เคยถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่สนามบินไหมคะ
ดิฉันไม่ค่อยได้นอนสักเท่าไหร่เลยเมื่อคืน เพราะกาแฟเอธิโอเปียนั้นดีด เอามากๆ รู้ตัวอีกที่ก็ถึงเวลาต้องตื่นไปที่สนามบิน เพื่อนั่งเครื่องจาก Addis Ababa ไปที่ Makele เมือง ที่ทางทริปตะลุยแดนนรกนัดกันไว้ใน อีเมลล์
ดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เพียงแต่รู้ว่ามันอยู่สักที่ขึ้นไปทางเหนือของประเทศไกลโข ได้ยินมาว่าสามารถจับรถบัสไปได้ แต่รถบัสเอธิโอเปียเนี่ยมีชื่อเสียงเรื่อง ความปลากระป๋อง และความตรงเวลาสุดๆ(ประชด) ดิฉันเลยไม่ขอเสี่ยงดีกว่า อีกอย่างการบินในประเทศ ก็เป็นสายการบินประจำชาติที่ได้มาตรฐาน ราคาก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไป
การบินในประเทศนั้น สายการบินแห่งชาติ มีเครื่องเยอะที่สุด(อาจจะเหมารายเดียว) และการบริการก็ไม่ได้ต่างจากสายต่างประเทศนัก มีอาหารเช้าให้กินเป็นขนมปังแข็งๆและน้ำส้มหนึ่งแก้ว
ใช้เวลาบินราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง Makele
สนามบิน Mekelle Alula Abanega Airport นั้นให้อารมณ์เหมือนสนามบินต่างจังหวัดบ้านเราสมัยก่อน ที่แต่ละวันมีเที่ยวบินไม่มากนัก อาคารถึงแม้จะใหญ่ได้มาตรฐานจริง แต่ก็ดูโหรงเหรง ไม่ค่อยมีคน ไม่มีร้านค้า มีเพียงซุ้มของโรงแรมหรือห้างร้าน สองสามซุ้มตั้งเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวติดต่อ (แต่ไม่มีคนอยู่ในซุ้มซักคน) ผู้โดยสารในอาคารก็มีเฉพาะที่ลงมาจากเครื่องรอบนั้นเท่านั้น. ไม่มีรอบอื่น
ดิฉันเดินงงออกไปข้างนอกสนามบิน มองหาคนขับรถที่นัดให้มารับ เจอกลุ่มคนถือแผ่นกระดาษที่เขียนชื่อคนที่มารอรับ ก็ใจชื้น ดิฉันก็เดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น แต่ไม่ยักเจอชื่อของตัวเอง มองตามผู้โดยสารคนอื่นที่เดินตามหลังดิฉันมา ได้พบกับคนที่มารับ ทักทายกันอย่างสนุกสนาน คนแล้วคนเล่า จนกลุ่มคนถือแผ่นกระดาษค่อยๆลดจำนวนลงไป สุดท้ายเหลือเพียงผู้หญิงชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง ที่ใส่สูทเรียบร้อย เหมือนมาจากโรงแรมหรือบริษัทอะไรสักอย่าง
เรายืนจ้องมองกันอยู่นาน ด้วยว่าชื่อบนกระดาษนั่นไม่ใช่ชื่อของดิฉัน และดิฉันก็ไม่น่าจะใช่เป้าหมายของเขา แต่เอาจริงๆ นอกจากพี่ทหารและพนักงานสนามบินแล้ว ในความโล่งโจ้งของอาคารนั้น ก็ไม่เหลือผู้โดยสารคนใดแล้วนอกจากดิฉัน จึงรวบรวมความกล้า เดินเข้าไปถามนางว่า ว่ามารับดิฉันรึเปล่าคะ
ยังไม่ทันได้ตอบปฏิเสธอะไรกัน คำตอบที่เป็นภาพชัด ก็แบกเป้ใบใหญ่เดินเข้ามาด้านหลังดิฉัน ผู้โดยสารฝรั่งปริศนาออกมาจากช่องรับกระเป๋าช้า (หรือไปขี้อยู่) ก็จับเข้าคู่ กับคนรอรับ ตรงตามป้าย
เหมือนสายตาสาวชุดสูทคนเมื่อกี้จะเป็นห่วงดิฉันอยู่ไม่เบา แต่ทั้งคู่ก็รีบเดินไปขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้ ดิฉันเดินตามออกไปนอกสนามบินโดยทิ้งช่วงห่างๆ แบบสิ้นหวัง
