เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อคิดออกจะมาเขียนสุพรรณฝันเฟื่อง
สิบหก: แอบคิดว่าตัวเองโตขึ้นบ้างแล้วล่ะ
  • ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากเขียนตอนที่สิบห้าไป เราก็ได้ขอโทษเขาแล้วล่ะ

    ที่ว่าไม่น่าเชื่อ ก็เพราะปกติพอเป็นเรื่องของความรู้สึก เราไม่เคยมีความกล้าที่จะท้าชนแบบตรง ๆ เลย ยิ่งเป็นเรื่องของเขาคนนี้ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่

    การได้ขอโทษเขาช่วยปลดล็อกความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจเรามาตลอด 
    แต่หลังจากจังหวะที่ได้ขอโทษไป กลับมีความรู้สึกอีกอย่างที่ปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนกับว่าถูกความรู้สึกผิดซ่อนไว้ข้างหลังมาตลอด ตอนนี้เธอหายรู้สึกผิดแล้ว ถึงเวลาของฉันบ้างแล้วสินะ 

    อะไรทำนองนั้น

    ไม่บอกแล้วกันว่าเป็นความรู้สึกอะไร บอกได้แค่ว่า หลังจากพยายามจัดการความรู้สึกนี้ด้วยตัวเอง แต่ลำพังตัวคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ เราเลยบอกเขาไปในที่สุดว่าเรารู้สึกแบบนี้กับคุณนะ ไม่ได้ด้วยความหวังว่าเขาจะคิดเหมือนกันกับเรา 

    กลับหวังว่าเขาจะช่วยให้เราเลิกเป็นภาระทางความรู้สึกของเขาสักที

    การกลับมาเจอกันในครั้งนี้ เรารู้สึกได้ว่าไม่ใช่จังหวะที่ดีแน่ ๆ และเตรียมใจไว้อย่างนั้น หลังจากการพูดคุยกันหลายย่อหน้า เรากล้าพูดได้ว่าเราเข้าใจความรู้สึกและสถานการณ์ทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็ดันเหมือนเพลงเข้าใจแต่ทำไม่ได้ 

    หรือจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ใช่เข้าใจด้วยซ้ำ แถมตอนนี้ดูเหมือนอะไรก็จะเข้ามาในใจไม่ได้แล้ว 
    มีแค่สมองนี่แหละที่ยังพอทำงานได้อยู่

    หนำซ้ำจากตัวอักษรที่ไม่มีเสียงพวกนั้นกลับทำให้เรารู้สึกว่าทำไมถึงได้เจอคนที่ใจดีอะไรขนาดนี้นะ กลายเป็นว่าจากที่ตั้งใจจะทำบางอย่างให้ได้ ตอนนี้ความตั้งใจนั้นโดนพับไปชั่วคราวขนานใหญ่ และไม่มีแนวโน้มที่จะรื้อโปรเจคนี้กลับมาทำเร็ว ๆ นี้แน่ ไม่ปฏิเสธหรอกความตั้งใจที่ว่านี่คาดหวังอะไรที่ใจร้ายกว่านี้เยอะมากมาช่วยซัพพอร์ตให้ทำได้ 

    ดันออกมาเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามซะอย่างนั้น
    (ในความรู้สึกของเราล่ะนะ)
  • ที่ตั้งชื่อตอนสิบหกว่าอย่างนี้ เพราะจากสถานการณ์ที่เล่ามาข้างต้นมันทำงานบางอย่างกับเรา 

    มันทำให้เรารู้สึกตัวขึ้นมาครั้งแรกว่าเราโตจากเมื่อหลายปีนั้นแล้วจนได้นะ แม้จะเล็กน้อยก็เถอะ
    กลับไปช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ถ้าสถานการณ์เกิดขึ้นกับเราในตอนนั้นจะเป็นอะไรที่ใจเจ็บปวดมาก คงจะงอแงเอาเรื่องเลยล่ะ แล้วก็ทำทุกทางให้เขารู้ด้วยว่าไม่โอเค (เลยสักนิดโว้ย) ปิดท้ายด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองแน่ ๆ  

    ตอนนี้เรากลับไม่ได้งอแงอะไรอย่างที่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็น
    ไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ด้วยการตั้งคำถามอะไรแบบที่เคยทำแล้ว
    เจอเพื่อนถามว่าเจ็บไหม ตอบได้แหละว่าเจ็บ แต่ก็บอกไปว่าถ้าไม่มีคนถามก็จะไม่นึกถึงความเจ็บนั้นนะ 
    (ตอนที่เขียนตอนนี้รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หลังจากนี้ไม่รู้เหมือนกัน)
    ยังอยู่ได้ สบายดี กินข้าวอร่อย (หัด)ดื่ม Cold Brew อร่อย ๆ สักแก้วก็มีความสุขดี ในขณะที่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ คงก้าวไม่พ้นประตูห้องนอนและน่าจะคว้าหมอนข้างกับผ้าห่มมาซ่อนตัวเองไว้ในความฝันแน่ ๆ
    อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้ คือถ้าคิดถึงแล้วอยากยิ้มจะยิ้ม แต่ถ้าคิดถึงแล้วยิ้มไม่ออก จะไม่มีอาการฝืนยิ้มแบบที่ชอบทำหลอกตัวเองแล้ว  

    ถึงอย่างนั้น อย่างที่บอกว่าแค่รู้สึกว่าโตขึ้น 'บ้าง' ยังมีส่วนที่คิดว่า 'ไม่โต' อยู่ในตัวเองเยอะอยู่เหมือนกัน
    ไม่ว่าจะแค่เขามาดูสตอรี่ เราก็ยังดีใจอยู่เลยที่เขาไม่หายไปไหน 
    หรือการไม่กล้าไปคุยเล่นอะไรกับเขาด้วย เพราะถ้าได้คุยกัน เราไม่คิดว่าตัวเองโตพอที่จะจัดการความรู้สึกให้เข้าที่เข้าทางเหมือนที่เขาทำได้ 

    อีกความไม่โตที่นึกออกคือ
    การมาเล่าว่าเจออะไรมาบ้างอย่างที่กำลังเขียนอยู่นี่แหละ 
    เพราะเขียนด้วยความคิดว่าเขาอาจจะหลงมาอ่านสักวัน
    แล้วได้รู้ว่าหลังจากการคุยกัน เรายังโอเคดี และกำลังใช้ชีวิตในแบบของเราอยู่นะ

    ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีวันที่ได้รู้สึกแอบโตขึ้น(และมองเห็นความไม่โต)แบบนี้อีกครั้งเมื่อไหร่ 
    แต่ก็ดีใจที่หลายปีผ่านมาจากตอนนั้น 
    ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง'บ้าง'แล้ว



    (เอนี่เวย์
    ขอเดาตัวเองทิ้งไว้หน่อยแล้วกัน
    ว่าที่ตอนนี้ยังเป็นอย่างนี้ได้อาจจะเพราะความตั้งใจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นน่ะ
    เลยได้พอมีช่วงที่คิดว่าโตขึ้นมาบ้างนิดนึง
    ขอบคุณที่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองเกิดขึ้นบ้าง
    เป็นความรู้สึกที่ดีแหละ)


    อันนี้บ่นแล้ว: ทำไมช่วงสภาวะที่ใจไม่มั่นคง อัลกอริทึ่มถึงเลือกแต่เพลงเศร้า ๆ มาให้ฟังกันนะ TT










เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in