ขนาดใหญ่ เอื้อมมือคว้าสัมภาระของผมหิ้วลงไปวางไว้หน้าประตูเรียบร้อย ผมเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วรีบตบกระเป๋าซ้ายขวาหาเศษเงินก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายเลิกคิ้วถามขึ้น

    “ทำอะไรน่ะ?”

    “ก็ทิป... เอ้อ! โทษที”

    ผมยกมือเกาหัวเมื่อนึกได้ว่าที่นี่คือญี่ปุ่น บริการฟรีไม่มีทิป พี่ชายร่างสูงหัวเราะหึๆก่อนจะเดินมาหยุดเบื้องหน้าผม

    “ท่าทางจะไปเมืองนอกบ่อยสินะ หายกลัวเครื่องบินแล้วเหรอ?”

    “ยังกลัวอยู่ เอ๋?”

    ผมเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง...ทำไมถึงได้รู้เรื่องนี้ด้วยล่ะ?

    “จำกันไม่ได้เลยสินะ ใจร้ายจัง”

    คนพูดทำเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะปลดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาคู่สวย...ดวงตาที่แสนคุ้นเคย

    “อ่ะ...”

    ดวงตาคู่นี้ผมเคยรู้จักแน่ๆ แต่มันเป็นดวงตาที่สมควรจะประดับอยู่บนใบหน้าแสนน่ารักของใครคนหนึ่งที่ผมจำได้ไม่เคยลืม คนที่เรียกได้ว่าเป็นรักแรกของผม

    “ลืมกันแบบนี้...ต้องทำโทษแล้วนะฮิเดะจัง”

    “เฮ้ย!”

    ผมสะดุ้งพรวดสุดตัวเมื่อใบหน้าโคตรจะแมนเกินล้านของคนเคยน่ารักยื่นพรวดเข้ามาหาในระยะประชิด

    “สึบาสะ! แกล้งอะไรน้องอีกแล้ว?”

    เสียงดังขัดขึ้นมาจากด้านหลังราวระฆังช่วยชีวิต เพื่อความปลอดภัย ผมรีบกระโดดหลบหลังบุคคลที่สามอย่างเร็วโดยยังไม่ทันได้มองหน้าว่าเป็นใครด้วยซ้ำ

    "โหยแม่ อีก...นิดเดียวเอง”

    ชายคนนั้นจิ๊ปากอย่างขัดใจกับคุณน้าอิมาอิ ขณะที่ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เสียงปฏิเสธรัวๆจากส่วนลึกของหัวใจ ว่าไอ้หน้าโหดตรงหน้าไม่ใช่สึบาสะคนที่ผมเคยรู้จัก

    ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!
    เจ้าคนใจร้าย แกกินสึบะจังของฉันเข้าไปได้ยังไง คายออกมาเดี๋ยวนี้นะะะะะะะะ!!!
    พระเจ้าครับ บอกผมทีว่านี่เป็นแค่ความฝัน มว่ายยยยยยยยยย!!!!!
    หัวใจผมจะรับไม่ไหวแล้ว รักแรกของผมทำไมมันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ !!!!

    เสียงคร่ำครวญแทบระเบิดออกมาจากอกแต่ว่าผมต้องรีบสงบจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะเป็นจุดอ่อนให้อีกคนเข้าแกล้งได้ แต่ทำยังไงใจก็ยังไม่หยุดสั่นกับการจู่โจมเมื่อครู่

    “นิดเดียวอะไร เรานี่น่าตีนักเชียวชอบแกล้งน้องอยู่เรื่อย"

    คุณน้าดุตาหนวดแล้วก็หันมาทางผมด้วยความเอ็นดู ขณะที่ผมมองอีกฝ่ายอย่างขู่ฟ่อด้วยความคลุ้มคลั่งอยากจับผู้ชายตรงหน้าเขย่าให้เปลี่ยนร่างเดิม

    แต่คิดไปคิดมา เมื่อเทียบขนาดตัวกันแล้วท่าทางจะแพ้หลายขุม...เพราะงั้น ผมขอยู่เงียบๆหลังคุณน้า น่าจะปลอดภัยกว่า 

    “อะๆ ไม่แกล้งก็ได้ อย่างน้อยก็ต่อหน้าแม่อ่ะ เราไปกันฮิเดะจัง”

    ร่างสูงคว้ากระเป๋าของผมขึ้นแล้วมืออีกข้างก็ยื่นมาจับข้อมือผมไว้ ให้ผมละล่ำละลักถาม แล้วพยายามฝืนตัวอย่างที่สุด

    “ป...ไปไหน?” 

    “ไปห้อง”

    ++++++++++++++++++++++++++


    เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะที่กระทบกับพื้นไม้ เข้ากันได้ดีกับจังหวะแทงโก้ของหัวใจผู้ที่ถูกไอ้หน้าโหดลากข้อมือให้เดินตามมา

    เสียงจอแจของแขกเริ่มเงียบหายไปเรื่อย คนตัวขาวซึ่งก้มหน้ามองพื้นตลอดทางเพราะยังทำใจไม่ได้กับความน่ารักของรักแรกที่หายไป จนไม่ทันได้สังเกตว่า....พื้นที่ส่วนที่โดนลากมานั่นมันไม่ใช่บริเวณที่พักรับรองแขก

    "เอ้า ถึงแล้ว"

    พอเงยหน้าขึ้นมาก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ทางขวามือของห้อง ... ของสะสมเกี่ยวกับเบสบอลเรียงราย หนึ่งในคอลเล็กชั่นนั้นมีของที่ผมเคยให้เขาเป็นของขวัญด้วย ริมฝีปากรูปกระจับแย้มรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความดีใจที่ของที่ตนเองให้นั้นยังถูกเก็บรักษาอย่างดี แม้จะยังตกใจจนยกปากให้ตั้งองศาขึ้นสูงไม่ได้มากก็ตาม

    เมื่อหันมาทางซ้าย งานไม้แกะสลักหน้าตาแปลกๆเกินจะบอกได้ว่าคนทำตั้งใจจะออกแบบเป็นอะไรยังคงตั้งอยู่ที่เดิม แล้วก็ผลงานปั้นดินในชั่วโมงศิลปะที่ผมขอให้สึบาสะช่วยทำก่อนจะย้ายจากไป เพราะไม่รู้ว่าจะทำเป็นรูปอะไร ก่อนส่งจึงนั่งหยีตาแล้วก็เขียนแปะลงไปว่าสัตว์ประหลาด ผลงานชิ้นนั้นก็ยังถูกเก็บอยู่อย่างดีเหมือนกัน

