==========================================================================
Part I
สายลมโชยพัดกลีบดอกไม้สีชมพู ที่ไม่รู้ว่าเดินทางมาจากแห่งใด มันลอดผ่านซี่กรงเหล็กเกรอะกรัง เข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้านในห้องขัง ซึ่งสร้างจากหินก้อนใหญ่เกรอะกรังด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว คุกน้ำอันชื้นแฉะ... ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องยังอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยถูกแตะต้องและเคลื่อนย้ายมานานแรมปี ราวกับผู้ที่ถูกกักขังต้องการเก็บรักษาสภาพเดิมของห้องนี้ไว้
“กลีบดอกไม้นี่ ดูท่าว่าโลกจะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ถ้ายังไงเราหาเวลาว่างไปเดินเล่นด้วยกันเถอะนะ”
คำถามแสนนุ่มละมุน ทำให้ชายหนุ่มร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก้มหน้าลงต่ำมากยิ่งขึ้น สึบาสะส่งยิ้มเอียงอายให้กับผ้าปูโต๊ะโดยไม่กล่าวอะไร
คนตรงหน้ามักเป็นเช่นนี้เสมอยามถูกเชื้อเชิญ ผมสีน้ำตาลประกายแดงซึ่งระเรี่ยอยู่ข้างแก้มกลมไหวไปกับการพยักหน้า แต่เมื่อหยดน้ำที่ไหลผ่านเพดานหินอันเงียบสงบ หล่นลงมากระทบกับผิวสระน้ำด้านล่างจนเกิดเสียงเล็กขึ้น มโนภาพที่ถูกสร้างนั้นก็มลายหายไป รอยยิ้มของผู้พูดก็จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาเช่นกัน
เสียงร้องอย่างเจ็บช้ำก้องขึ้น
ฉันเป็นแค่วารีเทพที่ไร้ความสามารถ กระทั่งยับยั้งหยดน้ำเล็กๆที่จะพรากภาพนิมิตของนายไปครั้งแล้วครั้งเล่ายังไม่ได้ กระนั้นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดจนกู่ร้อง กลับเป็นการหวนนึกถึงรอยยิ้มสุดท้ายของนายได้ยากเย็นเหลือเกิน
นานเท่าไรที่ต้องอยู่ในกรงขังซึ่งเหล่าทวยเทพสร้างขึ้น เพียงเพื่อให้ฉันได้สำนึกถึงความผิดบาปที่ได้กระทำลงไปต่อมนุษย์ตัวจ้อย จะให้ฉันรู้สึกอะไร พวกนั้นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตซึ่งกักเก็บความละโมบไว้มากมาย ท้องฟ้า แผ่นดิน ผืนน้ำ แมกไม้ ต่างปนเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก โลกทั้งใบกำลังเสียหาย สุดท้ายพวกความต้องการสูงยังจะเอานายไปจากฉัน
"พวกนั้นกล้าดียังไง"
เพียงแค่ยกมือขึ้นข้างเดียว สายน้ำก็ตอบรับ นทีอันเชี่ยวกรากจนเกือบจรดแผ่นฟ้าก็ท่วมท้นเข้าดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง โลกใบนี้ไม่ควรมีมนุษย์อยู่
"หยุดมันเถอะ...หยุดพลังของคุณ"
ผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า นายยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมฉันซึ่งโดนอาญาให้กักขังไว้ในห้องซึ่งยับยั้งพลัง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายและองค์เทพอื่นๆจึงไม่คิดเห็นแบบเดียวกับฉัน ฉันได้แต่มองนายกลับอย่างเฉยชา
"ไม่มีทางหยุดได้"
พลังของฉันรุนแรงเกินกว่าเทพองค์ใดจะเรียกกลับ โดยเฉพาะเมื่อฉันไม่มีความคิดที่จะหยุด โลกต้องถูกน้ำท่วมและสิ่งมีชีวิตจะล้มตายกันหมดเมื่อถึงวันที่เจ็ด แต่ในเช้าวันที่หก นายที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมฉัน ก็ได้ตัดสินใจจากไปเสียแล้ว
"ทาคิซาว่า ... ผมไปนะ"
มือบางวางสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่เรียกว่านาฬิกาไว้ตรงโต๊ะ ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าเป็นคำกล่าวลาตลอดชีวิต คิดว่าเพียงแค่กลับออกไปจากห้องขังนี้เฉยๆและจะกลับมาหาอีกในสักวันหนึ่ง เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่อัคคีเทพมองมาทางฉันตรงๆเพื่อส่งรอยยิ้มให้ มันช่างแสนเศร้าทว่าแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
นายคงไม่รู้ ว่าจะแค่วินาทีเดียวใจฉันก็ไม่อยากรอนาย ประตูคุกปิดลง และฉันได้พบนายอีกคราผ่านหน้าต่างแปดเหลี่ยม ร่างนั้นกระโดดลงไปในกระแสน้ำที่สูงท้วมท้น ฉันได้แต่โถมกายเข้าหาประตูซึ่งกักขังตัวเองอยู่
"ไม่!!!"
