หากล้มแล้วก็จงลุกขึ้นใหม่เพราะฟ้าหลังฝนนั้นงดงามเสมอ
แต่ถึงแม้ตัวหนังจะดูเป็นหนังโรแมนที่ดูสบายแต่ในส่วนเนื้อหาของเรื่องกลับหนักแน่นและมั่นคง
ตัวหนังผสมผสานความหนักและความเบาได้อย่างลงตัว ในความเศร้านั้นแอบปนอารมณ์ขันและความอบอุ่นนั้นมีไอเย็นซ่อนอยู่ นี้คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ที่สามารถ ตรึง ผู้เขียนให้ดูจนจบแบบเพลินๆได้
หากผู้อ่านกำลังมองหาหนังที่เล่าเกี่ยวกับ ความฝัน หรือกำลังประสบปัญหาในชีวิตจนท้อแท้แล้วละก็ หนังเรื่องนี้จะตอบโจทย์มากๆ หนังไม่ได้พยายามจะพาเราจมดิ่งอยู่ในวังวนแห่งความเศร้าแต่ก็ไม่ได้ทุ่งลาเวนเดอร์จนน่ารำคาญ แต่หนังเรื่องนี้จะค่อยๆกุมมือเราที่เย็นเฉียบ ให้เดินต่อไปถ่ามกลางสายฝนโหมกระหน่ำเหมือนไม่มีวันหยุด แต่พอรู้ตัวอีกทีหนังจะพาเราไปสู่จุดที่สายฝนจางหายและความอบอุ่นใจเข้ามาแทนที่
ในส่วนต่อไปจะมาวิเคราะห์หนังกันแล้วน๊า มีสปอยเต็มๆ
ใครยังไม่ได้ดูหยุดอ่านแล้วไปดูก่อน หรือใครอยากจะอ่านก็ตามสบายเลย
ส่วนสำคัญที่คงจะไม่พูดถึงคงไม่ได้ในเรื่องนี้เลยนั้นคือ ความฝัน นั้นเอง
เราจะเห็นว่าตัวละครหลักทั้งสอง (ฮากิบะนะและคุณผู้จัดการ) ต่างก็มีความฝันของตัวเองที่ชัดเจน
หากเราดูแบบผิวเผินในส่วนของ ฮากิบะนะ ความฝันของเธออาจจะเป็นการได้รู้จักหรือใช้เวลากับคนที่ตัวเองตกหลุกรัก เราจะเห็นในความพยายามของเธอ
นั้นคือ การที่เธอไปรับจ๊อบเป็นเด็กเสริฟในร้านเดียวกับผู้จัดการ
เธอไม่ได้มีความขัดสนเรื่องเงินแต่อย่างใดแถมร้านเองก็อยู่ไกลบ้านเธออีกด้วย ฮากิบะนะ ทุ่มเททำงานหนักแต่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แค่เพียงอยากจะใช้เวลาด้วยให้ได้มากที่สุดแม้มันจะเป็นแค่ช่วงพักทานอาหารก็ตาม
แต่พอความสัมพันธ์ของตัวละคร ฮากิบะนะและผู้จัดการ พัฒนาไปมากขึ้น เราจะค่อยๆเห็นว่า
ความฝันแท้จริงของฮากิบะนะ เช่นในฉากนี้
ทั้งคู่ไปเดินเล่นกันในห้องสมุดและ คอนโด (ผู้จัดการ) ก็พูดกับฮากิบะนะว่า
“ ที่นี้มีหนังสือเยอะเยะเลยนะ แต่มันก็ต้องมีหนังสือที่ใช่สำหรับเราสักเล่ม
ตอนนี้หนังสือเล่มนั้นอาจจะร้องเรียกเราอยู่ก็ได้ ”
หลังจากนั้นฮากิบะนะก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา นั้นคือ หนังสือรวมภาพวิ่งนั้นเอง
มันสื่อชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่าฮากิบะนะ ว่าเธอไม่เคยลืมความฝัน การเป็นนักวิ่ง ของเธอเลย
และส่วนของผู้จัดการ เขานั้นเลือกหยิบหนังสือ ม่านหมอกริมหน้าต่าง
ซึ่งเป็นหนังสือที่เพื่อนของเขาแต่งขึ้นนั้นเอง มันยิ่งตอกย้ำ ว่าความฝันของเขานั้นมันคือการเป็น
นักเขียน เขายังฝันอยู่ตลอดแม้ตัวเขาตอนนี้จะห่างไกลจากความฝันก็ตาม
บางครั้งความเจ็บปวดก็อาจทำให้เรากลัวจนขยาดและการวิ่งหนีมัน
ก็ง่ายกว่าการกลับไปสู้กับมันอีกครั้ง
เช่น บาดแผลของฮากิบะนะ
ถึงแม้บาดแผลของเธอจะดูน่ากลัวและสร้างความเจ็บปวดทุกครั้งเวลาที่วิ่งก็ตาม แต่มันไม่ใช่ว่าจะทำให้เธอพิการจนกลับมาวิ่งอีกไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะตัวฮากิบะนะ เองตะหากที่เลือกจะจมอยู่ตรงนั้นและวิ่งหนีความจริงด้วยการไปเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ใช่