    หันกลับมามองตรงข้างหน้าบ้าง รูปถ่ายของเด็กน้อยซึ่งเป็นรักแรกในหลายอริยาบทในแต่ละช่วงอายุถูกแขวนเรียงรายอยู่ หลายรูปที่มีรูปผมวัยเด็กยื่นหน้าเข้ามาแจมด้วย

    พอกวาดสายตาลงมามองที่พื้น ก็เห็นฟูกสองผืนวางเรียงคู่กันอยู่เหมือนอย่างเมื่อก่อน ทุกอย่างในห้องนี้แทบไม่ได้เปลี่ยนไป ไม่ต่างจากห้วงเวลาในอดีต

    "สำรวจพอรึยัง หรือว่าไม่ได้มานานเลยลืมอีก"

    เสียงของคนหน้าหนวดดังขึ้นทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี่หว่า พอหันไปมองก็เห็นสายตาแบบที่ไม่น่าไว้ใจสุดๆ เป็นดวงตาที่แฝงความขี้เล่นซึ่งไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าใดนัก นอกจากความพราวระยับที่มากขึ้นตามวัยที่ดูแล้วเจ้าเล่ห์ขึ้นอย่างน่ากลัว  สติที่ล่องลอยไปกับอดีตอันแสนหวานที่มีร่วมกับรักแรกก็ลอยกลับร่างด้วยสปีดเร็วกว่านักวิ่งมาราธอนเห็นเส้นชัย

    "เอาล่ะ แม่ไม่อยู่แล้ว เราก็มาต่อกันเถอะ"

    คนพูดที่ตอนแรกยืนพิงผนังห้องวางมาดราวกับนักสืบ เอียงคอซ้ายขวาคลายความเมื่อยขบก่อนจะเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ๆ รอยยิ้มร้ายกาจค่อยๆเผยออกมาช้าๆ ยิ้มปีศาจน้อยเวลาที่เจ้าตัวอยากจะแกล้งใครสักคนนั้นไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ผมมองซ้ายขวาอย่างหาทางหนีทีไล่ แม้จะยังไม่สามารถแปลคำพูดหลายแง่หลากง่ามของอีกฝ่ายได้ แต่คิดว่าหาทางเผื่อไว้ก่อนน่าจะดี

    สึบาสะเดินเข้ามาใกล้ผู้ที่ไม่ได้เจอกันนับยี่สิบปี ด้วยระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวเขาก็สามารถประชิดผมได้ และเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนนิ่งหน้าซีดแล้วซีดอีกราวโดนน้ำยาฟอกขาวกัด เขาก็กระตุกยิ้มพร้อมส่งเสียงหึเบาๆในลำคอ จากนั้นจึงก้มตัวลงช้อนตาที่มีหลากอารมณ์ปนเปแฝงอยู่ เสียงของตาหนวดคนที่ควรจะอายุอานามมากกว่าผมเพียงแค่ปีเดียวถามขึ้น

    "แม่บอกว่านายมาที่นี่เพื่อจะหาแรงบรรดาลใจในการแต่งเพลง แล้วนั่นก็คือฉัน ?"

    "อืม"

    ผมพยักหน้ารับ เพียงแต่ไม่ได้บอกคุณน้าอิมาอิว่าเนื้อหามันเกี่ยวข้องกับรักแรกเท่านั้น เพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจอะไรผมผิดไปเสียก่อนว่าจะไปทำอะไรลูกชายคนเดียวของเธอเข้า แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้มันจะกลับตาลปัตรกันมากกว่า บางทีผมควรจะเลื่อนไฟท์กลับอเมริกาให้เร็วขึ้น ฝ่ายนั้นถามต่อ

    "แล้วเพลงเป็นแนวไหนล่ะ ? แดนซ์ ? ร็อค ? เฮฟวี่เมทัล ?"

    "เพลงใสๆเด็กๆ ไว้ประกอบละคร"

    "เหรอ ?" 

    เสียงถามของเขาสูงขึ้นเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่ดูน่ารักน่าชังไม่ต่างกับสมัยเด็ก พอมาดูตอนโตก็เข้ากับความหล่อคมคายไม่เบา   "แบบการ์ตูนโดราเอม่อน หรือแนวๆแปลงร่างน่ะเหรอ ฉันว่านายน่าจะไปพวกสวนสนุกอะไรอย่างนี้กว่าไหม ที่อื่นบนโลกมีเรื่องเกี่ยวกับเด็กๆตั้งมากมาย มาทำไมบ้านนอกแบบนี้"

    "ก็ที่อื่นไม่มีรักแรกของผมอยู่น่ะสิ"

    ผมหลุดปากรีบแก้ตัวก่อนที่การคาดเดามันจะเลยเถิดไปไกล คำตอบทำเอาคนที่อยู่ตรงหน้าชะงัก ดวงตาคู่งามนั้นเบิกขึ้นก่อนจะกลอกขึ้นเพดาน สึบาสะยืดตัวตรงพร้อมลูบมือไปตามไรหนวดตัวเองคล้ายครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆสองทีเหมือนกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผม

    "ถ้าอย่างนั้น ระหว่างอยู่ที่นี่ก็คิดให้ออกล่ะว่าแต่ก่อนเรารักกันแค่ไหน"

    พูดจบก็เอียงหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆหนึ่งที ทำเอาความคิดสมัยเด็กลอยขึ้นมาวูบหนึ่ง ตอนนั้นผมไปสวนสัตว์กับสึบะจัง แล้วโดนแมวน้ำเอาปลายจมูกชนแก้ม หนวดสากๆของมันข่วนหน้าผม มันช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดจนผมได้แต่ยืนนิ่ง...ตอนนี้ก็เช่นกัน

    สึบาสะในตอนนี้มองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้น มือหยาบกร้านของคนทำงานตบแปะๆเบาๆลงบนแก้มที่เพิ่งประทับจูบลงไป เสียงทุ้มต่ำนั่นฟังดูนุ่มนวลและ....

    "พยายามเข้านะ ระหว่างอยู่ที่นี่ฉันก็จะพยายามช่วยนายเหมือนกัน"

    ...สยองขวัญ...