ภายใต้เสียงตะโกนกู่ร้องและการทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหากฉันไม่ถูกขังอยู่ในห้องนี้ น้ำจะท่วมขึ้นสูงอีกเพียงใด อยากให้มันพัดทำลายทั้งโลก แต่ฉันซึ่งไร้พลังไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้กระทั่งหยาดน้ำตาที่ร่วงลงมาไม่ขาดสาย
...อกกำลังถูกแผดเผา...
...สึบาสะ...
ฉันเป็นคนทำร้ายนายเอง
..................................................................
Part II
...ผมกำลังมองสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมา เพราะการบาดเจ็บของผม...
สิ่งที่ส่องสะท้อนเข้ามาในดวงตา คือภาพของมวลน้ำมหึมาที่ทรงอำนาจ กำลังไหลวนอย่างรุนแรงบ้าคลั่งไปทั่วทุกทิศทาง หวังเพียงพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางกั้น ช่างเป็นพลังที่น่าหวั่นเกรงจนเผลอเม้มปากแน่นโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเยาว์เต็มไปด้วยความลำบากใจระคนเศร้าหมอง
สิ่งที่ท้วมท้นอยู่ต่อหน้าผมนี้คือน้ำตาของคุณหรือเปล่า เสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงมานี้คือเสียงร้องห้ามผมของคุณหรือเปล่า
อัคคีเทพอย่างผมกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ดั่งเช่นอารมณ์และลมหายใจของคุณคือห้วงน้ำ หากมีใครจุดไฟขึ้นมา หยดเลือดของผมจะกลายเป็นเปลวเพลิงเพื่อประโยชน์ของสรรพสิ่ง มันถูกกำหนดไว้เช่นนั้น
"นายจะไปจากที่นี่แล้วเหรอสึบาสะ”
เสียงคำถามอ่อนลงกว่ายามปกติ เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าเงยหน้ามองคุณชัดๆเพียงเพื่อที่จะเก็บภาพสุดท้ายของคนที่ผมรักไว้ตลอดจนชีวิตของผม ซึ่งต่อจากนี้ไปคงได้แต่รอวันมอดดับลง ณ เบื้องล่างโดยปราศจากคุณ
ทว่าแววตาคาดหวังและสีหน้าที่มัวหมองนั้นทำให้ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ผมต้องรีบจากไปก่อนที่จะเข้าไปกอดปลอบคุณ ไม่ให้น้ำตาซึ่งกำลังคลอเบ้านั้นเทไหลลงมา
ผมไม่กล้าบอกความจริงกับคุณว่าผมกำลังจะทำอะไร สิ่งที่คุณทำลงไปมันถูกตีตราว่าผิดมากเหลือเกิน ผมดีใจที่คุณเห็นค่าผม แต่ก็เสียใจเหลือเกินกับเหตุการณ์แบบนี้ ผมเป็นเพียงเทพเล็กๆที่จะเกิดขึ้นมาและดับในเถ้าถ่านเพื่อกำเนิดเป็นอัคคีเทพองค์ใหม่ ไม่เหมือนวารีเทพที่จะคงอยู่ตลอดกาล
สุดท้ายผมก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับคุณได้อยู่ดี...คุณไม่รู้สึกเหรอว่ามันช่างเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่น่าหัวเราะเหลือเกิน
...ผมเกิดมา เพียงเพื่อให้โลกเพื่อส่งถ่ายเปลวไฟ...ไม่มีหน้าที่อื่นใดอีก...
...ทว่าการได้พบคุณ ทำให้คุณค่าของชีวิตผมมากขึ้น จนกล้าพอที่จะจากคุณไปทั้งรอยยิ้ม...
“...ทาคิซาว่า...ผมไปนะ...”
ผมวางสิ่งที่ผมมักพกไว้เสมอฝากให้คุณก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยกระแสน้ำ เปลวเพลิงจากเลือดของผมทำให้มวลน้ำเหล่านั้นกลายเป็นไอระเหยสีขาวจำนวนมาก ฟุ้งกระจายขึ้นรอบตัวและโอบกอดผมไว้ ผมตัดสินใจแล้วและจะไม่หันหลังกลับไป ...
ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ น้ำตาคุณถึงจะเหือดแห้ง
............................................................