พยายามส่งสายตาอ้อนวอนไปถึง รถตู้คันเดียวที่เหลืออยู่ที่ลานจอดรถสนามบินในตอนนั้น สักพักรถตู้ของสาวชุดสูทคนนั้นก็วิ่งออกไป เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆหายไกลออกไป แทนที่ด้วยเสียงหวิวของลม ที่พัดไม่โดนอะไรเลยในความว่างเปล่าของลานจอดรถ นอกจากเส้นผมบนหัวของดิฉัน
ดิฉันเคว้งคว้างอยู่ในความเวิ้งว้าง แบกเป้ใบใหญ่ไว้บนหลัง เดินออกไปในลานจอดรถว่างๆ ไกลๆนั้นมีป้อมยามที่มีพี่ทหารสนามบินคนนึงอยู่ ดิฉันเลยเดินไปใกล้ป้อมนั้น เพราะให้ใจชื้นขึ้นบ้างว่ามีมนุษย์อยู่ใกล้ๆ
มองซ้ายมองขวา ด้วยความหวังว่า จะเห็นรถที่กำลังมารับ แล่นตะบึงมาจากทิศทางไหนซักแห่ง แต่มองลับสายตาไปแล้วก็ไม่มี
เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง
ดิฉันเอะใจตั้งแต่อีเมล ติดต่อกับคนขับรถที่ดิฉันคุยไว้ตั้งแต่ที่ไทย บริษัททัวร์ตะลุยนรกเดียวของเอธิโอเปียที่ตอบอีเมล์ของดิฉัน (ส่งไปหาสามสี่บริษัท) ปกติดิฉันชอบเที่ยวเองไม่ง้อทัวร์ แต่ถ้าจะไปนรก มันมีเหตุบางอย่างที่จำเป็นต้องให้ทัวร์พาไป (ซึ่งจะขอเล่าในบทต่อๆไป) พวกเขาขอแค่หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินจากกรุงเทพไปเอธิโอเปีย เพื่อเป็นการจองทริป โดยไม่ขอหลักฐานอื่น แล้วก็บอกแค่ว่า เอาเงินค่าทริป ค่าโรงแรม ค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศทั้งหมด ไปจ่ายที่คนรถคนแรกที่จะเจอดิฉัน (ก็คือคนที่มารับฉันที่สนามบิน Bole เมื่อวานนี้)
แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดหลังจากนั้นเลยว่า แผนของแต่ละวันเป็นยังไง ใครจะมารับที่ Makele มารับกี่โมง ต้องเจอที่ไหน
ดิฉันพยายามอีเมล์ และเฟสบุคถามรายละเอียดตั้งแต่อยู่ที่ไทย แต่ก็ได้รับคำตอบสั้นๆ แบบ minimal แค่ “Yes” (เพราะแต่ละรอบดิฉันจะถามไปเยอะมาก และบางคำถามมันเป็นคำถามถูกผิด เช่นการทวนว่าดิฉันต้องทำอะไร และนางก็จะเลือกตอบแค่คำถามนั้น อีกสิบคำถามไม่ตอบ เพราะนาง minimal)
และเมื่อคืนก่อนจะบิน (เพราะคึกกาแฟ) ฉันก็พยายามถามไปอีกตลอดทั้งคืน แต่นางก็ไม่ตอบ ส่งเพียงตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่จะมา Makele มาให้ดิฉันเอาไปเชคอิน เรียกว่าถามไปล้าน ตอบกลับมา 0.1
สรุปได้แค่ว่าให้ฉันบินมาให้ถึง Mekele แต่หลังจากนั้นให้เดาเอาเอง
ซึ่งการเดาของดิฉัน
สถานการณ์ที่ 1 คิดว่าตัวเองโดนหลอกเชิดเงินหนีไปซะแล้ว เงินก้อนค่าทัวร์ก็จ่ายเขาไปซะหมดตั้งแต่วันแรก แถมมาถูกทิ้งให้อยู่ในเมืองไหนไม่รู้จักอีก นี่เงินติดตัวเอามาอยู่ได้กี่วันเนี่ย จะเอาเงินนี่ไปเที่ยวเองไม่ง้อทัวร์มันพอไหม เพราะไหนๆก็มาถึงแล้ว ไม่ได้เที่ยวเพื่อนมันคงจะว่าให้อาย แล้วพอจะซื้อตั๋วกลับ ได้ไหม หรือต้องไปทำงานล้างจาน เสิร์ฟอาหารตามร้านก๋วยเตี๋ยว สู้ชีวิตแบบ MV เพลงลูกทุ่งที่เคยเปิดเจอตอนดึกๆ(เอธิโอเปียไม่น่ามีก๋วยเตี๋ยว) คิดไว้เลยนะ ว่าจะกลับไปตั้งชื่อกระทู้ดราม่าไว้ว่าอะไร เลือกเลยว่าจะไปให้สัมภาษ์รายการไหนระหว่างเรื่องเด่นเย็นนี้กับข่าวสามมิติ ถ้ารอดกลับไปได้จะเอาให้ถึงที่สุด
