"แจสเปอร์ คุณช่วยเปลี่ยนแมวผมเป็นแวมไพร์ได้ไหม"
"..."
What
The
Fuck
นั่นคือคำแรกที่ดังขึ้นในหัว
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มตรงหน้าสั่นระริกด้วยความหนาวสั่น ตัวเขาเปียกซกเหมือนลูกหมา หยดน้ำไหลจากตัวหยดลงพื้นเป็นวง เปลือกตาและปลายจมูกขึ้นสีแดงอย่างคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หากเลื่อนสายตาต่ำลงไปจะสังเกตเห็นว่าในอ้อมกอดของเขามีห่อผ้าอะไรสักอย่างอยู่
"นายว่ายังไงนะ" ผมเปล่งเสียงดังกว่าปกติ แข่งกับเสียงสายฝนด้านนอก
"คุณจะช่วยเปลี่ยนกรัมปี้เป็นแวมไพร์ได้ไหม แมวของผมน่ะ" เสียงของเขาขาด ๆ หาย ๆ ผมมั่นใจว่ามันเกิดจากการที่เขาพยายามกลั้นสะอื้น ดังนั้นผมจึงตัดสินใจดึงตัวเขาให้เข้ามาในตัวบ้านเสียก่อนแม้รูปประโยคที่เขาพูดจะน่าปิดประตูใส่แค่ไหนก็ตาม
"มันเกิด..." สายตาพลันเหลือบไปเห็นก้อนขนสีดำนอนหลับอยู่ในห่อผ้า แขกยามวิกาลยื่นมันมาตรงหน้าผมทันที
"แมวผม"
"โอเค โอเค" ผมพึมพำกับตัวเอง, รีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งเก็บหนีฝนแต่ยังไม่ได้พับเข้าที่ให้เรียบร้อยมาคลุมตัวฮัฟฟี่ ทันทีเมื่อเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาคือเด็กหนุ่มข้างบ้านที่เคยหลวมตัวไปเล่นบาสเกตบอลด้วยเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากนั้นก็โดนตามติดเคาะประตูเรียกให้ไปเล่นด้วยอีกแม้ตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งผมมันเป็นพวกปฏิเสธคนไม่เก่งและไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อน ซ้ำแม่ของเขายังไม่ค่อยอยู่บ้าน ผมเลยเหมือนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กอายุสิบเจ็ดไปโดยปริยาย
เพราะฮัฟฟี่ดูยังไม่มีสติเท่าไหร่นัก ผมจึงจำต้องหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางแหมะอยู่บนหัวและไหล่เขามาเช็ดตามตัวให้ลวก ๆ พอให้มั่นใจว่าจะไม่มีน้ำหยดทำพื้นไม้ผมพัง แล้วกดไหล่เขาให้นั่งลงบนโซฟา
"มันเกิดอะไรขึ้น" ผมถามพลางมองไปยังแมวที่นอนตัวแข็ง ฮัฟฟี่สูดน้ำมูกสองสามทีถึงค่อยเริ่มเล่า น้ำเสียงเขาแหบเล็กน้อย
"ผม ผมไม่แน่ใจ ผมแค่เผลอหลับไป ตื่นเพราะแม่โทรมาบอกว่าวันนี้จะกลับดึก แล้วพอวางสายผมก็เห็นว่ากรัมปี้ไม่ได้กินอาหารของมัน ปกติมันจะกินข้าวตอนหนึ่งทุ่มทุกวัน แต่นั่นมันสองทุ่มแล้ว ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยลองเดินหา เจอมันนอนหลับอยู่ตรงใต้บันได"
"..."