    "โอ้ยตายจะบ่ายสามแล้ว ฉันต้องลงไปลุยในครัวก่อน เดี๋ยวคืนนี้เราค่อยมานอนคุยกันนะที่รัก"

    ว่าแล้วรักแร้ เอ้ย รักแรกของผมก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งผมไว้กับฟูกสองอันที่เหมือนกำลังสุมหัวกันหัวเราะเยาะใส่ผมอยู่ ผมชักไม่แน่ใจว่าคิดผิดหรือเปล่าที่เดินทางมาที่นี่

    ทันทีที่ประตูเลื่อนปิด เสียงฝีเท้าหนักๆและเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีก็ค่อยๆเคลื่อนห่างไป วิญญาณผมที่กำลังสั่นสะท้านสะเทือนเหมือนจะหลุดลอยออกจากร่างด้วยความขวัญหนีดีฝ่อ ก็รีบสั่งการร่างกายให้เลิกลนลานแล้วทำอะไรสักอย่าง

    ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์รุ่นพี่โคอิจิ ผมอาจจะต้องปฏิเสธงาน เรื่องบางเรื่องให้อัจฉริยะยังไงก็ไม่สามารถทำมันได้ รักแรกในรูปแบบนี้ คงจะออกมาในแนวดนตรีบุกป่าแล้วเจอหมีกรีซลี่ย์

    “ฮิเดะจังจ๊ะ”

    เสียงหวานๆของคุณน้าจากด้านนอกประตูเลื่อน ทำให้ผมขานรับโดยทั้งตาและมือไม่ละจากหน้าจอโทรศัพท์ หูผมได้ยินเสียงประตูเลื่อนเปิดออก แล้วกลิ่นหอมๆโชยกรุ่นก็ผ่านเข้ามาด้วย

    “หิวข้าวหรือเปล่า น้าเตรียมราเมงมาให้”

    กลิ่นหอมหวนของอาหารและเสียงอ่อนโยนของคุณน้า ทำให้ผมต้องยอมวางมือจากการหาทางปกป้องสวัสดิภาพส่วนตัวลงชั่วคราว ร่างกายผมมันปกครองโดยระบอบเผด็จการที่มีกระเพาะอาหารเป็นผู้นำสูงสุดอยู่แล้ว

    "ขอบคุณครับคุณน้า”

    ผมเดินตามชามราเมงควันกรุ่นไปยังโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่มีเพียงตัวเดียวภายในห้อง พนมมือขึ้นกล่าวขอบคุณก่อนทานอาหารแล้วหยิบตะเกียบขึ้นพร้อมประจำที่ หูแว่วได้ยินเสียงคุณน้าบ่นอะไรสึบาสะนิดหน่อยเกี่ยวกับฟูกนอนคู่ที่ปูเตรียมเอาไว้ แต่ผมไม่สนใจอะไรนอกจากน้ำซุปหอมๆที่อยู่ตรงหน้า

    “อร่อย!!”

    ทันทีที่ซู้ดเส้นราเมงร้อนๆเข้าไปคำแรกผมก็อดอุทานออกมาไม่ได้ ทั้งความเหนียวนุ่มของเส้นและรสชาติหอมกลมกล่อมของน้ำซุป เรียกได้ว่าอร่อยกว่าราเมงที่ผมเคยกินมาทั้งหมดในชีวิตได้ด้วยซ้ำ

    “ฝีมือของคุณน้ายังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับนี่”

    คุณน้าอิมาอิหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่สวยละม้ายอดีตรักแรกของผมฉายแววอ่อนโยน

    “น้าไม่ได้ลงครัวมาหลายปีแล้วจ้ะ นี่ฝีมือของสึบาสะเขาน่ะ พอรู้ว่าฮิเดะจังจะมาก็เตรียมทำน้ำซุปกับนวดเส้นเองเลยทีเดียว”

    “สึบะจัง...เอ่อ...สึบาสะน่ะเหรอครับ”

    ผมรีบแก้คำเรียกที่คุ้นเคยปากเป็นชื่อเต็มๆของเจ้าตัว ก็โตๆกันแล้ว แถมหนวดเอยเคราเอย จะให้เรียกเรียกต่อท้ายว่าจังก็จะจั๊กกระเดียมใจพิกล

    “จ้ะ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าพ่อครัวของที่นี่”

    เธอเล่าอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวน   "นอกจากอาหารธรรมดาแล้ว พวกอาหารไคเซกิก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับมืออาชีพแล้วล่ะจ้ะ”

    ผมฟังพลางซดน้ำซุปอีกฮวบ อืมม...อร่อยจริงๆนั่นแหละ

    “ถ้าว่างๆก็แวะไปดูเขาที่ห้องครัวได้นะจ๊ะ เผื่อจะได้แรงบันดาลใจสำหรับงานมากขึ้น”

    “ฮะๆๆ”

    ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ขณะที่ทำนองดนตรีสยองขวัญขึ้นมาในหัวอย่างผิดงาน มือขาวของคุณน้ายื่นมาลูบหัวผมอย่างรักใคร่เอ็นดูพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยน

    "เอาล่ะจ้ะ น้าต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว ตามสบายนะจ๊ะฮิเดะจัง จะอยู่ที่นี่กี่วันก็ได้ นึกเสียว่าเป็นบ้านตัวเองได้เลยจ้ะ ขาดเหลืออะไรก็บอกสึบะจังนะจ๊ะ”

    “ขอบคุณครับคุณน้า”

    ซาบซึ้งนะครับ...แต่ผมกลัวลูกชายคุณน้าอ่ะ


    ++++++++++++++++++++


    ท้องผมอิ่มแล้ว พลังงานเต็มที่และความคิดที่จะรีบไปจากที่นี้ก็ยังอยู่ แต่ด้วยความค้างคาใจอะไรบางอย่างทำให้ผมเลื่อนความคิดนั้นออกไปก่อน ผมเดินไปหยิบกล้องคู่ใจแล้วออกจากห้องเผื่อว่าจะสามารถเก็บภาพอะไรดีพอจะเป็นแรงบันดาลใจได้บ้าง

    และด้วยสิ่งที่ค้างคาใจนั้นเองทำให้ผมมายืนอยู่หน้าห้องครัว ห้องที่ผมก็รู้ดีว่าเมื่อก้าวเข้าไปจะเจอใครอยู่ในนั้น

    ผมอยากเห็นว่ารักแรกของผมจะมีสีหน้าอย่างไรตอนทำอาหาร จะเหมือนครั้งที่พวกเราเคยช่วยกันทำอาหารครั้งแรกหรือเปล่านะ ความอยากรู้อยากเห็นจากส่วนลึกของผมชนะความสยดสยองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมเอื้อมมือไปยังประตูตรงหน้าแล้วประตูบานนั้นก็เปิดออก

    ... มันเปิดเองโดยที่ผมยังไม่ได้แตะมันเลย หรือว่าผมจะเป็นเจได...

