ต้องบอกก่อนว่าหลังจากชีช้ำกับ
"หงส์กรีดปีก" ก็ไม่ได้แตะงานของสยามอีกเลย
มันเป็นเข็ด เป็นขยาด นิยายภาษาสวยบรรยายสุดจะดีแต่กลับทำกันแบบนั้น! ยังมีหน้ามาจัดให้หนังสืออยู่ในหมวด
"บุปผาแห่งรัก" กระซิกๆ น้ำตาท่วมหนังสือไปแล้วก็เลยค่อยๆ ถอยออกมา ด้วยเพราะขยาดเต็มทน พอห่างหายไปก็เลยลืมๆ กลายเป็นว่าไม่ได้ตามเรื่องใหม่ๆ ของสำนักพิมพ์นี้ไปนาน
จนมาได้ข่าวว่าได้ลิขสิทธิ์งานของ
"เหว่ยอวี๋" มา เราเลยเนื้อเต้น
เฮ้ย งานของเหว่ยอวี๋เลยนะ ก่อนหน้านี้เราได้อ่าน
"ครึ่งปีศาจซือเถิง" ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักนักเขียนคนนี้ ปรากฏว่าชอบมาก ชอบมากๆ ชอบมากๆๆ
มันเป็นสไตล์การเขียนที่ละเลียดไปทีละนิด บางครั้งก็มีจุดเร้า แต่การใส่ใจในการเล่าเรื่องคือเสน่ห์ในงานของนักเขียนคนนี้ หลังจากอ่านจบก็รู้สึกได้ทันทีว่าชื่อของเหว่ยอวี๋จะต้องค่อยๆ เริ่มดังในหมู่นักอ่านชาวไทยแน่ๆ ซึ่งก็จริงตามนั้น
มาที่เรื่องนี้ดีกว่า
"ลางสังหาร ไขคดีพิศวง" ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องแล้วเฉยมาก เหมือนนิยายสืบสวนสอบสวนทั่วไปของจีน ก็ไม่ได้อะไรมาก ยังไม่ได้ซื้อมาอ่าน จนวันก่อนเบื่อๆ เลยลองเข้าไปอ่านตัวอย่างในเว็บของสำนักพิมพ์
และนั่นแหละ...แค่บทสองบทก็ทำให้เราลุกเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหน้ากากอนามัยฝ่าโควิด-19 ไปซื้อหนังสือสองเล่มแรกมาอ่านต่อทันที
หนังสือเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พูดถึงการเดินทางของหญิงสาวนาม
จี้ถังถัง ที่เดินทางตัวคนเดียวไปที่หุบเขากาซ่าม่อ หมู่บ้านก่าไน่ ทิเบต
ในสายตาคนอ่าน จี้ถังถังเป็นเหมือนสาวปริศนา เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอ รู้แค่ว่าเธอมาเพราะคดีหญิงสาวหายตัวไปที่หมู่บ้านนี้ เธอไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่สายสืบ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างปิดตัวและพกระฆังลมหน้าตาธรรมดาๆ ใบหนึ่ง
จี้ถังถังเข้าพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในก่าไน่ ได้ทำความรู้จักกับเจ้าของที่พักและเพื่อนๆ ทั้ง
อาเหมา,
กวงโถว,
จีเหมา และ
เยวี่ยเฟิง รวมถึงสองสาวที่เข้าพักก่อนหน้า
อวี่เหมย และ
เสี่ยวเจีย อย่างที่บอกว่าจี้ถังถังแปลกแยก เธอมักจะไปที่หุบเขาที่เป็นจุดเกิดเหตุ ที่นั่นมีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่คนมักไปขอพร และเกิดเรื่องประหลาดขึ้นต่อหน้าเธอ มีคดีคนหายอีกหนึ่งคดี แถมยังมีบุคคลน่าสงสัยสะกดรอยตามจี้ถังถัง ไม่นับรวมที่เธอถูกทำร้ายร่างกายโดยใครบางคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับอีก
พล็อตหลักๆ ในเล่มหนึ่งจะประมาณนี้ เราจะค่อยๆ ทำความรู้จักจี้ถังถังไปเรื่อยๆ และพบว่าเธอมีบางอย่างที่แปลกประหลาด ระฆังลมที่เธอพกก็ยิ่งแปลกประหลาด
