เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day 2 : บินสู่ฝันที่ลาดัคห์ Fly me to Ladakh
  • 20 กรกฎาคม พ.ศ.2559

    ปลายฝันที่รัก

    แม้ว่าเที่ยวบินสู่เลห์จะออกจากเดลี 6 โมงกว่านิดหน่อย พวกเราถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตีสาม เพื่อออกจากโรงแรมในครึ่งชมถัดมา ทุกคนได้รับแจกอาหารเช้าหนึ่งกล่อง เมื่อคืนก่อนนอน  พวกเราได้รับรู้จากมัคคุเทศก์ว่า สนามบินในประเทศของอินเดียโหดในเรื่องแปลกๆเช่น ถ่านไฟควรจะถอดจากตัวไฟฉาย  มิฉะนั้นอาจถูกขอให้รื้อกระเป๋าเดินทาง รวมทั้งการตรวจค้นอย่างเข้มข้น พวกเรารับรู้เป็นครั้งแรกระหว่างทางไปสนามบินนี้เองว่า น้ำหนักที่สายการบินยอมให้ขึ้นเครื่องสำหรับเครื่องบินภายในประเทศได้เพียง 15 กิโลกรัม. ทุกคนจัดเต็มมาตั้งแต่กรุงเทพด้วยความเข้าใจที่ว่าน้ำหนักที่อนุญาตคือ 30 กิโลกรัม สมาชิกบางท่านในกลุ่มนำเสบียงอาหารมาเพิ่มเติมจากที่ทัวร์จัดหาให้ เนื่องจากโชกโชนประสบการณ์เที่ยวอินเดียมาก่อน และน้ำจิ้มข้าวมันไก่กับน้ำพริกกะปิของแกก็ได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ในภายหลัง แกเก่งมากที่เตรียมมาแม้กระทั่งผลไม้อย่างส้มและเงาะ เป็นเหตุทำให้น้ำหนักเกินไปเยอะ พวกเราต้องเรียงแถวเช็คอินทีละคนเริ่มด้วยมัคคุเทศก์ของเรา ซึ่งถูกตีกลับมาแทบจะในทันที หมอหนุ่มจากขอนแก่นคนเดียวในทัวร์ของเรามีสมบัติน้อยหน่อยเข้าวินเป็นคนแรกด้วยน้ำหนัก 14 กิโลกรัม. ฉันสามารถเช็คอินได้เป็นรายถัดไปด้วยน้ำหนัก 16 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่ใจดียอมถัวให้กับคนแรก เพื่อนๆฉันตัดสินใจเอากระเป๋าเล็กมาแบ่ง ทำน้ำหนักกันเป็นการใหญ่ มิฉะนั้นต้องเสียค่าปรับ100 รูปี หรือประมาณ 50 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ฉันไม่เข้าใจตรรกะของสายการบินเลยจริงๆเพราะสุดท้ายไม่ว่ากระเป๋าจะถูกโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบินหรือถือขึ้นเครื่องก็ตาม น้ำหนักโดยรวมเท่ากันอยู่ดี สุดท้ายใช้เวลากันพักใหญ่ทุกคนจึงผ่านเข้าไปได้โดยสวัสดิภาพ

    ในที่สุดพวกเรามุ่งหน้าสู่เลห์ตามกำหนด ฉันเลือกที่นั่งริมหน้าต่างซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ได้ภาพงามๆของเทือกเขาหิมาลัยยามเช้า ยอดเขายังปกคลุมด้วยหิมะขาวตัดเนินเขาเรียงรายเป็นทางยาวสีน้ำตาลที่ไม่สามารถหาชมได้จากที่ใด เราใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชมก็ลงจอดอย่างปลอดภัย ในสายตาของฉัน สนามบินแห่งนี้ถือเป็นสนามบินที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยอยู่แวดล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัยอันงดงาม

    ทันทีที่ลงถึงสนามบิน พวกเราได้ยินเสียงสนามบินประกาศเตือนเกียวกับ AMS ให้กับนักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาถึงให้เคลื่อนไหวช้าๆ และพักผ่อนเป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเริ่มกิจกรรม ซึ่งคณะของพวกเราปฏิบัติตามกันเป๊ะด้วยการเข้าพักผ่อนที่โรงแรมเป็นอันดับแรก เนื่องจากห้องพักยังไม่เรียบร้อย พวกเราจึงถูกต้อนให้เข้ามารับประทานอาหารเช้าอีกรอบหนึ่งแทน  รอโรงแรมจัดที่พักให้ไปด้วยในตัว โรงแรมแห่งนี้คงต้อนรับทัวร์ชาวไทยค่อนข้างเยอะ ข้าวต้มโรยด้วยผักชีและกระเทียมเจียวเหยาะน้ำปลาจึงเป็นรายการหนึ่งบุฟเฟต์อาหารเช้าที่ถูกปากคนไทยตั้งแต่วันแรกจนวันกลับ  พนักงานโรงแรมที่นี่อัธยาศัยดีมาก  แม้ว่าจะเป็นบุฟเฟต์แต่มีน้ำใจบริการ อาสาเสิร์ฟข้าวต้มหรือชาโดยไม่ต้องกวักมือเรียกเหมือนเมืองใหญ่บางเมือง ชาที่นี่นิยมทานเป็นชาใส่นมผสมเครื่องเทศคล้ายซินเนมอนเรียกว่า จัย (Chai ) หรือ Masala tea. ฉันชอบมากเป็นต้องเรียกหามาดื่มทุกมื้อไป แต่เพื่อนๆหลายคนขอเปลี่ยนเป็นแค่ชานมธรรมดาแทนด้วยไม่คุ้นกับเครื่องเทศ หลังอาหารจัดเป็นเวลาพักผ่อน ฉันและน้องนุ่มนิ่มถูกจัดให้พักบนชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด มัคคุเทศน์ชาวไทยที่จัดห้องบอกว่า พวกเรายังวัยรุ่นอยู่ หึหึ

    พวกเรางีบได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นก็ถูกปลุกขึ้นมารับประทานทานอาหารเที่ยงอีกแล้ว อาหารถูกดัดแปลงให้ถูกปากคนไทยตามเคย เมนูอาหารประกอบด้วย ข้าวสวย ผัดผัก และไก่ทอด ที่แปลกไปคือนาน ซึ่งเป็นแป้งคล้ายโรตี แต่แผ่นหนากว่า รับประทานกับเครื่องจิ้ม พวกเราต่างตรวจสอบอาการของตัวเอง ต่างยังรู้สึกสบายดี เว้นแต่ตอนเดินขึ้นห้องพักชั้นสี่เท่านั้นที่รู้สึกเหนื่อยง่ายต้องเดินไปพักไปทีละชั้น แม้จะอยู่สูงแต่วิวดี จากระเบียงใกล้ห้องพักสามารถมองออกไปเห็นเทือกเขาหิมาลัยยอดสีขาวอยู่ไกลๆ ที่นี่แม้อากาศเย็นแต่แดดแรงเหลือใจทีเดียว


    ตอนบ่ายเริ่มออกเที่ยวเบาๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ 4-6 คนพอเหมาะแก่นั่งรถโตโยต้าอินโนว่าได้ 1 คัน กลุ่มของเรามา 4 คนพอดีจึงไม่มีปัญหา เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบริ๊กซิน มัคคุเทศก์หนุ่มท้องถิ่น สูงผอมหล่อสูงเพรียวประมาณดาราเกาหลีในคราบอินเดีย จริงๆแล้วหน้าตาประมาณจีนผสมอินเดียมากกว่า ผิวเข้ม เสริมความคมเข้มด้วยหนวดเส้นเรียวเหนือริมฝีปาก สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงเอวต่ำสวมหมวกแก็ปกลับหลัง อายุประมาณต้นยี่สิบ แต่บุคคลิกดูเป็นผู้ใหญ่ เพราะต้องรับผิดชอบนำทั้งทัวร์ และขบวนรถทั้งหมด 4 คัน