"แต่มันไม่ตื่น มันไม่หายใจ..." หางตาฮัฟฟี่เริ่มมีน้ำใสคลอ
"โทรหาโรงพยาบาลสัตว์หรือยัง"
"ผมโทรแล้ว เขาบอกให้พาไปให้เร็วที่สุด แต่ไม่มีใครอยู่บ้าน และผม...ผมรู้ว่ามันไม่ทันแล้ว"
"ฉันเสียใจด้วย ฮัฟฟี่"
"คุณต้องช่วยผมนะ" มือขาวซีดข้างหนึ่งยกปาดน้ำตาตัวเองป้อย ๆ แล้วมองผมด้วยสายตามีความหวัง
"ช่วยยังไง"
"เปลี่ยนกรัมปี้เป็นแวมไพร์"
"ฮะ"
"คุณทำได้นี่ ก็คุณเป็นแวมไพร์" ผมอ้าปากค้าง น่าจะนานหลายวินาที สมองพยายามประมวลผลอย่างหนัก และสรุปใจความได้ว่าเด็กนี่กำลังเสียสติอย่างมาก เขาควรจะใจเย็นและไม่ถือสาอะไร
"อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น"
"ผมอ่านหนังสือรู้ไหม ใครเป็นแวมไพร์"
"ฮะ"
"คุณได้เก้าจากสิบ" ผมอึ้งเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป ได้แต่มองหน้าคนที่อ่านหนังสือไร้สาระแล้วเอามาเชื่อเป็นตุเป็นตะ ฮัฟฟี่ไหวไหล่เล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของผม "ผมไม่มีทางเลือก"
"ทางเลือกบ้า...ทางเลือกอะไร แวมไพร์มีจริงที่ไหน" ฮัฟฟี่เงียบไปครู่ใหญ่ เขาวางแมวของตัวเองลงบนโซฟาอย่างเบามือ สายตาหลุบลงต่ำ ผมกำลังพยายามนึกคำพูดมาปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมเจ้าเด็กเพี้ยนคนนี้ "ฉันเข้าใจว่านายกำลังเสียใจมะ... อ๊าก!" ผมร้องลั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นในรอบห้าปีสิบปี กระโดดโหยงเหยงไปมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดี ๆ ไอ้เด็กบ้าก็คว้าส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาปักเข้าที่แขนผมสุดแรง "Fuck Fuck นายจะฆ่าฉันหรือไง..." ผมรีบหันมองแขนตัวเอง เห็นเลือดสีสดไหลซิบออกมา ก่อนที่จะได้สติและยกมือปิดแผลทันมันก็สมานตัวภายในเวลาไม่กี่วินาที "Fuck" ผมสบถอีกครั้ง แต่เป็นในความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
"คุณได้สิบจากสิบ คุณเป็นแวมไพร์แน่นอน" ฮัฟฟี่วางส้อมลงด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ต่างจากผมที่ยืนอ้าปากค้างด้วยความหวาดผวา นั่นมันควรจะต้องเป็นสีหน้าของมนุษย์เมื่อค้นพบว่าคนข้างบ้านเป็นแวมไพร์ที่แผลสามารถหายสนิทภายในหลักวินาทีไม่ใช่หรือไง หรือยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์ถึงได้มีวิวัฒนาการจนน่ากลัวได้ขนาดนี้ "ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่คุณต้องช่วยแมวของผมนะ แจสเปอร์ ขอร้องละ จะให้ผมจ่ายเงินให้ก็ได้ถ้าคุณต้องการ" สีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นหมองลงทันที เกือบจะเห็นใจเขาเต็มที่แล้วเชียวหากเด็กนี่ไม่ทำตัวใจโหดเอาส้อมแทงผมเมื่อนาทีก่อน
"..."
"ขอร้องละ" เสียงเด็กอายุสิบเจ็ดอ่อนลงอีกเท่าตัว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ฟังนะ ฮัฟฟี่" ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางทิ้งตัวนั่งลงข้างอีกคน ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่มีประกายสีเขียวน้ำทะเล, เป็นเฉดเดียวกับสีผมที่เจ้าตัวเพิ่งย้อมเมื่อเดือนก่อน "แมวนาย...ชื่ออะไรนะ"
"กรัมปี้"
"ใช่ กรัมปี้ กรัมปี้เคยมีลูกใช่หรือเปล่า"
ฮัฟฟี่พยักหน้าหงึกหงัก "ใช่ ตอนแรกคลอดมาสามตัว แต่รอดตัวเดียว ชื่อว่าคลัมซี่ แต่ไม่นานมันก็ป่วยตาย"
"ว้าว...กรัมปี้ คลัมซี่ ตั้งชื่อได้ดีนี่"
"ขอบคุณ" ฮัฟฟี่ระบายยิ้มน้อย ๆ พอให้เห็นรอยบุ๋มข้างแก้มแวบหนึ่ง
"ไม่คิดบ้างเหรอ ว่ากรัมปี้คงคิดถึงลูก และพวกเขาอาจจะเจอกันแล้วก็ได้ อีกอย่างมันก็อายุมากแล้ว ใช่ไหม"
ฮัฟฟี่ครางอือในลำคอ "มันป่วยมาสักพักแล้ว"
"มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปเจอลูก ๆ แล้วก็ได้"
"..."