มันเป็นระฆังลมเหนือธรรมชาติ ยามปกติเขย่าให้ตายยังไงก็ไม่มีเสียง แต่มันจะลั่นเองด้วยแรงอาฆาตจากวิญญาณที่พยายามขอความช่วยเหลือเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่เราชอบในงานเขียนของเหว่ยอวี๋คือการใช้ภาษา เราสังเกตตัวเองว่าเวลาอ่านงานของเขาจะไม่สามารถอ่านผ่านๆ ได้เลย แต่จะตั้งใจอ่านอย่างละเอียด ใช้เวลาสำหรับการอ่านหนึ่งเล่มค่อนข้างนาน ทั้งๆ ที่เล่มของสำนักพิมพ์นี้ก็อย่างที่รู้...ค่อนข้างบาง แต่กลับทำให้เราเพลิดเพลินจนลืมเวลา ทุกอย่างอัดแน่นในหนึ่งเล่ม การเล่าก็เหมือนกับว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์นั้นไปด้วย เลยไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง
อีกอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็น
"เหว่ยอวี๋สไตล์" คือการผูกเรื่องราวในปัจจุบันเข้ากับความเชื่อในอดีต ถ้าได้อ่านงานของเขาเราจะเห็นได้ว่าเหว่ยอวี๋เป็นคนช่างอ่านแน่นอน เขาใฝ่รู้ เขารู้เยอะ และที่สำคัญคือเขารู้ว่าจะถ่ายทอดมันออกมายังไง
บรรยากาศความลึกลับในเล่มก็ทำออกมาได้ดีมาก ไม่เชิงสยองขวัญแต่ก็ทำให้ขนหัวลุกไม่น้อย
หนังสือทั้งหมดมี 7 เล่มจบ อีกวันสองวันเล่มสามก็จะวางแผงแล้ว เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งท้ายไว้แบบค้างคาเท่าไรเพราะทุกอย่างจบในเล่ม
อ้อ ยังไม่ได้บอกสินะว่าเนื้อหาคล้ายจะเป็นตอนๆ ไป
ในเล่มแรกจี้ถังถังวิ่งไปวิ่งมาอยู่ที่ก่าไน่ ส่วนเล่มสองไปโผล่ที่เมืองโบราณเพราะต้องจัดการกับความอาฆาตแค้นของผีตนหนึ่งที่มีรากไม้ในท้อง (ไม่สปอยล์ในส่วนนี้ แต่สยองใช้ได้)
ส่วนเล่มสามคล้ายจะไปที่ชัมบาลาเทือกๆ นั้น และดูทรงแล้วพระเอกเราคงจะตามไปด้วย
อ้อๆ ก็ยังไม่ได้บอกอีกล่ะสิว่าเรื่องนี้มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาเอี่ยวเหมือนกัน
มีนางเอกก็ต้องมีพระเอก แต่พระเอกเรื่องนี้ไม่ได้ชวนให้รู้สึกรักใคร่นัก เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ปักหลักปักฐานที่ไหนนานๆ เพราะหน้าตาดีเลยมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเอี่ยวไม่น้อย แต่เขามีแฟนอยู่คนหนึ่งชื่อ
เหมียวเหมียว รักๆ เลิกๆ กันมาเจ็ดปีก่อนจะมาเลิกสนิทกันในช่วงท้ายเล่มแรก (ซึ่งสำหรับเราแล้วพบว่าอีตาพระเอกนี่อดทนใช้ได้ นิสัยอย่างยัยคนนี้ชั้นให้เจ็ดเดือนก็ถือว่ามากเกินพอ ไม่ต้องมาพูดถึงเจ็ดปี)
พระเอกเป็นแนวนักสู้ เอะอะใช้กำลัง ปากไม่ดี และในส่วนของเล่มสองเราจะได้เห็นเขาในความเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่กลัวเป็นกังวลเป็น เขารู้ว่าเขาไม่เหมาะกับเรื่องพิศวงทั้งหลาย ในฐานะพระเอกอาจดูใจร้ายและเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่พอคิดในแง่ของความเป็นจริง กับคนที่เพิ่งพบกันได้ไม่นานขนาดนั้น การจะจบทุกอย่างลงด้วยการเอาตัวเองออกมาแทนที่จะเสี่ยงอันตรายมันก็สมเหตุสมผลอยู่
แต่ลืมบอกไป เห็นอย่างนี้พระเอกเป็นคนค่อนข้างขี้ใจอ่อน