ว่าแต่จะได้กลับไหม โอ๊ย พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูคงไม่ได้กลับไปบวชให้ท่านทั้งสองเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์แล้ว คิดแล้วจะร้องไห้
สถานการณ์ที่ 2 เอ หรือว่า เมืองอยู่ไม่ไกล เค้าอาจจะให้เราเดาเอามั้งว่า มาถึงแล้วก็เดินเข้าเมืองไปเองสิ เรื่องแค่นี้ทำไมคิดไม่ได้ ต้องให้บอกทุกเรื่องรึยังไง โตจนหมาเลียไข่ไม่ถึงแล้ว ลงเครื่องมา แล้วก็เดินเข้าเมือง ไม่รู้ทางก็ถามสิ ปากก็มี โอเคเนอะ
แต่เมื่อดิฉันยืนอยู่ที่ลานจอดรถนั้น หลังคาบ้านคนที่ใกล้ที่สุด อยู่ไกลสายตาเห็นเท่าหัวไม้ขีด และมันไม่น่าที่จะเป็นเมืองเลยสักนิด มีแต่ทุ่งนาและก็ฝูงแกะ อีกอย่างใครจะสร้างสนามบินไว้กลางใจเมือง แบบเดินลงเครื่องปุ๊ป ก็ลากกระเป๋าเข้าโรงแรมเลย เป็นไปไม่ได้ Mekele ไม่น่าจะอยู่ในระยะเดิน
การเดาข้อนี้ขอเลยให้ตกไป
สถานการณ์ที่ 3 มีคนมารับอยู่ แต่เขาไม่เห็นดิฉัน เค้าอารมณ์เสีย เตะที่ล้อรถทีนึง และบึ่งรถออกไป อย่างโกรธจัด ตอนนี้กำลังต่อยฝาบ้านเป็นรูระบายอารมณ์อยู่
สถานการณ์ที่ 4 อีคนที่มารับ ดันลืม ว่าดิฉันมาถึงเที่ยวบินนี้ แล้วนึกว่าจะมาถึงเวลาอื่น ก็เลยต้อนไก่เข้าเล้าอยู่ แล้วกำลังคิดว่าจะตัดเล็บเท้าต่อ หลังจากนั้นก็จะเดินจงกรม ดูหนังโป๊ แล้วปิดท้ายด้วยการโขกหมากรุกกับเพื่อนสักสองสามตา ค่อยขับรถมารับฉันอย่างสบายอารมณ์
เวลาผ่านไป ราวชั่วโมงครึ่ง เวลามันเหลืออยู่คนเดียวมันก็ทำให้คิดไปต่างๆนานา
ตอนนั้น เน็ตก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มีซิม ไวไฟสนามบินรึ มีนะแต่ใช้ไม่ได้ จะติดต่อใครได้เล่า
เดชะบุญที่นึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มันยังโหลดอีเมลล์เก่าๆที่เคยติดต่อกับทัวร์ค้างไว้ ที่บรรทัดสุดท้ายใต้ชื่อ มันมีเบอร์พนักงานคนที่ตอบอีเมลล์อยู่
ด้วยความหลังชนฝา หมาจนตรอก
สิ่งที่ฉันต้องทำคือขอความช่วยเหลือ และมนุษย์คนเดียวที่อยู่ในลานจอดรถตอนนั้น ก็คือ พี่ทหารสนามบินในป้อม
ดิฉันเดินเข้าไปในป้อม บอกเขาว่า ขออนุญาตยืมมือถือหน่อย ไม่มีคนมารับดิฉันนานหลายชั่วโมงแล้ว
พี่เขาทำหน้างงๆ แล้วตอบกลับมาเป็นภาษาเอธิโอเปีย
โอ้ตายๆ พี่เขาพูดอังกฤษไม่ได้อีก แต่ดิฉันไม่ยอมแพ้หรอก
ดิฉันทำท่าภาษามือยุกยิก ชี้ไปที่โทรศัพท์ของพี่ทหาร ทำท่าโทร แล้วชี้ไปที่ข้างนอก เอาสองมือมาแนบอกแทนตัวเอง แล้วชี้ไปพี่ทหารอีกรอบ ทำท่าโทร แล้วโชว์เบอร์ที่ต้องโทรให้เขาดู
อ่านดูแล้วเข้าใจไหมคะ แต่พี่หทารทำหน้างงๆ