Part III
เวลาที่ยาวนานจนลืมเลือนกระทั่งเสียงของตัวเองสิ้นสุดลง ชายหนุ่มผิวสีขาวจางซึ่งหลับใหลอยู่บนเตียงหลังเก่าค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงโซ่ที่คล้องประตูไว้เคลื่อนออกและหลุดลง
ไม่มีใครเชิญเขาออกมา ไม่มีใครเรียกตัวเขาไปที่ใด และเขาเองก็ไม่คิดจะสนใจใคร ทาคิซาว่าตัดสินใจลงมายังโลกมนุษย์ ปีกของเขาค่อยๆมลายไปกับท้องนภาสีฟ้า เมื่อเท้าของเทพสัมผัสพื้นพิภพ เวลาของชีวิตที่หยุดไปก็เริ่มเดินอีกครั้ง
โลกนี้กำลังทำให้ประหลาดใจ ทุกที่ที่เขาก้าวผ่าน ทุกอย่างช่างเป็นปกติราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้น ไม่มีวี่แววของน้ำที่เคยท่วมเกือบถึงสวรรค์ มีเพียงทุ่งหญ้าสีเขียวสดที่ลู่เอนไปพร้อมกับสายลมอย่างนุ่มนวล ระบำไปพร้อมดอกไม้ดอกเล็กที่บานแซมอยู่ทั่ว กลีบดอกไม้ช่างดูบอบบางเหมือนกับหัวใจของเขา ที่ถูกใครสักคนปล่อยทิ้งลงมาจากท้องฟ้า แล้วตกลงแตกเป็นเศษเล็กๆกระจายไปทั่วภพด้านล่าง
...ตอนนี้หัวใจฉันซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและเศษเสี้ยวยังสูญหาย ได้แต่เที่ยวเดินตามหาคนที่อยากพบอย่างไร้จุดหมาย...เท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นดินที่แสนเกลียด ลมร้อนที่พัดมาไม่รู้กี่ครั้ง แสงแดดจ้าดั่งถูกเผาพาให้อยากล้มลง...แต่กระนั้นฉันก็ยังคงบังคับให้ตัวเองฝืนเดินไป...
...ฉันอยากจะพบ...อยากจะพบ...เพราะว่าตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้วที่จะทำให้นึกถึงนาย...
...รอยยิ้มสุดท้ายของนาย ฉันก็ทำมันหายไปเสียแล้ว...
“ทาคิซาว่า”
เสียงเรียกที่มาพร้อมกับสายลม ทำให้เจ้าของชื่อหันกลับมามอง ดั่งเวลาได้หยุดเพื่อสะท้อนภาพของใครบางคนที่ไม่เคยเห็น แต่เหมือนเป็นเงาร่างเดียวกับคนในความทรงจำ
วารีเทพไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายคือผู้ที่เฝ้าตามหาอยู่หรือเปล่า อีกทั้งการที่ฝ่ายนั้นกล้ามองตาเขาดั่งอดีต สร้างสังหรณ์ไม่ดีจนใจหวาดกลัว ว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปอีกครั้ง
เมื่อสัมผัสถึงความตื่นตระหนก ชายผิวแทนจึงก้มมองดูร่างของตัวเองที่นับวันจะจางลงไม่ต่างกับจากภาพลวงตาที่อยู่กลางทะเลทราย เพราะพลังที่ใช้ไปในการทำให้น้ำมหาศาลนั้นเหือดหาย จึงอดทนได้เพียงแค่นี้
“...ผมต้องไปแล้ว...”
เพียงแค่คำกล่าวลา หยาดน้ำเล็กๆก็ไหลลงมาจากดวงตากลมใสทั้งสองข้างที่กำลังจ้องมองอยู่ ราวกับคำพูดนี้เป็นมีดที่สามารถกรีดหัวใจให้เป็นแผลได้ตลอดเวลา ปากเผยอขึ้นเหมือนพยายามสะกดชื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาก็นึกนามนั้นไม่ออก...ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างขวางกั้น
“...ฉัน...มาหานายช้าเกินไปเหรอ...?”
เสียงสะอื้นถามทำให้ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ เส้นผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวเหมือนกับประกายไฟ สึบาสะยื่นมือผอมเข้าไปหาจนเกือบจะสัมผัสผิวแก้มของอีกฝ่าย แล้วคราบน้ำตาบนใบหน้าคมเข้มก็ถูกแทนที่ด้วยไอละอองสีขาว หากสัมผัสมากกว่านี้....
“เดี๋ยวผมจะกลับมา...รอผมนะ”
รอยยิ้มกว้างนั้นสามารถเลือนความเศร้าที่มีมาจนถึงตอนนี้ ดวงตาที่มุ่งมั่นนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นจนต้องหลับตาลง สัมผัสถึงความอุ่นจางประทับบนริมฝีปากอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างนั้นก็หายไป
มือซ้ายของทาคิซาว่าเคลื่อนไปกุมอยู่ที่หน้าอกโดยอัตโนมัติ รู้สึกถึงความอบอุ่นซึมผ่านเข้าเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอัคคีเทพองค์ใหม่อาจจะไม่ได้กำเนิดกลับมาเป็นอีกฝ่ายก็ตาม แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะรอ จนกว่าเราสองคนจะได้พบกันอีกครั้ง
................................
end
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in