เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อคิดออกจะมาเขียนสุพรรณฝันเฟื่อง
สิบสี่ : ทำไมเราถึงไม่เขียนเหมือนเมื่อก่อน
  • เวลคัมแบคตัวเองสู่ minimore ที่รักอีกครั้ง ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง

    ใช่แล้วฮะ คำถามข้างบนนี่แหละ

    เราลองสำรวจตัวเองในช่วงหลัง ๆ ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
    นอกจากเรื่องสุขภาพร่างกายที่สุดโทรม (ตั้งใจพิมพ์ 'สุด') และความคิดความเชื่อที่เปลี่ยนไป
    ก็มีเรื่องการเขียนที่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้

    เราเขียนน้อยลง

    ปริมาณงานที่พิมพ์ลงในที่ต่าง ๆ เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เขียนไปเรื่อยในเว็บบล็อกต่าง ๆ ไดอารี่ หรือแม้กระทั่งนิยายที่แต่งเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง สิ่งเหล่านี้หายไปจากชีวิตเราอย่างช้า ๆ แบบที่เราเองก็รู้ตัวนะว่ามันน้อยลง 

    แต่เลือกที่จะไม่ทำอะไรกับมัน

    ทั้งที่จริงแล้ว มีเรื่องที่อยากเขียนลงในแต่ละวันมากมายเต็มไปหมด แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน ความอยากจะเขียนก็หายไป และจบลงด้วยการที่เรานอนกลิ้งไปมาบนเตียงจนผล็อยหลับไปในที่สุด

    นอกจากนี้ เรายังรู้สึกอีกว่าตัวเองไม่สามารถเขียนอะไรยาว ๆ ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะจากการเปรียบเทียบระหว่างงานในช่วงที่เข้ามาสมัครแอคเคานท์นี้แรก ๆ กับงานที่ไปเขียนทิ้งไว้ที่อื่นในช่วงปีหลัง ๆ มานี้ ความยาวของเนื้อหา รวมถึงการเล่าเรื่องของเรามันสั้นและกระชับลงอย่างน่าใจหายเหมือนกัน พอกลับไปอ่านหลายเรื่องแล้วรู้สึกว่า ตอนนั้นเรื่องที่อยากเล่ามันมีมากกว่านี้ไม่ใช่หรอ ทำไมตัวเองเขียนแล้วมันเหลือแค่นี้ล่ะ

    สไตล์งานเลยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

    ตอนนี้สันนิษฐานตัวเองไว้ก่อนเลยว่า สมาธิสั้นลง เพราะใช้ SNS เยอะเกินไป ทำให้เราเลือกที่จะเสพอะไรสั้น ๆ ง่าย ๆ และเร็ว ๆ ด้วย

    มีสาเหตุอื่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะมีผลกับการเขียนของเราด้วย
    ไม่ว่าจะเป็น

    (1) สิ่งที่เรียน

    เราได้เรียนเขียนเยอะขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ทั้งเขียนข่าว เขียนบทความ ทำสารคดี ซึ่งก็มีทั้งงานที่ชอบและไม่ชอบ โดยรวมถือว่าสนุกดี แต่พอเรียนไปสักพัก กลับพบว่าเราต้องเขียนงานแบบรีบ ๆ หลายงาน แล้วนั่นทำให้เราเอียน เลยรู้สึกอยากพักมือจากการต้องมาเขียนอะไรอีก กลายเป็นว่า ตัวเองก็ห่างหายจากการเขียนอะไรเล่นไปเลย

    (2) ความสนใจ

    เรียนสายงานที่ตัวเองสนใจไปสักพัก ค้นพบว่ารู้สึกชอบการทำงานด้านอื่นในงานสิ่งพิมพ์มากกว่างานเขียน เลยเอาเวลาไปเรียนรู้ตรงนั้นเพิ่มขึ้น และใจไม่ใฝ่กับการเขียนมากเท่ากับงานนี้ การพักงานเขียนจึงเป็นทางเลือกของเรา

    (3) ไฟ

    ไฟในการเขียนงานของเรามันหายไป จะว่าขี้เกียจก็ได้ แต่พอเปิดหน้าจอมา พิมพ์ไปได้สักสองสามบรรทัดก็นั่งนิ่ง ๆ มองเคอร์เซอร์กระพริบไปเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อไปดี คิดออกได้แค่ว่าจะจบเรื่องยังไง แต่ช่วงก่อนหน้านั้นคิดไม่ออกเลยว่าควรจะเขียนอะไร พอไฟมอด ก็พับหน้าจอแล้วไปนอนดีกว่า ตื่นเช้ามาก็ไม่อยากเขียนต่อแล้ว จบเลย

    และ
    (4) ง่าว

    ดูแรงไปมั้ย (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่คมเท่าก่อนหน้านี้แล้ว ไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้ออกมาแบบที่ใจอยาก ติดขัดในการตัดสินใจใช้คำมาเล่าเรื่อง ในการหยิบรายละเอียดบางอย่างมาเล่า แล้วความง่าวนี้ไม่ได้เป็นแค่กับงานเขียนนะ แต่กระทบกับการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ของเราด้วย ยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ยังไงดี ตอนนี้เลยพยายามหาอะไรอ่านเรื่อย ๆ ไม่ให้ตัวเองฝ่อไปก่อน


    จากที่เขียน ๆ มาทั้งหมด ก็ยังไม่ถือว่าตอบคำถามที่สงสัยได้นะว่าทำไมถึงไม่เขียน เพราะลึก ๆ แล้วเราว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเรากับการเขียนมันห่างหายกันไป

    แต่ระหว่างที่หาคำตอบนี้ จะทดลองเรียกไฟตัวเองด้วยการเขียนทันทีที่คิดออก เผื่อว่ามันจะช่วยให้เราเจอคำตอบเร็วขึ้น 

    หรือไม่ก็เลิกตั้งคำถามนี้ไปเลยก็ได้



    ป.ล. ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้มาแชร์กันได้นะ





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in