เพราะงั้นในท้ายเล่มสอง เราเลยได้รู้แน่ๆ ว่าไอ้หมอนี่มันคงวิ่งตามนางเอกไปชัวร์ อ๊ะ เผลอสปอยล์หรือเปล่า แต่ช่างเถอะ ประเด็นมันอยู่ที่พล็อตในแต่ละเล่มต่างหากที่สำคัญ
แล้วก็มีอีกตัวละครหนึ่งที่ชอบมาก ดูไม่เข้ากับบรรยากาศแต่เป็นตัวที่สร้างสีสันดีนะ ตัวละครนั้นคือ
เสินกุ้น เสินกุ้นเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปี แบกกระสอบใหญ่ๆ ที่ด้านในเป็นหนังสือมากมายที่เขาบันทึกทุกอย่างเอาไว้ในนั้น รอบรู้ไปทุกอย่าง ชื่นชอบเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นพิเศษ จะมีบทบาทค่อนข้างมากในเล่มสอง เป็นตัวละครที่มีการกระทำให้เราขำได้ตลอดเวลา หวังว่าหลังจากนี้จะเห็นเขาบ่อยๆ
อืม...ส่วนที่ว่าจี้ถังถังเป็นใคร ความเป็นมาของเธอเป็นอย่างไร ระฆังใบนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ เราจะได้รู้กันในเล่มสองจากปากของตาเสินกุ้นนี่แหละ เป็นที่มาของพล็อตยาว
"บุตรสาวตระกูลเซิ่ง" ที่น่าจะเก็บเป็นไคลแมกซ์ช่วงตอนสุดท้าย
อ้อ เขียนมาถึงตรงนี้เพิ่งนึกได้ แนวการเขียนและการวางพล็อตคล้ายๆ เรื่อง
บันทึกปิ่น คือมีเรื่องเข้ามาทีละเรื่อง จบทีละเล่มสองเล่ม แต่ก็มีพล็อตยาวที่เกี่ยวข้องกับตัวเอกให้เราค่อยๆ ตามเก็บไประหว่างทาง แล้วจึงไปจบลงในช่วงสุดท้าย ทำนองนั้น
สำหรับเราสองเล่มแรกสนุกมากกกก ส่วนตัวชอบบรรยากาศแบบเล่มหนึ่ง แต่ความน่ากลัวต้องเป็นเล่มสอง
พระนางตีกันบ่อย ลงไม้ลงมือกันก็บ่อย เป็นทำนองตีกันบ่อยๆ ก็จะเข้าใจกันที่สุด
แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เราไม่ค่อยชอบเหมือนกัน (ไม่ใช่ว่าเราจะอวยเหว่ยอวี๋นี่นา) คือในส่วนของเล่มแรก มันค่อนข้างค้างคา เราอยากรู้ว่าในตอนสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นแต่ตัดจบไปเฉยๆ ไม่เคลียร์เท่าพล็อตเล่มสอง ตอนแรกเข้าใจว่าจะเอามาเฉลยในเล่มสองหรือเปล่า ก็เปล่า แค่แย้มๆ ไม่มีรายละเอียดนัก คิดต่อไปว่าหรือจะเอาไปเล่าเล่มสาม ก็เอ๊ะ มันออกจะไกลไปหรือเปล่า
ตรงจุดนี้เป็นจุดที่ไม่ชอบเลย มันทำให้ค้างคามากๆ เราพอจะรู้ว่านางเอกจัดการสถานการณ์ยังไง แต่เราไม่รู้รายละเอียด คนร้ายล่ะ วิญญาณล่ะ เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น จู่ๆ ก็ตัดไปเข้าพล็อตต่อไป ก็เลยแปลกใจเบาๆ
แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพตลอดทั้งเรื่องแล้วถือว่านี่ก็เป็นข้อผิดพลาดที่ยังรับได้ เราเองก็จะนับวันรอเพื่อรีบแจ้นไปซื้อเล่มสามที่ร้านหนังสือ (ไม่ได้พรีเพราะพรีไม่ทัน นี่เป็นเรื่องที่เสียใจมาก แงงงง)
เอาเป็นว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานของเหว่ยอวี๋ที่ดีมากกกก อ่านสนุกมาก เมื่อคืนอ่านจบเล่มแรกก็เที่ยงคืนแล้ว ตั้งใจว่าเล่มสองจะอ่านตอนเช้า แต่ก็อดใจไม่ไหว แง้มอ่านไปสองสามบทจนตีหนึ่งกว่าแล้วค่อยยอมปิดหนังสือนอน
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคำนี้วนเวียนอยู่ในหัว...
เหว่ยอวี๋ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in