    “ฮิเดะจังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ หรือว่าทนคิดถึงฉันไม่ไหว”

    ทั้งภาพและเสียงตรงหน้าย้ำและซ้ำให้ผมรู้ว่าผมตัดสินใจผิดที่ระงับความคิดที่จะไปจากที่นี้ ร่างสูงก้าวเข้ามาประชิดตัวผมที่คิดอยากกระโดดหนี แต่ทำไม่ได้เพราะตอนนี้หลังผมก็แนบสนิทกับผนัง

    “ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือว่าอยากจะได้อะไรมากกว่านี้”

    “ค..คือ...”

    สมองผมไม่สามารถประมวลผลออกมาเป็นคำพูดอะไรได้ เมื่อลมหายใจของคนตรงหน้าเป่ารดอยู่บนผิวแก้ม ทำได้อย่างเดียวคือหลับตาแล้วถอยหน้าหนี ใช่สิ ลองถ้าผมก้มหน้าหนีในตอนนี้ แก้มของผมได้ชนกับจมูกของเจ้านั่นแน่ๆ ก็ใกล้เสียขนาดนี้

    "นายอยากเห็นฉันทำอาหารสินะ”

    คำที่พูดมาทำให้ผมอึ้งไป รู้ได้ยังไงกัน ทำไมสึบาสะพูดได้ราวกับอ่านความคิดของผมได้ ร่างสูงตรงหน้าดูจะพอใจกับการกลั่นแกล้งเพียงแค่นั้น ถึงได้ถอยห่างออกไปพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เปลี่ยนมาจับข้อมือผมลากเข้าไปด้านในของห้องครัว

    “นั่งตรงนี้แล้วกัน จากตรงนี้สามารถมองเห็นได้ทั่วห้อง” 

    แล้วผมก็ไปนั่งแปะอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงมุมห้องไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่นัก ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่กรุ่นไอร้อนจากหม้อหุงข้าวที่ทำจากไม้ เสียงหั่นผักและเนื้อ คนในครัวต่างดูยุ่งๆ และทางสึบาสะเองก็ไม่แพ้กัน แต่เจ้าตัวก็ดูกระฉับกระเฉงและสนุกสนาน ผมไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ตอนขอดเกล็ดปลาผมเห็นว่าเขาแอบกระตุกยิ้มด้วย

    ลมหายใจทอดถอนออกมาเอง ห้องครัวที่ผมเคยวิ่งเล่นและอ้อนขอนู่นนี่คุณน้าอิมาอิกินเปลี่ยนไปแล้ว พอโตขึ้นมันช่างให้ความรู้สึกเหงาๆเศร้าๆ เมื่อไม่มีอะไรในวัยเด็กหลงเหลืออยู่เลยแบบนี้ ผมจะนึกถึงรักแรกใสๆได้อย่างไร

    "เหลืออยู่หรือเปล่า ?"

    "เอ๋ ? เอ๋ ? เอ๋ ?"

    ผมสะดุ้งจนนั่งหลังตรงกับเสียงคำถามของผู้ที่มีส่วนร่วมในชะตากรรมเพลงใหม่ สึบาสะมองตากลมใสที่กำลังกระพริบปริบๆ อยู่จึงถามคำถามเดิมอีกครั้ง

    "กระเพาะนายน่ะ ยังเหลืออยู่หรือเปล่า ?"

    "อ่อ มากมายเลย"

    "ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไปกินแก้เบื่อไปพลางๆก่อน เดี๋ยวงานเสร็จจะพาร่อน"

    ผู้ชายคนนั้นว่าพลางเอาขนมเซมเบ้เทใส่จาน แล้วรินน้ำชาให้ก่อนจะหันไปเตรียมอาหารต่อ แต่ดวงตาคู่นั้นก็เหลือบมองมาเป็นระยะ ผมนั่งเคี้ยวขนมกรุบๆอย่างมีความสุข รสชาติอร่อยคุ้นลิ้นเหมือนกลับมานั่งเล่นที่บ้าน อารมณ์ที่ดูขุ่นมัวไม่สดใสเมื่อครู่ค่อยๆผ่อนคลายลง

    "เซมเบ้นี่อร่อยจังเนอะ"

    "ก็อร่อยเสียจนนายต้องแวะซื้อทุกวันหลังเลิกเรียน"

    พ่อหนวดคนนั้นพูดปนหัวเราะ เกล็ดปลาที่ถูกขอดลอยวิ้วไปทั่วทิศ    "คิดถูกว่านายอาจจะอยากกิน ตอนไปรับเมื่อกี้เลยแวะซื้อมาฝาก กลับมาอีกทีนายก็เดินหลงไปทางไหนก็ไม่รู้ แต่โชคดีที่เมืองมันเล็กเลยขับรถตามไปเจอถูก"

    ผมมองขนมในมือ ของกินเล่นแบบนี้ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่ในโลก จนกระทั่งได้ลิ้มรสมันอีกครั้ง ผมหันไปมองเขาอีกหน คนๆนี้ทำไมยังคงจำเรื่องราวของผมได้ ปัญหาที่ทำให้ผมแต่งเพลงเกี่ยวกับรักแรกไม่ได้คงจะอยู่ที่ผมซึ่งเป็นฝ่ายลืมมันเองเสียมากกว่า หรือว่าผมจะไม่ได้รัก ไม่รู้สิ ความทรงจำที่เด่นชัดของผม คือความเสียใจในการต้องลาจากครั้งนั้น

    "ทำยังไงถึงจะนึกถึงความรู้สึกรักนายมายมายเหมือนตอนนั้นได้นะ"

    ผมบ่นพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ไว้อาลัยให้กับความทรงจำตัวเอง สึบาสะเหลือบมองผมแล้วพูดขึ้นมาขณะที่กำลังเช็ดเลือดปลาซึ่งกระเด็นติดหน้า

    "ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองทำตัวเหมือนตอนเป็นเด็กๆดูสิเผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันช่วย ก่อนอื่นนายต้องเรียกฉันสึบะจังเหมือนเดิม โอเคนะ"

    ผมงี้หรี่ตาจ้องคนพูด แหม...ช่างกล้าหาญชาญชัยในการใช้คำลงท้ายเหลือเกิน อายุหน้าตาก็ปาเข้าไปสี่สิบปลายๆแล้ว

    "แต่สึบะจังสมัยนู้นสนิมยังไม่ขึ้นหน้านี่"

    "แรงค์ ! นี่ของขึ้นชื่อของเรียวกังเลยนะ แต่เอาเหอะ ถ้านายเห็นว่ามันขัดขวางจินตนาการนักเดี๋ยวฉันจะเอาออกให้ ว่าแต่ตอนนู้นสนิมก็ยังไม่ขึ้นข้างล่างเหมือนกัน ต้องเอาออกด้วยไหม ?"

    "สึบะจังสมัยนู้นก็ไม่พูดสองแง่สามง่ามด้วย ..."

