21 กรกฎาคม พ.ศ.2559
ปลายฝันที่รัก
วันนี้อยู่ที่เลห์เป็นวันที่ 2 แล้ว เราเริ่มเที่ยวหนักขึ้น แต่ยังออกไปไม่ไกลจากเมืองเลห์เท่าใดนัก แม้กระนั้นรฺิ๊กซินก็มารับพวกเราแต่เช้า โปรแกรมส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นวัดและพระราชวังเก่า เราเริ่มโปรแกรมแรกกันด้วยพระราชวังเชย์ (Shey palace) อยู่ทางทิศใต้ของลาดัคห์ห่างจากเลห์ประมาณ 15 กมสร้างขึ้นในต้นศตวรรษที่ 16 ภายในพระราชวังประกอบด้วยอาคารเล็กๆมากมาย พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อน ภายในเก็บรักษาพระคัมภีร์และศิลปกรรมมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระศีรศากยมุนีที่ใหญ่ที่สุดซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของกรมศิลป์อินเดีย
ระหว่างที่รอรวมกลุ่มเพื่อฟังบรรยายจากริ๊กซิน ฉันเหลือบเห็นก้อนหินเขียนด้วยอักษรสันสกฤตกองอยู่ข้างๆกำแพง ริ๊กซินอธิบายว่า อักษรที่เขียนไว้เป็นคำสวดติดปากชาวลาดัคห์และชาวธิเบตว่า โอมมณีปัดทะเมฮุง ชาวลาดัคห์เชื่อว่า บุญสะสมได้โดยท่องมนต์บทนี้ ส่วนที่เราเห็นการเรียงหินกองขึ้นเป็นชั้นๆนั้น ริ๊กซินอธิบายว่าเสมือนการสร้างเจดีย์ไถ่บาปให้ผู้เสียชิวิตนั่นเอง
ข้างหน้าพระราชวังมีสระน้ำเล็กๆ เพิ่งทราบภายหลังจากหนังสือเล่มหนึ่งว่า เป็นจุดถ่ายภาพพระราชวังเชย์สะท้อนน้ำได้อย่างงดงาม น่าเสียดายที่พลาดไปเสียแล้ว
จุดหมายปลายทางต่อไปคือ Thiksay Monastery หรือวัดธิคเซย์สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 1953-1983
เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอริยะเมตตรัย หรือพระพุทธเจ้าในอนาคตมีความสูงถึง 15 เมตร ศาสนาพุทธที่นับถือแพร่หลายในลาดัคห์เป็นศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งนับถือพระโพธิสัตว์มากกว่าพระพุทธเจ้าอย่างนิกายหินยานในประเทศไทย พระโพธิสัตว์ซึ่งนับถือกันมากที่นี่ คือพระอวโลกิเตศวร พระศรีอริยะเมตตรัย (พระพุทธเจ้าในอนาคต) พระศรีศากยะมุนี (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)และพระมัณชุศรี.
ชาวลาดัคห์มีความศรัทธาในศาสนาอย่างฝังรากลึกในชีวิตประจำวัน ชาวลาดัคห์แต่ละครอบครัว มักส่งลูกชายอย่างน้อย 1 คนไปบวชตั้งแต่อายุน้อยๆ เด็กชายจะถูกส่งเข้าวัดตั้งแต่ 7-8 ขวบเพื่อเรียนหนังสือ เด็กเหล่านี้จะได้รับการขนานนามใหม่ พร้อมเปลี่ยนเสื้อคลุมเป็นสีแดง เมื่อเติบโตขึ้นผ่าน 30-40 ปีของการเรียนและผ่านการสอบครั้งสุดท้ายก็จะได้รับตำแหน่งลามะ
