ผมไม่ได้มีแขกมาเยือนบ้านนานจนจำความรู้สึกนั้นแทบไม่ได้แล้ว ประหลาดใจที่มันมาในรูปแบบของหญิงวัยกลางคนในเก้าโมงเช้าวันอาทิตย์
"สวัสดีครับ คุณนายมิลเลอร์" ผมพยายามทำใบหน้าให้ดูง่วงงุนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเจอเธอน้อยมากตั้งแต่ได้มาเป็นเพื่อนบ้านกัน น่าจะราว ๆ ห้าปีแล้วนับจากวันที่ครอบครัวมิลเลอร์ย้ายเข้ามา จำนวนครั้งที่ลูกชายของเธอ, ฮัฟฟี่จะมาเคาะประตูป่วนผมแปรผันตรงตามจำนวนครั้งที่เด็กหนุ่มเหงา ซึ่งก็คือเวลาที่เธอไม่ว่างแล้วเขาต้องอยู่บ้านคนเดียวนั่นเอง
"ขอโทษที่ฉันมารบกวนในเช้าวันหยุดนะคะคุณบราวน์ แต่ฮัฟฟี่ยืนยันว่าคุณเป็นคนตื่นเช้ามาก และฉันมีประชุมด่วน นี่ค่ะ ฉันเอาคุกกี้มาฝากคุณ"
"โอ้ ขอบคุณครับ" ผมรับถุงกระดาษสีน้ำตาลที่มีโบว์สีแดงเล็ก ๆ ประดับอย่างน่ารักน่าชังมา พลางส่งสายตาที่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกอย่างไรดีไปยังเด็กหัวเขียวที่ยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ด้านหลังแม่ของเขา
"อยากขอบคุณเรื่องเมื่อคืนวันศุกร์น่ะค่ะ ถ้าไม่มีคุณ ฉันและลูกชายคงแย่กว่านี้แน่" เธอส่งยิ้มแหย ๆ มาให้ มองในระยะใกล้แบบนี้แล้ว ฮัฟฟี่ได้โครงหน้าจากเธอมามากทีเดียว ทั้งสีผมและสีดวงตา เว้นเสียว่าคุณนายมิลเลอร์ไม่ได้มีลักยิ้ม
"ไม่เป็นไรเลยครับ" ผมยิ้มตอบ ในใจอยากกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและดูซีรีส์ใน Netflix ที่ค้างอยู่ต่อเร็ว ๆ
แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลาย "ผมขอโทษจริง ๆ นะแจสเปอร์ แต่ผมคงต้องขอรบกวนทำการบ้านที่บ้านคุณจนกว่าแม่จะกลับแล้วละ"
ผมหันมองคุณนายมิลเลอร์ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ก่อนจะอยากลงไปนอนดิ้นกับพื้นเมื่อคุณนายมิลเลอร์ส่งรอยยิ้มรู้สึกผิดมาให้อีกรอบ "แกยังไม่ค่อยอยากอยู่คนเดียวน่ะค่ะ แต่ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้ ถ้าคุณไม่รังเกียจ..."
/
"คุณอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ไม่เคยมีคนบอกเหรอว่าถามอายุมันเสียมารยาท"
"โอเค งั้นคุณทำงานอะไร"
"ไหนบอกว่าจะมาทำการบ้านไง ตั้งแต่กินมื้อเช้าเสร็จนายยังพูดไม่หยุดแม้แต่นาทีเดียว"
"ก็ผมสงสัยนี่ ถ้าคุณไม่มีวันแก่ คนรอบข้างคุณไม่สงสัยเหรอ ไม่เคยโดนจับได้เลยเหรอ" ฮัฟฟี่ท้าวแขนกับโต๊ะหน้าโทรทัศน์ทับการบ้านตัวเองอย่างไม่ไยดี พร้อมเอียงหน้ามองผมด้วยแววตาเป็นประกาย
อยากจะบ้าตาย
"นายเคยเห็นฉันมีเพื่อนสักคนหรือไง" ผมตอบตัดรำคาญ มือดันไม้ถูพื้นให้แรงกว่าเดิมเป็นการระบายอารมณ์
"คุณย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ เหรอ งั้นคุณก็ปลอมเอกสารสิ"
"ฉันรับเงินจากแม่นายมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ไม่ใช่ให้นายมาซักประวัติฉัน"
"ผมนี่ไงเพื่อนคนแรกของคุณ เราควรจะทำความรู้จักกันมากกว่านี้สิ"
ผมหัวเราะหึ "เด็กน้อย นายไม่ใช่เพื่อนคนแรกของฉัน"