    "ไม่จริง ฉันพูด แต่นายไม่รู้เอง ดังนั้นไม่นับ"

    สึบาสะรีบแย้งขึ้นมาทันใด กับคนที่จำเรื่องราวในวัยเด็กไม่ค่อยได้ เรื่องคำพูดที่ตนเห็นว่ามันไม่ผิดแปลก จะให้ไปนึกออกได้อย่างไรกันเล่า


    +++++++++++++++++++++++++++


    แดดร่มลมตก...

    คนที่ทำการกำจัดสนิมและตะไคร่น้ำบนใบหน้าจนเกลี้ยงเกลาตามคำพูด ก็ลากข้อมือผมไปยังรถจี๊ปบุโรทั่งคันที่นั่งมาเมื่อเช้า ผลักผมขึ้นประจำตำแหน่งข้างคนขับแล้วสตาร์ทรถ กระทืบคันเร่งไปตามถนนสายลูกรังที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ

    "นายจะพาฉันไปไหน?"

    ผมเอามือเกาะที่ยึดไว้แน่นหนา กันไม่ให้ตัวเองกระเด้งหลุดจากตัวรถลงไปกองกับผิวพื้นพระจันทร์ภายนอก คนพาผิวปากหวือก่อนจะหันมายิ้มทะเล้น

    "ไปเดท"

    ตากลมใสเบิกกว้าง สีหน้าตกใจสุดขีดของผมทำให้สึบาสะหลุดเสียงหัวเราะก๊ากออกมา

    "ล้อเล่นน่า ก็นายกำลังพยายามระลึกความหลังอยู่ใช่ไหมล่ะ ฉันเลยจะพาไปตามที่สมัยก่อนที่เราเคยไปเล่นกัน เผื่อจะนึกอะไรได้บ้าง"

    "ไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อย"

    ผมทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ เพราะที่จำไม่ได้น่ะมันคือความรู้สึกต่างหาก

    ...ความรู้สึกรัก...

    "ก็ ไม่ได้ว่าแบบนั้น..."

    คนขับรถมีทีท่าประนีประนอมก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง   "พูดตรงๆนะ ถ้านายจะแต่งเพลง แทนที่จะวนกลับมาหารักแรกที่นายลืมเหี้ยนซะขนาดนี้ สู้หาความรักครั้งใหม่ไปเลยมันจะไม่ง่ายกว่าเรอะ?"

    "มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ"   

    ผมขยับขึ้นนั่งบนเบาะให้เต็มก้นหลังจากที่ตัวกระเด็นกระดอนจากการตกหลุมครั้งล่าสุด   "ก่อนหน้าที่จะกลับมาไม่ใช่ว่าผมไม่ลองนะ แต่สุดท้ายบรรยากาศของเพลงมันก็ไม่ใช่อย่างที่ต้องการเลย มันไม่มีความรู้สึกอบอุ่น อ่อนหวาน แล้วก็ใสสะอาดอย่างที่ควรจะเป็น"

    "ลองเข้าวัดดูมั้ย? น่าจะเข้ากับคอนเสปท์ใสสะอาด"

    หลังจากที่ผมอธิบายให้ฟัง สึบาสะก็ย่นหัวคิ้วช่วยคิดอย่างจริงจัง   "ไอ้อบอุ่นนี่น่าจะต้องเอาฮีทเตอร์ช่วย"

    "ผมว่า...สึบาสะขับรถไปเงียบๆจะเป็นการช่วยที่ดีที่สุด"

    "ก็บอกให้เรียกว่าสึบะจัง"

    "ไม่"

    ผมหันไปนอกหน้าต่างทำเป็นไม่ใส่ใจกับเสียงบ่นหงุงหงิงของคนข้างๆ และเมื่อไม่ต่อความ อีกฝ่ายก็ดูมีสมาธิในการขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานรถจี๊ปก็แล่นเข้าสู่ตัวเมืองขนาดเล็กที่ดูครึกครื้นแปลกๆจนผมอดถามขึ้นมาไม่ได้

    "คนเยอะจัง...มีอะไรกันเหรอ?"

    "อ้อ คืนนี้มีงานเทศกาลของศาลเจ้าน่ะ"

    สึบาสะตอบด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ผิดกับผมที่รู้สึกตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน เพราะหลายปีมานี้ผมไปๆมาๆอยู่แต่ฝั่งอเมริกากับยุโรป จะกลับมาญี่ปุ่นก็แทบนับครั้งได้เลยไม่ได้เห็นคนแต่งชุดยูกาตะเที่ยวงานวัดมาตั้งหลายปีแล้ว

    "นายอยากแวะเที่ยว?"

    "ไม่ได้เหรอ?"

    "ก็ไม่เชิง"   มัคคุเทศก์จำเป็นทำสีหน้าแปลกๆระหว่างเอามือเการิมฝีปากบน สงสัยจะคิดถึงสนิมที่เพิ่งถากออกไปเมื่อเย็น  "ว่าแต่นายคอแข็งรึเปล่า?"

    ดวงตากลมใสกระพริบปริ๊บๆอย่างงุนงง

    "ก็พอได้นะ"

    สึบาสะมองใบหน้าเนียนใสของคนตรงหน้าอย่างกลุ้มนิดๆห่วงหน่อยๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก

    "ได้! งั้นกลับไปเปลี่ยนชุดยูกาตะกันก่อนแล้วค่อยมาเที่ยวงานคืนนี้"

    "นี่เราต้องฝ่าถนนโลกพระจันทร์อีกรอบ?"

    ท่าทางใบหน้าของผมคงจะแหยเต็มทน สึบาสะถึงได้เอามือขยี้หัวผมเบาๆก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะวาดเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าที่ปราศจากหนวดเคราดูอ่อนลงจนใกล้เคียงกับคำว่าหนุ่มน้อยน่ารักเสียจนหัวใจผมเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปทีเดียว

    "ทนหน่อยน่า...อยากเที่ยวต้องทำใจ"

    "ว่าแต่เทศกาลที่ว่านี่เป็นเทศกาลอะไรเหรอ"

    "ศาลเจ้าที่นี่บูชาเทพโอยามะคุอิโนะคามิ...เทพแห่งสาเก"   มือเรียวหมุนพวงมาลัยวนรถกลับพลางอธิบายช้าๆ   "เทศกาลคืนนี้ก็คือเทศกาลดื่มสาเกไงล่ะ"


    ++++++++++++++++

    ผมกลับมาบ้านเกิดเพื่อตามหาแรงบันดาลใจ...