"รู้ไหม ฉันเคยเลี้ยงเต่าตัวนึง"
"จริงเหรอ"
"จริงสิ มันชื่อดาหลี แต่ตายไปเมื่อปีที่แล้ว" ผมชี้ไปยังรูปเต่าที่อัดกรอบวางไว้ข้างโทรทัศน์อย่างดี
"ผมเสียใจด้วย" ฮัฟฟี่กล่าวเสียงอ่อย สีหน้าเขาแสดงความสงสารมากซะจนผมอดจะนึกเอ็นดูไม่ได้
"ไม่เป็นไร ฉันทำใจได้แล้ว"
"คุณไม่อยากเปลี่ยนให้มันเป็นแวมไพร์เลย เป็นอมตะน่ะ มันจะได้อยู่กับคุณตลอดไป"
ผมส่ายหัวยิ้ม ๆ "ดาหลีต้องโกรธฉันมากแน่ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่รับรู้รสชาติผักที่มันกินอีกต่อไป"
ตาของฮัฟฟี่โตขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ "แวมไพร์ไม่รู้รสชาติอาหารเหรอ" ผมพยักหน้าตอบ นึกเซ็งนิดหน่อยที่เผลอหลุด "แล้ว...เค้กนั่นละ" เขาชี้ไปยังเค้กเลม่อนที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งบนโต๊ะด้านหน้า ข้างกันคือส้อม อาวุธร้ายที่เพิ่งได้เลือดผมไป
"บางครั้งฉันก็อยากได้รสสัมผัสของอาหารบ้างน่ะ"
ผมเห็นความสงสัยเป็นประกายวาววับอยู่ในดวงตาสีเขียวคู่นั้น ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ จึงทำเพียงพยักหน้าเออออ "คุณเก่งจัง ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังเลย มันแย่ยิ่งกว่าตอนจิมย้ายไปแคนาดาซะอีก"
"ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันไม่ได้พังหรอก แค่หายไปบางส่วน"
"..."
"แต่เดี๋ยวมันก็จะถูกทดแทนด้วยความทรงจำ โลกนายก็จะเต็มเหมือนเดิม"
"ผมรักกรัมปี้ที่สุดเลย รักมาก ๆ" จบประโยคนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มขาว น่าสงสารจนผมเกือบเผลอเอื้อมมือไปเช็ดออกให้ แต่ยั้งไว้ได้ก่อนเพราะมันคงดูน่าขนลุกยังไงชอบกล
"ฉันรู้"
"คุณว่าตอนนี้มันเจอคลัมซี่และลูก ๆ อีกสองตัวหรือยัง"
"ไปอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้วละ" ผมพยายามใช้น้ำเสียงแบบที่ผู้ใหญ่ใช้เวลาเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฮัฟฟี่พยักหน้า ยกมือถูหน้าเช็ดน้ำตาไปมาจนมันแดงไปหมด "งั้นเราควรจะทำหลุมศพให้กรัมปี้อย่างเป็นทางการไหม" ผมเสนอ คราวนี้เขาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น พอลุกไปมองด้านนอกผ่านทางหน้าต่าง ก็เห็นว่าฝนหยุดตกแล้วอย่างรู้งาน ผมจึงพาหนึ่งคนกับหนึ่งแมวกลับไปยังบ้านของพวกเขา ใช้เวลาไม่นานพื้นดินสวนหลังบ้านบางส่วนก็กลายเป็นหลุมขนาดเล็ก ฮัฟฟี่กดจูบบอกลาแล้ววางเพื่อนรักของเขาลงในนั้นอย่างเบามือ ก่อนเป็นคนกลบหลุมเองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
"คืนนี้ผมจะทำป้ายชื่อให้มัน"
"เยี่ยมเลย"
"ขอบคุณคุณมาก" เด็กหนุ่มเริ่มยิ้มออก ผมจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
"นี่"
"หือ"
"นายไม่กลัวฉันเหรอ เรื่องที่ฉันเป็น..." ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจ ฮัฟฟี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า ริมฝีปากสองข้างยกขึ้นทำให้เห็นลักยิ้มชัดเจน
"ไม่ละ คุณเป็นเพื่อนผมนี่"
ทันทีที่กลับมาอยู่หลังบานประตูบ้านตัวเอง ผมก็พรูลมหายใจออกมาสุดปอด
มันเป็นวันที่หนักหนาวันหนึ่งเลย ทั้งเพิ่งมีส่วนร่วมกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งถูกส้อมแทง ถูกจับได้ว่าเป็นแวมไพร์ ถูกสถาปนาให้เป็นเพื่อนเด็กเพี้ยน และที่แย่ที่สุด
ผมเหลือบมองโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้วถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง
สารคดีสัตว์โลกที่ผมรอคอยทางโทรทัศน์ทุกคืนวันศุกร์สี่ทุ่มได้จบไปแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in