ไม่แน่ใจนักว่าริ๊กซินได้ผ่านการบวชเรียนเช่นนี้หรือไม่ แต่ความศรัทธาในพุทธศาสนายังสะท้อนออกมาจากท่าทางที่เขาคอยหมุนวงล้อมนต์ทุกครั้งที่ผ่าน และทุกครั้งที่เข้าวัด เขาคารวะพระพุทธรูปด้วยท่ากราบอัษฎางคประดิษฐ์. ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมสมัยใหม่ตามเข้ามารุกล้ำอารยธรรมดั้งเดิมที่นี่เช่นกัน เช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่วไปทั่วโลก ริ๊กซินใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเอง ใช้ทางลัดในการลงลงบันไดโดยรูดตัวลงมาตามราวบันได โพสต์ท่าถ่ายตามแบบ K-POP ช่างเป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมที่ลงตัวได้อย่างกลมกลืน
วัดแห่งนี้มีห้องสมุดที่เก่าแก่งดงาม เต็มไปด้วยหนังสือและคัมภีร์ที่มีค่าทางศาสนา ริ๊กซินเล่าว่าถ้าอยากฉลาดให้คารวะพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก โดยจรดหน้าผากบนตู้ใส่พระคัมภีร์ ซึ่งพวกเราก็เชื่อง่ายนะ ทำกันตลอดการเดินทางเลย วัดธิคเซย์ ถือเป็นโรงเรียนสงฆ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในลาดัคห์ อีกประการหนึ่งที่พึงจารึกไว้ในบันทึกการท่องเที่ยวสำหรับวัดธิคเซย์คือมีห้องน้ำชายที่สวยที่สุดโดยมีช่องเจาะหน้าต่างให้ชมวิวไปด้วย ระหว่างทำธุระส่วนตัว อิอิไม่ได้เห็นด้วยตัวเองหรอกจ้ะ น้องเลี้ยงไปพิสูจน์มาบอกต่อ
สถาปัตยกรรมของวัดแนวลาดัคห์หรือแนวธิเบตตกแต่งด้วยสีสรรสวยงาม บางมุมทาผนังเป็นสีขาวแล้ว ตัดกรอบหน้าต่างด้วยไม้ทาสีน้ำตาล เพิ่มความจัดจ้านด้วยผ้าม่านสีแสด บางช่วงทาผนังสีเหลือง หน้าต่างสีน้ำตาลแต่ตัดขอบสีส้ม ส่วนประตูทาสีแดงตัดกับภาพวาดข้างๆที่มีพื้นสีน้ำเงิน รูปภาพที่มักเห็นอยู่เสมอเกือบทุกวัดก่อนเข้าอุโบสถคือภาพ wheel of life หรือ Bhavacakra ในภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาพสัญญลักษณ์แสดงสัจจธรรมแห่งชีวิต (samsara) หรือการเวียนว่ายตายเกิด รายละเอียดที่ในแตกต่างในแต่ละวัดก็ตรงสีสรร และสไตล์ของภาพวาด
ณ วัดแห่งนี้เอง พวกเราได้มีโอกาสเจอน้องนักท่องเที่ยวชาวไทย 5 คน สี่สาวกับหนึ่งหนุ่ม น้องๆได้แวะไปแปงกองและนูบราวัลเลย์ที่เรากำลังจะไปในวันต่อๆไป จึงอดไม่ได้ที่จะปรึกษาหาข้อมูลเรื่องห้องน้ำตามประสาสาวๆ น้องๆเล่าว่าห้องน้ำตามจุดแวะพักระหว่างทางเหลือทนจริงๆ. ให้พยายามเข้าห้องน้ำตรงด่านตรวจพาสปอร์ตจะดีกว่า อืม ดิฉันและน้องนุ่มนิ่มสบตากัน ดีหล่ะพรุ่งนี้ใช้แผนนี้เลย.