    โปรแกรมวันนี้จัดเบาๆแค่รอบเมืองเลห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์(region ) อยู่ในรัฐจามูร์ แคชเมียร์ (state) ตามแผนที่ดินแดนแถบนี้เป็นติ่งตอนเหนือของอินเดียที่ยื่นออกไปแวดล้อมด้วยปากีสถาน อัฟกานิสถาน และจีน จึงถือเป็นเขตอ่อนไหว เราจึงพบค่ายทหารและด่านตรวจมากมายตลอดทาง   ลาดัคห์เป็นดินแดนซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงคาราโครัม ทุกวันนี้มีเพียงถนน 2 สายที่สามารถเข้าถึงได้ คือถนนสายมานาลีซึ่งเล่ากันว่าเป็นเส้นทางมหาโหดเช่นกัน และถนนสายศรีนาคาซึ่งขณะนี้มีปัญหาเรื่องกบฏอยู่  และหนทางสุดท้ายคือเดินทางโดยเครื่องบินมาลงเหมือนพวกเรา

    ลาดัคห์เปิดรับนักท่องเที่ยวได้เพียงระยะสั้นเพียงไม่กี่เดือนเนื่องจากมีเพียง 2 ฤดูเท่านั้น คือฤดูร้อนเริ่มจากเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน ช่วงที่ฉันมานี้เป็นเดือนกรกฎาคมกลางฤดูร้อน ด้วยแดดที่แรงมากจึงรู้สึกว่าร้อนจนขนาดใส่เสื้อแขนสั้นได้ในตอนกลางวัน ตกเย็นอากาศค่อนเย็นสบายหน่อย ฤดูหนาวของลาดัคห์ยาวมากถึง 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม

    ขบวนรถของพวกเราเคลื่อนตัวออกจากโรงแรม ผ่านสะพานซึ่งราวสะพานพันไว้ด้วยธงมนตรามากมาย ธงมนตราเป็นเหมือนธงราวที่ผูกเอาธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 5 สีเรียงจากซ้ายไปขวาเริ่มจาก เหลือง แดง เขียว ขาวและน้ำเงิน เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า 5 องค์ตามพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในขณะเดียวกันเป็นตัวแทนธาตุทั้ง 5 เริ่มจากดิน ไฟ น้ำอากาศและลม ตามด้วยจักรวาล ไม่มีใครทราบว่าธงมนตราเป็นอิทธิของศาสนาใดแต่เชื่อกันว่า จะนำสิ่งดีๆมาสู่บริเวณข้างเคียง.     


    สถานที่แรกที่เราเข้าเยี่ยมชมคือเจดีย์ชานติ (Shanti stupa) ซึ่งสร้างโดยลามะชาวญี่ปุ่นที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเมื่อปี1980 ฟังว่าองค์ดาไลลามะทำพิธีวางฐานรากที่นี่ด้วยพระองค์เอง ตัวเจดีย์สีขาวตั้งอยู่กลางแจ้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพระหว่างอินเดียกับปากีสถาน.                         

    แดดกำลังร้อนเปรี้ยง รอบฐานเจดีย์จัดเป็นลานให้ชมเมืองโดยรอบ ตรงมุมหนึ่งชี้ไปทิศที่ตั้งของแม่น้ำสินธุ ซึ่งริ๊กซินพยายามหนักหนาที่จะให้พวกเรามองเห็น แต่สิ่งที่ปรากกฎแก่สายตาเป็นเส้นสีน้ำตาลอยู่ลิบๆ หนุ่มริ๊กซินก็พยายามอธิบายว่า อ๋อ ตอนนี้ แม่น้ำแล้งเป็นโคลนอ่ะเธอ เฮ้อ...


    ด้วยอากาศที่ร้อนจัดทำให้พวกเรายืนอยู่กันได้ไม่นานนัก จึงเคลื่อนทัพไปชมพระราขวังเลห์ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าสร้างในสมัยสงครามของชาวลาดัคห์กับผู้ปกครองชาวแคชเมียร์ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ขนาดสูง 9 ชั้นเป็นสถาปัตยกรรมใกล้เคียงพระราชวังโปตาลาในธิเบต ขณะนี้พระราชวังถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ส่วนพระมหากษัตริย์ย้ายไปพำนักอยู่ ณ พระราชวังสตอค ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่ดีแห่งหนึ่ง ทำให้มองเห็นบ้านเรือนของชาวลาดัคห์เรียงรายอยู่ตามเนินเขา ลักษณะบ้านเรือนที่นี่สร้างเป็นบล็อกสีขาว จะมีลวดลายที่แตกต่างเพียงแค่กรอบหน้าต่าง ตัวบ้าน ทำจากแผ่นหิน โครงไม้ และอิฐดินเหนียวแบบทำเอง ส่วนใหญ่บ้านสูง 2-3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นคอกสัตว์และส้วมซึ่งใช้เป็นระบบส้วมหลุม เมื่อใช้เสร็จแต่ละครั้งจะต้องใช้การโกยดินและขี้เถ้ากลบแทนน้ำราด ทำให้ของเสียแห้งไม่ส่งกลิ่น (อันนี้ฟังเขาเล่ามานะคะ ยังไม่เคยเจอ โชคดีที่ริ๊กซินและทีมหาห้องน้ำที่พอเข้าได้ให้ตลอดทริป แม้ว่าต้องจ่ายเงินบ้างในบางครั้ง) ชั้นบนของบ้านนอกจากแบ่งเป็นห้องนอน ยังเป็นห้องเก็บเสบียงไว้สำหรับหน้าหนาว ห้องครัวและห้องพระ



