หลังจากปล่อย The Truth About Love ไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วและได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมมากทั้งในด้านคำวิจารณ์และยอดขาย ป้า P!nk หรือ Alecia Moore (ที่ตอนนี้อายุ 38 แล้ว) ก็ปล่อยงานชุดใหม่เอี่ยมมาสู้กับศิลปินเบอร์ยักษ์ในช่วงครึ่งปีหลัง
ถ้าใครที่ติดตามวงการเพลงในปีนี้จะพบว่าศิลปินสาย pop ที่หายไปนาน ๆ ได้ทำการ comeback กันเยอะมาก เช่น Taylor Swift, Fergie, Katy Perry, หรือ Sam Smith และหลาย ๆ คนก็เหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนช่วงอัลบั้มก่อน ๆ P!nk ก็เป็นอีกเหยื่อของความซวยอะไรไม่รู้ที่ทำให้การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เปรี้ยงเหมือนแต่ก่อน
Album Overview
Beautiful Trauma ได้รับการเปิดตัวด้วย "What About Us" ซิงเกิ้ลแรกที่เรียกได้ว่าเป็น woke song (เพลงที่มีเนื้อหาเชิงการเมือง >> ตัวอย่างอื่นก็เช่น "Chained to the Rhythm" ของสาวแขไรงี้) ที่มีเนื้อหาพุ่งเป้าโจมตีไปที่ Donald J. Trump แบบอ้อม ๆ อารมณ์เรียกร้องให้เกิดความสงบหลังจากความวุ่นวายของสังคมอเมริกาหลังการเลือกตั้ง
ในงานชุดนี้ P!nk ได้ร่วมงานกับ producer ชื่อดังมากมายในวงการ เช่น Max Martin ที่เคยร่วมงานกับป้ามาหลายรอบมาก รวมไปถึง Jack Antonoff โปรดิวเซอร์มือทองแห่งยุค แล้วยังมี Greg Kurstin, Stargate, Shellback, และ Mattman & Robin ที่ก็ต่างเป็นคนทำเพลงให้กับเพลง mainstream มากมาย
และโทนของอัลบั้มก็กลับมาสู่ความปกติกับแทรคที่สาม "Whatever You Want" งานเพลงจาก Max Martin และ Shellback เจ้าเก่าที่มีความ pop rock ตามฉบับของสาว P!nk ที่เน้นหนักไปที่บีทกลองแน่นๆและเมโลดี้ของ acoustic guitar แทรคนี้ก็เป็นไฮไลท์หลักของ Beautiful Trauma ในเรื่องของ vocal เลย บวกกับเนื้อเพลงแนวร้านเหล้าไทยแบบรักใกล้ล่ม แต่เราสองจะพยายามประคองกันไป ให้ทำไรชั้นก็ยอม อะไรแบบนี้ ลองกดฟังกันดูเลยครับ งานดีอยู่ ๆ
4. What About Us
"Sticks and stones, they may break these bones
But then I'll be ready
Are you ready?"