    แก้มใสๆของคนๆนั้นถูกแทนที่ด้วยใบหน้ากร้านไอร้อนในครัวและหนวดเฟิ้ม ผิวเนื้อที่เคยหอมละมุนถูกกลบด้วยกลิ่นคาวคลุ้งของเลือดปลา ดวงตาคู่ใสที่เคยชวนให้ดำดิ่งลงไปสำรวจในอดีต ปัจจุบันกลับมองสำรวจผมอย่างจาบจ้วงเสียเอง

    แล้วไอ้การสร้างความทรงจำใหม่กับรักเก่า ด้วยการเดทแบบดวดเหล้าแข่งกัน มันไม่ได้ช่วยผมให้แต่งเพลงรักใสๆหัวใจเสี่ยวๆได้หรอกนะ...สึบะ...จัง...

    แย่จริง ... ยูกาตะที่ผมสวมอยู่ สภาพมันไม่สู้จะดีเลย มันไม่ถึงกับหลุดลุ่ย แต่ผมมั่นใจว่าใครเห็นสภาพนี้ก็คงอยากรังแกเหมือนสึบาสะ ซึ่งตอนนี้ถือโอกาสใช้ความเมาเป็นข้ออ้าง ลวนลามผมสารพัดวิธีการทั้งคืน พ่อคนใจร้าย นายหัวของเรียวกัง ผู้มีร่างกายและหน้าตาถึกทึนบึกบึนราวกับจับกัง ร่างกายผมแทบจะพัง พูดยังไงก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าไม่เอาๆก็ยังจะทำ 

    ดูสิ แรงบันดาลใจผสมความเมา พาให้ความคิดผมพรั่งพรูออกมาเป็นจังหวะแร๊ปโย่วได้ พ่อหนุ่มหน้าเคยหนวดคนนั้นหายไปแต่เช้า หลังจากเราสองคนผ่านค่ำคืนอันสุดแสนจะมหึมันส์ด้วยกันมา ทิ้งผมให้นอนปวดเมื่อยเนื้อตัว ระบมสะโพกอยู่บนฟูกของเรียวกังพร้อมกับรอยเลือด ที่ล้วนเกิดจากการเมาแล้วขับ

    ผมล่ะสงสัยในความอึดของสึบาสะแล้วก็เจ็บใจตัวเองไปพร้อมๆกัน เกือบได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำให้รักแรกคอหักตายไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ ถ้าสึบะจังคนนั้นไม่เติบโตมาถึกทนเป็นคนเหล็กภาคใหม่แบบนี้ ผมคงไม่สามารถแต่งเพลงรักใสๆได้อีกต่อไป

    "Waratte miageta futari no tsukuribanashi
    เราหัวเราะ และชื่นชมกับเรื่องราวที่ต่างร่วมสร้าง
    Mirai e korogaru futatsu no ORENJI kumo
    เมฆสีส้มสองก้อนล่องลอยไปไกลยังอนาคต
    Ano toki no kaze wa dokoka ni iru no kana
    สายลมในวันวานพัดไปยังที่ใดกันนะ
    Dokoka wo tabishite iru no kana
    หรือกำลังท่องเที่ยวไปที่ไหนสักแห่งอยู่"

    ผมลุกขึ้นดึงผ้าคลุมฟูกนอนลงตะกร้าซัก แล้วค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ก่อนแอบย่องไปดูสึบะจัง ว่าเขาจะทำกับข้าวอะไรให้กิน เอ้ย ว่าร่างกายหลังรถล้มของเขาเป็นยังไงบ้าง

    กลิ่นหอมของอาหารโชยมาไล้จมูกผมก่อนถึงห้องครัวเสียอีก ย่องเร็วๆอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูห้องครัว  ผมมองผ่านกระจกใสเห็นสึบะจังกำลังขะมักเขม้นกับการผัดผักใส่...เห็ด!

    ใส่ทำไมล่ะสึบะจัง หรือเขาจะโกรธมากนะ เรื่องที่ผมพาเขาขี่มอเตอร์ไซค์ตกหลุมล้มเทกระจาดกันไปคนละทิศละทาง แต่นั่นเพราะเขาเอาแต่ลวนลามผมนี่นา ผมก็เลยต้องหามอเตอร์ไซด์หนี แต่เขาก็ตัดสินใจซ้อนท้ายผมมาเอง 


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    “เอ้า! กินเข้าไปให้หมด ของบำรุงร่างกาย”   

    ท่าทีกระแทกกระทั้นของเขานั้นทำให้ผมสรุปได้เองว่าอีกฝ่ายโมโหมากชัวร์   “คอแข็งจริงนะ รถล้มตั้งหลายทีคอไม่ยักหัก”

    “ง่า...งานผมมันต้องใช้เหล้าเสริมแรงบันดาลใจเป็นบางครั้งน่ะครับ คอเลยแกร่งไปด้วย แต่สึบะจังก็คอไม่หักเหมือนกันนี่ครับ”   

    งานนี้ผมเกทครับว่าโดนว่า แต่อาศัยเอายิ้มซื่อเข้าสู้เพื่อเรียกคะแนน คนที่ท่าทางจะกระดูกแข็งกว่าผมจิ๊ปากอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่รู้จะดุต่ออย่างไรได้แต่ยืนมุ่นคิ้วอย่างนั้น เขาเองอาจจะกำลังรู้สึกผิดเหมือนกัน

    “ผมขอโทษนะสึบะจัง ที่ทำให้ต้องบาดเจ็บขนาดนี้ แถมยังต้องลุกไปทำอาหารมาให้ผมแต่เช้าอีก”

    "เอาเถอะ ช่างมันฉันไม่เป็นอะไรหรอกแผลแค่นี้ อีกอย่างนายไม่เป็นอะไรนั่นก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับฉัน"

    สึบาสะส่งยิ้มบางที่ดูอบอุ่นให้ กลางใจผมเริ่มร้องเพลงอีกครา
      

    Hitotsu zutsu datta queried
    มันค่อยๆเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย
    itsumo wa modokashii keredo
    เราต่างต้องเปลี่ยนแปลงไป
    Tanjun de sunao na jibun ga ita yo
    เพียงแค่เรียบง่ายและซื่อสัตย์กับตัวเอง
    Hajimete sa sou kimi ga
    อันดับแรกคือเธอ


    "แต่เห็ด”

    "ฮิเดะจังครับ เห็ด 5 ชนิดมีประโยชน์มากเลยนะครับ ช่วยรับทานให้หมดโดยไว”

    ...ก็ยังโกรธอยู่นี่นา...