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงแล้ว แต่ขบวนรถของพวกเรายังคงมุ่งหน้าต่อไป จุดหมายปลายทางต่อไปคือวัดเฮมิส (Hemis Gompa)
พวกเราพักทานข้าวเป็นอาหารกล่องที่ขนมาจากเลห์ตั้งแตเมื่อเช้า โดยอาศัยสถานที่ร้านอาหารติดวัด ซึ่งพวกเราอุดหนุนชาร้อนของเขาแทน อาจจะด้วยเรื่องความสะอาด ทีมของริ๊กซินจึงจัดให้อย่างนี้ อาหารกล่องประกอบด้วยข้าวผัด ไก่ทอด ไข่ต้ม กล้วยหอมและน้ำผลไม้ โชคดีมากที่สมาชิกท่านหนึ่งในทัวร์นำน้ำจิ้มข้าวมันไก่มาด้วย อาหารมื้อนี้จึงอร่อยขึ้นในพริบตา หลังอาหารพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ฉันและหนุ่มเลี้ยงเลือกเดินตามคุณโดเรมอนไปสำรวจเส้นทางโดยรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรมาก ด้วยแดดที่แรงจัดพวกเราจึงมานั่งแปะพักร้อนตรงตีนบันไดทางขึ้น ขณะนั้นมีนักท่องเที่ยว 2-3 คนนั่งรออยู่ด้วย เพิ่งรู้ว่าวัดที่นี่ปิดพักเที่ยงระหว่างบ่ายโมงถึงบ่ายสอง. พอพวกเรานั่งลง เด็ก 4 คนที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นเข้ามาห้อมล้อมด้วยหน้าตามอมแมม ขี้มูกเกรอะกรัง แต่ยังคงความน่ารักใสบริสุทธิ์เฉกเช่นเดียวกับเด็กๆทั่วโลก ทำให้อดไม่ได้ที่จะชักภาพเป็นที่ระลึก แล้วหันไปโชว์ให้เด็กดูซึ่งเขาชอบใจกันใหญ่
สักพักริ๊กซินเดินออกมาตามหาสมาชิกหนีเที่ยว พร้อมแจ้งให้ตั้งขบวนเริ่มออกชมวัด
วัดเฮมิสเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในลาดัคห์ อยู่ห่างจากเลห์. 45 กมไปทางใต้ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 17 เป็นวัดของนิกาย Drukpa Lineage หรือเรียกสั้นๆว่า Drukpa หรือพระสงฆ์นิกายหมวกแดง (พระสงฆ์ในศาสนาพุทธมหายานแบ่งออกเป็นหลายนิกายย่อยๆ เรียกง่ายๆตามการแต่งกายเช่นนิกายหมวกแดง นิกายหมวกเหลือง) อายุของวัดเก่าแก่เกือบ 400 ปี ภายในวัดเก็บรักษาศิลปะภาพวาดสีน้ำมัน และรูปปั้นของครุปัทมาสัมภาวา ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายมหายาน ทุกๆปีในช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคม (ประมาณวันที่ 10-11 ของเดือนที่ 5 ทางจันทรคติ) วัดเฮมิสจัดพิธีฉลองวันเกิดของท่านเรียกว่า เทศกาลเตชู ซึ่งจุดเด่นคือการห้อยผ้าปักผืนใหญ่อันสวยงาม และระบำหน้ากาก น่าเสียดายที่เรามาช้าพลาดโอกาสชมไป ลานหน้าอุโบสถวัดเฮมิสทอดยาวสวยจริงๆจนอดไม่ได้ที่จะชักภาพกันคนละหลายรูป หางตาเหลือบเห็นหนุ่มริ๊กซินถ่ายเซลฟี่กะเขาอยู่เหมือนกัน
สถานที่สุดท้ายของรายการในวันนี้คือ พระราชวังสตอค ( Stok palace) สร้างในปี 1825 บางส่วนยังคงใช้เป็นที่พักของพระราชวงศ์ ในขณะที่บางส่วนเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย มงกุฏกษัตริย์
ริ๊กซินเล่าว่า ลาดัคห์ยังคงมีกษัตริย์อยู่ หากแต่ไม่ได้ปกครองลาดักห์อีกต่อไป ตอนนี้อยู่ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐบาลอินเดีย ชั้นล่างของพระราชวังจัดเป็นคาเฟ่ ให้นั่งผึ่งพุง (จริงๆ โดยเฉพาะพวกเรา) ชิลๆ ชมวิวเมืองและภูเขา
ที่นี่ไม่อนุญาตถ่ายรูป แต่ถือโอกาสถ่ายประตูสวยงามเป็นที่ระลึก จากนั้นมุ่งหน้ากลับมาพักที่โรงแรม วันนี้รู้สึกสบายดี ฉันคงปรับตัวกับความสูงที่เลห์ ได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังคงรู้สึกหายใจไม่สะดวกตอนนอนอยู่ดี เหมือนเป็นหวัดคัดจมูกหายใจไม่ออกบ่นไปเรื่อยๆจนเคลิ้มหลับไปในที่สุด
จากคนขี้บ่นจนหลับไปได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in