ริมฝีปากอิ่มยู่ออกอย่างขัดใจ "แต่ดูจากที่คุณยอมรับเงินแม่ผม คุณคงกำลังร้อนเงินสินะ โควิดทำเศรษฐกิจพังไปหมด" ฮัฟฟี่กล่าวถึงโรคระบาดร้ายแรงเมื่อสองปีก่อนที่ทำให้หลายประเทศต้องปิดตัว "คุณทำฟรีแลนซ์เหรอ ใบ้หน่อยสิ"
"ช่วยทำการบ้านไปเงียบ ๆ ได้ไหม ขอร้องละ"
"อยากให้เงียบ ก็รีบ ๆ เล่ารีบ ๆ จบสิ ผมอยากรู้จนไม่มีสมาธิทำการบ้านเลย"
ไอ้เด็กนี่ "อ้อ สรุปมันเป็นความผิดฉันงั้นสินะ"
"ก็ผมรู้ความลับคุณแล้วนี่ จะกลับไปสนใจคุณแค่ตอนชวนเล่นบาสได้ยังไง" ฮัฟฟี่พยักหน้าหน้าตาย ผมวางไม้ถูพื้นพิงกับผนัง ยกมือท้าวสะเอว จ้องไปที่อีกคนอย่างเอาเรื่อง ดวงตากลมโตยังคงจ้องมาอย่างไม่ลดละ สุดท้ายผมก็ยกธงขาวยอมแพ้ เล่าประวัติตัวเองไปคร่าว ๆ จุดไหนโดนเด็กป่วนเซ้าซี้โดยไม่ใช่เหตุก็เลี่ยงเท่าที่จะเลี่ยงได้ หรือหาประเด็นเลี่ยงความสนใจ
อันที่จริงผมก็มีชีวิตธรรมดาทั่วไป พ่อผมเป็นคนอเมริกัน บังเอิญเจอแม่ตอนไปพักร้อนที่ไทย จีบกันไปจีบกันมาก็พาแม่บินมาแต่งงานที่นี่ ผมเกิดและโตที่ชิคาโก้ เป็นเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่มีความฝันชัดเจนเหมือนคนส่วนใหญ่ แค่เรียนจบ หางานทำ เลี้ยงตัวเองได้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย สาเหตุที่ผมกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเป็นกึ่งตายอย่างนี้ก็เรียบง่ายจนน่าตกใจ
ตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบเก้าได้สามวัน มีงานปาร์ตี้ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งชวนพวกเราไป ผมก็ไป เจอสาวผมบลอนด์น่าสนใจคนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะไปต่อกันที่ไหนสักที่ แต่แล้วก็ บู้ม มีใครสักคนทะเลาะกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปืน เรื่องราวบานปลายจนคนในงานหนีตายกันจ้าละหวั่น ผมจำได้แค่ตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องของคนแปลกหน้ากับความรู้สึกกระหายเลือด นี่มันไม่ปกติ ผมรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ ในขณะที่ผมตั้งใจว่าจะหาทางกลับไปยังหอพัก เจ้าของห้องก็เดินเข้ามาขอโทษผมด้วยสีหน้ารู้สึกผิดจากก้นบึ้งอย่างที่ไม่เคยเห็นจากใครในโลกนี้ ด้วยประโยคที่ว่า "ผมขอโทษจริง ๆ มันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนคุณเป็นแวมไพร์"
จากแค่ที่ (ไอ้เวร) รุ่นพี่อลันนั่นทำผมเป็นแผล มันลุกลามใหญ่โตไปถึงขั้นที่ว่าผมไม่สามารถกลับไปเจอครอบครัวได้อีก เพราะสำหรับพวกเขา แจสเปอร์ แอนเดอร์สันตายไปแล้วจากอุบัติเหตุวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันในปาร์ตี้ โชคร้าย (หรือโชคดี) ที่เกิดความวุ่นวายจนไฟไหม้บ้านหลังนั้นทั้งหลัง ศพจึงระบุตัวตนแทบไม่ได้ ผมค้นพบว่ามีอีกหลายพัน (หรืออาจจะหมื่น) ที่เป็นอย่างนี้ กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก จนถึงขั้นสร้างเครือข่ายเล็ก ๆ เอาไว้แลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยเหลือกัน อย่างเช่น ปลอมแปลงเอกสาร แหล่งค้าขายเลืิอด