    "แล้วนั่นนายจะแต่งตัวไปไหน หล่อเชียว”   

    เขาใช้สายตาสำรวจผมเหมือนแมวหยอกหนูอีกแล้ว แล้วจะให้ผมวางใจได้ไง

    "ไปคุยเรื่องงาน พอดีว่าแรงบันดาลใจแล้ว สงสัยเมื่อคืนจะกระแทกถูกจุด”

    “งั้นเหรอ”

    สึบาสะหัวเราะในลำคอ ผมเริ่มรู้สึกว่า พี่ชายคนนี้ก็มีเสน่ห์แบบบ้านๆดีเหมือนกันนะ... แอบชมเขาในใจยังไม่ทันสุด ลูกมือก้นครัวก็มาเรียกเขากลับไปเฝ้าหน้ากระทะอีกครั้ง   "กินเห็ดให้หมดนะจ๊ะฮิเดะจังเด็กดี”

    ผมยิ้มแหยๆให้กับประโยคพูดแบบเดียวกับน้าอิมาอิ เห็ดเชียวนะพี่ หน้าตาก็หยึ๋ย สัมผัสก็แหยะ แกล้งกันชัดๆเลย ผมมองเขาส่งสายตาหยอกเย้าที่มีรังสีข่มขู่ให้กินเจือมาเป็นส่วนมากก่อนจะผละไป

    งานนี้ผมได้แรงบันดาลใจใหม่มาเต็มรัก พี่ชายคนเก่าในมาดใหม่ได้ทำลายภาพสึบะจังที่ผมเคยวาดฝันไว้หมดสิ้น เหลือเพียงภาพผู้ชายหน้าหนวดเหม็นคาวปลา แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้เอง ที่ทำให้ความอาลัยรักในสึบะจังตัวน้อยซึ่งเคยลางเลือนกลับแจ่มชัดขึ้นทุกที ความเศร้าที่ว่ากำลังกลับเข้ามา ผมควรรีบจากที่นี่ไป ก่อนที่จะรู้ตัวว่าสึบะจังคนนั้นได้หายไปจากผมตลอดกาลแล้ว อย่างน้อยเขาก็จะยังอยู่ในความทรงจำของผม


    Kirakira to hikaru yume
    ความฝันส่องประกายระยิบระยับ
    Ima wa soredake shika mottenai kedo
    มันคือทั้งหมดที่พวกเรามีในตอนนี้
    KUROOBAA no ue ni nekoro n da
    ทิ้งตัวลงนอนบนทุ่งโคลเวอร์
    Bokura wa onaji hitomi no Daydreamer
    พวกเรานักฝันกลางวันที่มองไปยังที่แห่งเดียวกัน


    ผมยิ้มให้กับประโยคสุดท้าย ดวงตาของผมไม่ได้สอดประสานกับเขา แต่นั่นก็ทำให้เพลงไพเราะ

    ...บ๊ายบายสึบะจังที่หลับใหลอยู่ในร่างใครก็ไม่รู้...

    ...ลาก่อน พี่ชายหน้าหนวด...



    +++++++++++++++++++++++++++++++



    "สึบะจังจ๊ะ มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้าบ้านเนี่ย ของซูจังใช่ไหม เมาแล้วก็เอาของเขามาแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ตอนคืนอย่าลืมเอาของฝากไปขอโทษเขาด้วยล่ะ"

    มารดาชะโงกหน้าเข้ามาในห้องครัว เห็นเจ้าลูกโตแต่ตัวกำลังยืนสะอื้นให้กับกองหัวหอมอยู่ก็ผ่อนลมหายใจพร้อมอมยิ้มน้อยๆ เธอเดินเข้ามายืนใกล้ๆ มือขาวหยิบมีดและหัวหอมขึ้นมาอยู่ข้างๆ

    "เจ้าเด็กไม่รู้จักโต เอาแต่แกล้งเขา เขาก็หนีน่ะสิ" 

     "ไม่ได้แกล้งนะ แค่จะจัดเสื้อให้เฉยๆ"

    สึบาสะสูดน้ำมูกเสียงดังเป็นคำตอบ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม   "เมื่อคืนด้วย ผมไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาสักหน่อย หมอนั่นเห็นกุญแจเสียบคาไว้ก็ขึ้นซิ่งเลย ถนนบ้านเราหลุมอย่างกับดวงจันทร์ กล้าขี่เข้าไปได้ยังไง"

    คนเป็นแม่ป้องปากหัวเราะ กลับมาวันเดียวก็สร้างวีรกรรมใหม่ได้แล้ว นี่ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยจะขนาดไหน

    "รู้ว่าเขาจะไป ทำไมไม่ไปส่งเขาสักหน่อยล่ะ"

    "ไม่เอา ของแบบนี้ชั่วชีวิตลากันรอบเดียวก็พอแล้ว"   ว่าแล้วนายหัวเรียวกังก็เอาหอมลูกใหม่มาซอยต่อ   "หมอนั่นคงบอกแม่ว่าจะกลับมา ผมก็มีหน้าที่รอ...รอเท่านั้นเอง"

    นายหญิงยังคงยิ้มให้กับเจ้าลูกชายโตแต่ตัว ที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดพร้อมร้องไห้ให้กับกองหอมใหญ่ที่ไม่รู้มันจะลุกขึ้นมาซอยทำไมตอนนี้ ออร์เดอร์ก็ไม่มีสักหน่อย คุณน้าอิมาอิจึงคว้าปลาไท้สิบโลขึ้นมา แล้วฟันฉับขาดกลางด้วยมีดซอยหอมเพียงครั้งเดียว

    "แม่โกรธอะไร ? ปลานั่นลูกต้องใช้ทำอาหารให้แขกเย็นนี้นะ"

    "ทำไมสึบะจังคิดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ แม่แค่นึกว่ามันเป็นหอมใหญ่เลยหยิบผิด ก็วางไว้ใกล้ๆกันนี่นา"

    ว่าแล้วมารดาที่เคารพก็เอามือกุมปาก เอียงคอสิบห้าองศาช้อนตาปริบๆ ทำท่ากุงิใส่ทั้งที่เลือดปลาสาดเต็มหน้า

    "ไหนๆสึบะจังก็จะเอารถไปคืนซูจังในเมืองแล้ว ก็แวะสั่งปลาใหม่ที่ร้านนั้น เดี๋ยวแม่โทรไปหานายสถานีห้ามไม่ให้ฮิเดะจังขึ้นรถไฟเอง ลูกก็ไปรับน้องกลับมากินข้าวด้วยกัน เห็นไหมทันทำอาหารเย็นพอดี"

    แล้วนายหญิงอิมาอิก็ตบมือแปะหัวเราะคิกกับความลงตัว แต่ลูกชายยังทำปากยื่น สะบัดหน้ากลับมาซอยหอมบ่นงุบงิบๆ จมดิ่งอินกับความดาร์คต่อ คุณมารดาจึงใช้มาตรการขั้นสุดท้าย ตวัดมือตัดหัวปลาแล้วเสียบประจานให้ดู

    "รีบแต่งตัวแล้วไปรับน้อง เดี๋ยวนี้เลย"

    ทั้งที่ยิ้มละไมอยู่ แต่บรรยากาศกลับทะมึนและเย็นเยือกติดลบแบบที่เพนกวินและหมีขาวร้องกรี๊ดกร๊าด

    "จริงสิ แม่ลืมบอกไป แม่เผลอหยิบของสะสมในห้องลูก ยัดใส่กระเป๋าน้องเขาไปด้วย แม่นึกว่าเป็นผ้าขนหนูน้องน่ะ"

    "ของสะสม...?"   เสียงทุ้มทวนคำ สีหน้าเริ่มฉายแววหวาดหวั่น     "...ไม่จริงน่า..."

