เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบนอนมาก ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะว่าได้พักผ่อนร่างกายหรืออะไรที่ดูจะดีกับสุขภาพอย่างนั้นหรอก
เราชอบนอนเพราะเราชอบฝัน
เพราะในฝันอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ถึงแม้เราจะควบคุมความฝันไม่ได้ (ยกเว้นจะพยายามทำให้เกิด
Lucid Dream นะ แต่ก็ยังไม่เคยลองหรือเกิดขึ้นกับเราอย่างจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกัน) แต่หลายครั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันก็ชวนให้นอนกอดหมอนไปทั้งวันอยู่อย่างนั้น หรือจะมีบางคืนที่พิเศษหน่อย คุณร่างกายและจิตใจแอบเป็นใจให้ได้ฝันได้ตามใจ ด้วยการจับเรื่องราวหรือใครบางคนที่คิดถึงตอนก่อนที่หัวจะถึงหมอนให้ได้มาเจอกันในฝันสักที
มาถึงตรงนี้ก็เฉลยเพิ่มอีกหน่อยว่าที่ชอบฝันเพราะได้เจอใครหลายคนที่ในชีวิตจริงเจอกันได้แสนยากเย็น ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หรือไม่มีโอกาสจะได้เจอกันแล้ว
ถึงตัวตนของพวกเขาที่เราเจอในฝันอาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา อาจจะเป็นเพียงแค่บางส่วนที่เราจดจำเขาได้ หรือเป็นตัวตนของคนเหล่านั้นในอุดมคติของเรา แถมการเจอกันในฝันก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ในชีวิตจริงว่าเราคิดถึงเขาขนาดไหน
แต่ทุกครั้งที่ได้เจอกันในนั้น มันก็อดดีใจที่ได้เจอไม่ได้สักที
เพราะความในฝันที่อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ การพบกันเพียงฝ่ายเดียวที่ช่วยคลายความคิดถึงมักจะมาในสถานการณ์ที่ในความเป็นจริงคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้แน่ ๆ อย่างการได้นั่งปิกนิกกันสองคนในทุ่งดอกไม้ร้างผู้คน ที่ไม่มีร่มไม้อะไรมาช่วยบังแสงอาทิตย์แต่กลับอากาศเย็นสบายอย่างน่าประหลาด ตัดกลับมาที่ภาพความเป็นจริงที่แค่ก้าวเท้าออกจากตึกก็แทบจะละลายอยู่ตรงนั้นแล้ว หรืออยู่ ๆ ก็ได้เจอกับใครบางคนในสถานการณ์ที่ต้องพากันหนีตาย
ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
พื้นที่ในความฝันเลยทำงานในการมอบประสบการณ์เหนือจริงให้เราได้อย่างดี
นอกไปจากความเหนือจริงในสถานการณ์ที่เจอกันแล้ว บทสนทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้นก็แสนประหลาดไม่ต่างกัน ทั้งความไม่ต่อเนื่องของเรื่องราวที่พูดคุยกัน ประโยคบางประโยคที่ต่างคนในชีวิตจริงไม่มีทางพูดออกมา หรือคำแสนสำคัญที่ตั้งใจจะหวงแหนไว้ชั่วชีวิต
กลับถูกพูดออกมาง่ายดายราวกับไม่สลักสำคัญอะไร
เหตุด้วยความควบคุมอะไรไม่ได้ในความฝัน เราก็ควบคุมปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นไม่ได้ไปด้วยเหมือนกัน (ในความเป็นจริงก็ด้วย) และหลายครั้งในความเหนือจริงของความฝัน ปฏิกิริยาเหล่านั้นดูจริงจนน่าตกใจ บางครั้งความจริงตรงหน้าก็ชวนอยากให้ฝันต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงบทสรุปของฝันนั้น
และบางครั้งจริงเสียจนโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน
สุดท้ายแล้วถึงแม้การได้ฝันถึงใครต่อใคร หรือเรื่องราวร้อยแปดสุดแต่จินตนาการที่ถูกผสมผสานกับความจริงที่เจอมาในแต่ละวัน จะบันเทิงสำหรับคนชอบฝันแบบเราขนาดไหนก็ตาม
ถึงเวลาที่แสงแดดยามเช้ากระทบตาหรือนาฬิกาปลุกดัง
ความฝันนั้นก็เป็นอันจบลง
แต่สิ่งที่หลงเหลือหลังเปลือกตาเปิดขึ้น มีทั้งภาพฝันที่บางวันแจ่มชัดเหมือนเกิดขึ้นจริงตรงหน้า บางวันกลับเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นรายละเอียดในเรื่องราวเหล่านั้น และในหลายครั้งความรู้สึกที่คงค้างจากความฝันนั้นก็ยังคงทำงานต่อเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เจือจาง
แล้วใช้ชีวิตกันต่อไปเหมือนกับฝันที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น
เพื่อให้คืนนี้ที่หัวถึงหมอน
ฝันเรื่องใหม่จะได้เริ่มเปิดม่านการแสดง
ให้ทุกความเป็นไปได้ได้มีพื้นที่โลดแล่นในห้วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง
วนต่อไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in