ผมได้รับนามสกุลใหม่ อันที่จริงควรเปลี่ยนชื่อด้วย แต่พ่อผมตั้งชื่อนี้ให้และผมตัดใจเปลี่ยนมันไม่ลง ย้ายที่อยู่ สอบเข้ามหา'ลัยใหม่อีกครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ แต่มีข้อแม้คือ ไม่สุงสิงกับมนุษย์เกินความจำเป็นเพราะพวกเขาจะจับได้ ยุ่งยากเวลาต้องย้ายที่อยู่ เกิดความผูกพัน หรืออีกอื่น ๆ มากมายที่จะตามมา ซึ่ง 99% รอบตัวของผมก็คือมนุษย์ เพราะฉะนั้นนั่นหมายถึงว่าเราถูกตัดขาดจากสังคมไปโดยปริยาย
ส่วนอาชีพที่ผมเลือกหลังเรียนจบใหม่ ๆ คือทำกราฟิก ตัดต่อทั่วไปในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำได้อยู่เกือบสิบปี ก็ลาออกมารับงานฟรีแลนซ์ น่าเบื่อที่พอย้ายเมืองผมก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จากการทดลองเรียนหลายสาขาและลองทำงานหลายอาชีพแล้ว ผมชอบการถ่ายภาพมากที่สุด แต่น่าเสียดายที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ อาชีพที่จะหลีกเลี่ยงมนุษย์ได้ดีที่สุดคือรับงานฟรีแลนซ์แบบไม่ต้องเจอหน้าลูกค้า ซึ่งอาชีพช่างภาพน่ะปัดตกไปได้เลย
"ผมเสียใจด้วย แจสเปอร์" แต่ไอ้เด็กหัวเขียวที่เข้ามานั่งอยู่ในบ้านผมก็เป็นมนุษย์ น่าเบื่อชะมัด ตอนย้ายมามอนแทนา ผมตั้งใจจะอยู่เงียบ ๆ ไปสักสามสิบสี่สิบปีแล้วค่อยย้าย แต่มันก็ผิดแผนตั้งแต่เผลอหันไปสบตากับเด็กอายุสิบสี่ ตัวสูงผอม สวมฮู้ดสีดำที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่ในสนามฝั่งตรงข้าม รู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นเพื่อนเล่นกีฬาไปซะแล้ว ดูท่าผมคงจะต้องย้ายเร็วกว่าที่คิด "คุณคงเหงามาก"
"ฉันชินแล้ว แบบนี้ก็ดี ไม่วุ่นวาย"
"เสียใจด้วยที่คุณเจอเพื่อนบ้านแบบผม"
"ถ้าเสียใจ ทำไมไม่นั่งเงียบ ๆ ไปซะละ"
"ผมขอดูมันหน่อยได้ไหม" ฮัฟฟี่เปลี่ยนเรื่องไปถึงเลือดสัตว์ในตู้เย็นที่ผมกินเป็นอาหาร แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อผมขมวดคิ้ว
"ถ้านายแม้แต่แตะตู้เย็น ฉันจะกินเลือดนายให้หมดตัว"
"คุณไม่ทำหรอก"
"รู้ได้ยังไง นายคิดว่าฉันอยู่มาได้ยังไงเกือบสองร้อยปี โดยที่ไม่มีคนจับได้เลย"
"..."
"รู้ไหม ว่าฉันมีวิธีจัดการยังไง"
"ทำยังไง..." มุมปากข้างหนึ่งผมยกขึ้นอัตโนมัติ เมื่อเห็นสีหน้าเจื่อน ๆ ของอีกฝ่าย "ไม่ต้องละ ผมไม่อยากรู้แล้ว" ฮัฟฟี่รีบลุกขึ้นยืน เขารวบสมุดและปากกาหนึ่งแท่งพร้อมทำเสียงแข็ง "วันนี้ผมจะกวนคุณเท่านี้ ไปละ"
"ทำไมละ ไม่อยู่รอแม่นายแล้วเหรอ" ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ก่อนจะระเบิดหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เดินเกือบจะถึงประตูรั้วตะโกนกลับมา
"ถ้าเกิดอะไรขึ้น แม่ผมต้องสงสัยคุณเป็นคนแรกแน่! แม่ผมดุมาก คุณหนีไม่รอดหรอก! และอีกอย่างนะ คุณหลุดออกมาแล้วว่าคุณอายุเท่าไหร่!"
โปรดติดตามตอนต่อไป.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in