    "คราวนี้จะไปหรือยังจ้ะ ฮิเดะจังเปิดอ่านหมดแม่ไม่รู้ด้วยนะ"



    +++++++++++++++++++++++++++++




    รถไฟต่างจังหวัดก็แบบนี้กว่าจะผ่านก็สองสามชั่วโมง ระหว่างนี้ผมควรหาอะไรทำฆ่าเวลา อย่างเช่นกิน ความหิวเริ่มเข้ามาเยี่ยมกรายเคาะกระเพาะ ความจริงผมควรจะกินข้าวกลางวันก่อนออกมา ทั้งที่ฝีมือสึบะจังอร่อยมากแท้ๆ ขนาดเห็ดที่ผมไม่ชอบก็ยังเผลอกินหมด

    "อยากกินอีกจัง"

    ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดกระเป๋าเดินทางออกเพราะจำได้ว่าเก็บของกินเล่นไว้ แต่กลับพบถุงผ้าที่ห่ออะไรสักอย่างยัดเอาไว้...ตอนไหน ?

    ไม่น่าใช่สึบะจัง รายนั้นคลานออกไปถอนเมาแล้วเข้าครัวแต่เช้า น่าจะเป็นคุณน้าอิมาอิเสียมากกว่า ช่างเป็นความสามารถพิเศษของคนเป็นแม่ หาช่องว่างของเวลาในการยัดนู่นใส่นี้ลงกระเป๋าลูกหลานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว 

    ผมใช้แรงดึงออกมา คุณน้านอกจากจะมีความสามารถในการแอบผมยัดไอ้ห่อนี่เข้าไปแล้ว ยังสามารถขยุ้มของใหญ่ๆให้กลายเป็นอันเล็กๆได้อีก ผมพยายามดึงแล้วห่อผ้ามันก็คลายปมออก กระดาษสีขาวราวผีเสื้อตัวใหญ่นับร้อยนับพันกำลังปลิวว่อนลงพื้น ทุกตัวจ่าหน้าซองถึงผม แต่เพราะผมย้ายที่อยู่ตามผู้ปกครองเป็นประจำเลยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงมีเพียงวันที่ที่เขียนไว้เด่นหลา ผมรีบเข้าไปเก็บมันก่อนที่จะถูกสายลมที่ไหนหอบพัดหาย


    Kisetsu wa aimai ni hajimatte yuku no kana
    ฉันประหลาดใจ ฤดูกาลได้เปลี่ยนผันแล้ว
    SUNIIKAA no saki ni tomatta shiroi chouchou
    ผีเสื้อสีขาวที่หยุดพักใกล้กับรองเท้าผ้าใบฉัน
    Matataki wo shitara dokoka e tonde itta
    พอกระพริบตา มันก็โบยบินหายไป
    Dokoka e nanika wo sagashi ni
    เสาะหาบางสิ่งในที่ไหนสักแห่ง


    ยังมีเวลาอีกมาก ผมค่อยๆแกะอ่านทีละฉบับ เหมือนเรื่องราวที่ผมหลับฝันไปนานแสนนานกำลังถูกเล่าผ่านใครสักคนหนึ่ง ผู้ชายตัวเล็กๆที่มีรอยยิ้มสดใสคนนั้น ค่อยๆเติบโตขึ้นทีละน้อยต่อหน้าผม กระทั่งเขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าโหดๆนั่นกำลังเขินอายกึ่งจะร้องไห้เมื่อเห็นของสำคัญของตัวเองอยู่ในมือผม

    อา...ผมพบเขาแล้วล่ะ สึบะจังของผม


    Guuzen na jidai no naka de guuzen na hito to deai
    ในเวลาที่ไม่คาดฝัน ได้พบกับผู้คนหลากหลาย
    Takusan no egao to namida ga atta yo
    มากมายทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
    Unmei kana sou kimi wa
    มันคือโชคชะตา เธอว่าไหม



    "อย่าอ่านมันนะ"

    "ไม่ได้หรอก มันเขียนถึงผมนี่นา"

    ผมบอกพร้อมกับเก็บเหล่าผีเสื้อสีขาวใส่กระเป๋าเดินทางตามเดิม ก่อนจะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ฝ่ายนั้นเขินและสับสนจนยากจะปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ใบหน้าแดงเรื่อค่อยๆก้มหลบตาผม เห็นอย่างนั้นจึงเข้าไปจับมือเขาไว้ มือนั้นสากกร้านขึ้น เติบโตขึ้น ทว่ายังอบอุ่นเหมือนเดิม

    "หิวข้าวแล้วล่ะสึบะจัง"

    "ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปกินสิ ฉันจะทำให้"

    "ตลอดชีวิตน่ะเหรอ ?"

    "..... กล้าพูดนะ จะหนีฉันไปแท้ๆ"

    "ฮะฮะ ไม่แล้วล่ะ ... กลับมาแล้วครับ"

    "อืม ยินดีต้อนรับกลับมานะฮิเดะจัง"

    เจ้าของเสียงนั้นก้มพูดงึมงำก่อนจะค่อยๆแย้มยิ้มอย่างชื่นตา ผมจับมือนั้น กุมมันแน่นๆก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางกลับไปกับเขา 


    Dokomademo tsudzuku yume
    ความฝันจะยังดำเนินต่อไปทุกที่
    Migigawa hidarigawa REERU no ue wo
    จะจากทางซ้ายหรือทางขวาของหนทางที่ก้าวผ่าน
    Hanashi nagara aruite yukou yo
    ก้าวเดินอย่างที่เคยกล่าว
    Bokura wa onaji hitomi no Daydreamer
    นักฝันกลางวันที่มองไปทางเดียวกัน




    -fin-

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in