แต่เขาก็เอาโทรศัพท์ของเขาขึ้นมากดเบอร์บริษัททัวร์ แล้วโทรไปหา
ทันที่ที่ต่อติด พี่ทหารพูดอะไรสองสามประโยค รอฟัง แล้วก็ด่าคนปลายสายเสียงดัง จนไม่น่าเหลืออนาคต
ดิฉันเดาจากน้ำเสียง และอารมณ์สีหน้า
ก่อนส่งโทรศัพท์มาให้ดิฉันคุย
ได้ความว่า เป็นอย่างที่ดิฉันเดาสถานการณ์ที่สี่ คนขับรถลืมเวลา แล้วกำลังไปทำอย่างอื่นอยู่
ดิฉันได้ยินก็ทำเป็นโกรธเล็กน้อย พอให้ดูมีอะไร บอกให้เขาโทรไปบอกคนขับรถให้รีบมารับ ด่วนที่สุด
แต่ความรู้สึกตอนนั้น อยากขอบคุณพี่ทหาร เพื่อนมนุษย์คนเดียวของดิฉันในลานจอดรถนั้นมากกว่า
ยังไม่ทันได้วางสายดี
เสียงรถคันใหญ่ก็คำรามนอกป้อม
ไม่ใช่คนขับรถของดิฉันค่ะ แต่เป็นสาวเสื้อสูทที่ดิฉันทักในสนามบินคนนั้นต่างหาก
เมื่อส่งผู้โดยสารเสร็จ เค้าบอกคนขับให้ตีรถกลับมาหาดิฉัน
เขาบอกเป็นห่วงดิฉันเอามากๆ ว่าจะไม่มีคนมารับ เลยมารับดิฉันเข้าเมืองไปด้วยกัน ให้ไปส่งที่ไหนก็ขอให้บอก ไม่คิดเงิน
นาทีนั้นดิฉันซึ้งใจกับความเอาใจใส่ นักท่องเที่ยวของคนเอธิโอเปียเอามากๆ
ดิฉันบอกสาวเสื้อสูทว่า ดิฉันโทรบอกบริษัทแล้วเขากำลังมารับ
สาวเสื้อสูทดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ขอเบอร์โทรดิฉัน แล้วกดสายตรงโทรไปด่า บริษัททัวร์ของดิฉันให้อีกรอบ
(ไม่รู้ภาษาหรอกค่ะ แต่ดูจากน้ำเสียงและท่าทาง)
ก่อนจะบอกดิฉันว่า “พวกเขาลืม ไปกับฉันไหม ฉันจะไปส่ง ฉันรู้จักที่ๆคุณจะไป”
อยากจะก้าวขึ้นรถตอนนั้นซะเหลือเกิน
แต่ก็คิดว่า ตอนนี้คนขับรถคงกำลังมา ถ้าเขามาแล้วไม่เจอ
มันจะเป็นการส่งต่อความ วุ่นวายใจ เป็นวงจรออกไปไม่รู้จบ
ดิฉันจึงน่าจะรออีกสักหน่อย( ไหนๆก็รอมาสองชั่วโมงแล้ว)
จึงปฏิเสธไป
สาวเสื้อสูทถามย้ำกับดิฉันว่าแน่ใจนะ
และเขาจะรอเป็นเพื่อนดิฉันสิบนาที ถ้าคนรับดิฉันไม่มา
เขาจะเอาดิฉันไปส่ง. ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
นาทีนั้นดิฉันนั่งรอด้วยความซาบซึ้งใจ ข้างๆสาวเสื้อสูท
ไม่นานนัก(ในความรู้สึก) รถรับดิฉันก็บึ่งมาด้วยความเร็วรถแข่ง
คนรถฉันขอโทษขอโพยดิฉันใหญ่ สาวเสื้อสูทด่าเปิงเขาอีกรอบ พี่ทหารถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ด่าอะไรอีก
วันนั้นถึงแม้ว่าดิฉันจะถูกทิ้ง
แต่คนเอธิโอเปียทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจจริงๆ
การมีประสบการณ์เป็นนักท่องเที่ยวที่เจอความยากลำบากตอนเดินทาง
แล้วมีคนท้องที่พยายามให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่นั้นมันเป็นความรู้สึกที่พิเศษอีกแบบ
รู้สึกว่าแม้จะแตกต่างกันยังไง คุยกันไมรู้เรื่องยังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกันได้
ดิฉันสัญญาว่า จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ไทยบ้าง
ถ้ามีโอกาส จะช่วยเหลือให้เต็มที่เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in