ในตัวของผู้จัดการเองก็เช่นกัน แม้เขาอาจจะไม่ได้มีแผลเป็นชัดๆแบบฮากิบะนะ แต่ความเจ็บปวดของเขาคือ เขาเคยวิ่งตามความฝันอย่างสุดกำลังแต่มันไม่สำเร็จแถมคนรักก็ขอหย่าขาดทิ้ง เขาไว้กับลูกและความเป็นจริงที่โหดร้าย เขาคือชายวัยกลางคนที่แสนธรรมดาและไม่ได้ร่ำรวยอะไร เขาจึงหนีความฝันมาสู่ความจริง เขาต้องหาเงินเลี้ยงลูกชาย (มาเป็นผู้จัดการ) และไม่กล้าแม้แต่จะกลับมาเขียนนิยายอีกด้วยซ้ำ
ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็มีวันที่อ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น
และในบางครั้งเราก็อาจแค่ต้องการกำลังใจจากใครสักคน
เช่น ฉาก ฮากิบะนะไปเยี่ยมผู้จัดการตอนไม่สบาย
ฮากิบะนะในฉากสภาพจิตใจเธอค่อนข้างย่ำแย่เลยทีเดียวเพราะผู้จัดการได้รีบตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการบอกให้ฮากิบะนะ ดูสภาพของเขาตอนนี้ ทั้งเป็นคุณลุงแถมมีลูกติด หน้าตาก็ธรรมดา เขาไม่มีอะไรพิเศษสักอย่าง ผิดกลับฮากิบะนะที่ทั้งเปล่งประกายด้วยความฝันและโอกาสมากมายในชีวิตที่สวยงาม
จนเขานึกขอบคุณที่เธอเข้ามาในชีวิตอับเฉาของเขา
ในสารพัดคำตัดพ้อตัวเองของผู้จัดการ ฮากิบะนะ ก็เถียงในฉับพลันว่าสำหรับเธอแล้ว ผู้จัดการ
ไม่ใช่ผู้ชายที่ธรรมดาสักหน่อย สำหรับเธอแล้วเขาคือสิ่งที่พิเศษในชีวิต เขานั้นอบอุ่นและมีความรู้มากมายในเรื่องวรรณกรรมเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นเสมอในแบบที่เธอไม่เคยเจอ
จากการตัดพ้อตัวเองของทั้งคู่กลายเป็นคำกล่าวชื่นชมในกันและกัน
จนสะท้อนออกมาว่าแท้จริงแล้วทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
ถ่ามกลางพายุฝนบางครั้งแค่เพียงใครสักคนกลางร่มให้เราแค่นั้นก็อบอุ่นใจพอแล้ว
เมื่อสายฝนจางหายก็ได้เวลากลับมาลุกขึ้นสู้เพื่อ ความฝัน อีกครั้ง ในตอนท้ายของหนัง
ฮากิบะนะ ได้ไปเที่ยวทะเลกับผู้จัดการ เธอวิ่งอย่างร่าเริงบนหาดทราย ตลอดเรื่องเราไม่เคยเห็นเธอวิ่งอย่างมีความสุขเลยจนถึงฉากนี้
นั้นแสดงให้เห็นว่าเธอพร้อมแล้วที่จะกลับมาลงสนามอีกครั้ง
และในส่วนของผู้จัดการ เขาเองก็เหมือนได้ตระหนักถึงความหมายของความฝันและวันวานที่แสนสุขยามที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก มันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเพื่อนของเขา
แค่เพียงได้ประพันธ์งานของเขาเองจนจบ
ก็นับว่าความฝันของเขาสำเร็จแล้ว
และก่อนที่จะจากกันไป ผู้เขียนขอทิ้งท้ายคำคมของผู้จัดการ
“ ถ้าเธอตัดสินใจแบบนั้น ถ้างั้นในสักวัน เธออาจจะหวนกลับไปนึกถึงมันได้อย่างอบอุ่นใจ
แต่ว่าถ้าเธอยอมแพ้อยู่แค่นี้ เธอก็อาจจะก้าวต่อไปไม่ได้อีกเลยนะ ”
หวังว่าหนังเรื่องนี้จะมอบกำลังใจให้กับผู้อ่านและไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนแต่ในไม่ช้ามันจะจางไปและฟ้าหลังฝนนั้นย่อมงดงามเสมอ
รักผู้อ่านทุกท่าน ม๊วฟๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in