    เนื่องจากเป็นวันแรกที่มาถึงเลห์ ร่างกายยังต้องการปรับตัว พวกเราจึงกลับเข้าโรงแรมแต่หัววัน ตัวฉันเองยังไม่รู้สึกเป็นอะไรมากเว้นเหนื่อยตอนเดินขึ้นบันไดเท่านั้น เนื่องจากกลับกันมาเร็วมาก คุณโดเรมอนไกด์ฝั่งไทยชวนพวกเราออกไปชมเมือง  โดยส่วนตัวแล้ว เลห์เจริญกว่าที่คิดไว้มากนัก ตอนแรกคิดว่าเป็นเมืองเล็กๆสงบ แต่พอมาถึงกลับคราคร่ำด้วยนีกท่องเที่ยว รถจอแจจนถนนเล็กไป คุณโดเรมอนพาพวกเราลัดเลาะไปตามซอกซอย จนมาถึงมัสยิดประจำเมืองจึงแวะเข้าไปเยี่ยมชมสักหน่อย 

    ข้างในจัดอย่างเรียบง่าย ปูพรมเรียงแถว จัดไว้ให้ชาวมุสลิมที่นี่มาสวดมนต์ ขณะนั้นยังไม่ถึงเวลาละหมาดจึงมีเพียง. 2-3 คนที่อยู่ในมัสยิด ดูเหมือนที่นี่จะยอมรับให้ผู้ต่างศาสนาอยู่อาศัยด้วยกันได้ดี ใกล้กันนั้นเป็นวัดพุทธเล็กๆในเมือง พวกเราจึงเข้าไปสักการะขอพร สุดท้ายพวกเรามาพบร้านยาคอสเมติกหิมาลายาชื่อดัง ซึ่งอยู่ในลิสต์ที่ต้องซื้อเมื่อมาอินเดียอยู่แล้วจึงจัดลิปส์บาล์มเสีย 1 ขวดโหล พร้อมยาดมแก้หวัด แก้ปวดชุดใหญ่.

    กลับมาถึงโรงแรมได้เวลาอาหารพอดี อากาศเริ่มเย็นเมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า น้ำอุ่นสำหรับอาบมีให้ในเวลาจำกัดจากตีห้าตอนเช้าถึงสามทุ่มเท่านั้น แถมระดับอุณหภูมิของน้ำไม่เสถียรนัก จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อทางโรงแรมจัดถังน้ำไว้ให้รองผสมน้ำเย็น (เย็นเสียจนมือชาเลย) และน้ำร้อน (ร้อนระดับต้มมาม่าได้นะ) เพื่อให้เป็นน้ำอุ่นในระดับที่ต้องการ ถึงเวลาเข้านอน โรงแรมที่นี่ไม่มีแอร์ มีแต่หน้าต่างบานใหญ่เท่าประตู ถ้าเปิดไว้ก็รู้สึกเย็นสบายดี แต่อยู่กันลำพังสาวๆสองคนกับน้องนุ่มนิ่มก็เกรงจะมีแขกไม่รับเชิญมาเยี่ยม จึงปิดหน้าต่างนอนไป รู้สึกหายใจลำบาก ขนาดงัดยาดมหิมาลายันที่เพิ่งซื้อมาใช้ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย จนหลับๆตื่นๆไปทั้งคืนนั้น

    จาก คนง่วงนอนมากในยามเช้า

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in