ในปีนี้ P!nk ได้รับรางวัล Michael Jackson Video Vanguard Award จากเวที MTV มาเพราะด้วยการสร้างสรรค์งานในด้าน music video ที่เจ๋งตลอด และ "What About Us" แทรคที่สี่และซิงเกิ้ลแรกของงานชุด 7 นี้ก็ตอกย้ำว่าศิลปินท่านนี้ควรค่ากับรางวัลจริง ๆ ตัวเพลงและเอมวีนี้ถ่ายทอดเนื้อหาได้อย่างดีเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในอเมริกาในแง่ของการแสดงความเป็นตัวตนและการถูกกดขี่ด้านการเมืองจาก Donald Trump ท่ามกลางเพลง woke pop หลายเพลงในปีนี้ "What About Us" กลับเป็นเพลงที่มีเนื้อหาค่อนข้าง subtle ไม่ได้โผงผางเหมือนเพลงอื่น ๆ ส่วนตัวดนตรีก็เป็นงาน club ที่เหมือนกับ "A Sky Full of Stars" ของเหล่าลุง Coldplay มากกกกกกก และก็ไม่เข้าพวกที่สุดในอัลบั้มนี้ สำหรับเรา เพลงนี้จึงถือว่าเป็นการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ที่ไม่ค่อยสวยซักเท่าไร
"I've already seen the bottom, so there's nothing to fear
I know that I'll be ready when the devil is near"
โอโหหห นึึกว่าเพลง The Lumineers นี่คือความคิดแรกหลังจากเมโลดี้ของ "I Am Here" เริ่มต้นขึ้น เพลงนี้น่าจะมีความ uptempo ที่สุดในอัลบั้มชุดนี้แล้ว แต่แนวกลับการเล่นเอาดนตรี folk มาผสมผสานกับ pop rock จนได้เพลงที่มีความโจ๊ะมาก ตั้งแต่เริ่มตามฟัง P!nk มาจาก I'm Not Dead (2006) เพลงนี้ถือว่ามีความแหวกมากเมื่อป้าเริ่มทำเพลง pop rock เพราะปกติถ้าเป็นแนว folk ป้ามักทำเป็น ballad ตลอด ด้าน vocal ก็ชวนขนลุกกับการร้อง I AM HEREEEEE ที่บอกเล่าถึงความเข้มแข็งของตัวศิลปินที่ได้ผ่านเจอเรื่องราวเลวร้ายต่าง ๆ มามากมาย เพลงนี้จึงเป็นเพลงชวนเต้นและให้กำลังใจได้ดีมากเลย
12. Wild Hearts Can't Be Broken
"There's not enough rope to tie me down, oh
There's not enough tape to shut this mouth
The stones you throw can make me bleed
But I won't stop until we're free"
อีกหนึ่ง woke song ใน Beautiful Trauma ที่หยิบเรื่องของ individualism ที่เป็นประเด็นหลักของสังคมอเมริกาเผชิญในยุคของ Trump เนื้อเพลงมีการแต่งด้วยการใช้สัญลักษณ์และ word choice ที่สวยงามและชาญฉลาด แต่ตัวดนตรีกลับสวนทางกันเลย เพราะบอกได้เลยว่า "Wild Hearts Can't Be Broken" เป็นเพลงที่น่าเบื่อที่สุดในอัลบั้มนี้แล้ว เพราะด้วยความเป็น piano ballad ทั้งเพลง และท่อนเนื้อร้องต่าง ๆ ก็ไม่ได้ติดหูเลย พยายามฟังหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เข้าถึงจริง ๆ เสียดายกลับเพลงเชิงสังคมไม่กี่เพลงในอัลบั้มของ แต่ P!nk พลาดให้กับการเติมสเน่ห์ด้านดนตรีให้เพลงนี้จริง ๆ
13. You Get My Love
"If there’s only one thing about me that you can trust
You get my love, baby"
และเราก็เดินทางกันมาถึง closing track ของอัลบั้ม "You Get My Love" P!nk ไม่เคยทำให้ผิดหวังกับแทรคปิดอัลบั้มจริง ๆ เพราะทุกอัลบั้มที่ผ่านมา แทรคสุดท้ายมักเป็นงาน piano ballad กระชากใจที่มีความไพเราะมาก และสำหรับแทรคนี้ P!nk ก็ได้ Tobias Jesso Jr. (ที่ได้ร่วมแต่ง "When We Were Young" กับ Adele) มาช่วยสร้างสรรค์งานให้ "You Get My Love" เป็นการตอกย้ำธีมหลักของอัลบั้มที่เล่นเรื่องของ insecurity และ heartbreak ได้อย่างดี เพลงพูดถึงความหวาดกลัวในการแสดงตัวตนด้านไม่ดีให้กับคนรัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความรักคือสิ่งที่ตัวศิลปินสามารถมอบให้ได้อย่างมั่นใจที่สุด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in