เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I love not man the less, but books moreรั่วชิงบ้านสกุลหาน
(Book) รีวิว 将夜 สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 21
  • 将夜 สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 21

    ผู้เขียน : Mao Ni ผู้แปล : มดแดง
    สนพ.เอ็นเธอร์บุ๊คส์
    40 เล่มจบ


    "เล่มนี้เรียบๆ แต่ลึกซึ้งมาก"

              ประโยคนี้ดังขึ้นในหัวบ่อยๆ ขณะที่กำลังเปิดสยบฟ้าฯ เล่มนี้อ่านไปเรื่อยๆ หลังจากรอโอกาสดีมาหลายวัน วันนี้ก็ได้อ่านเสียทีและรู้สึกดีใจมากที่การรอคอยอันยาวนานของเรามันออกมาในรูปแบบที่ดีแบบนี้

              สำหรับเล่มนี้ก็ต่อจากเล่มที่แล้วคือ หนิงเชวีย พา ซังซัง ไปถึงวัดลั่นเคอแล้วเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะต้องการพาซังซังไปพบกับ ฉีซานต้าซือ เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยรักษาโรคไอเย็นตามคำแนะนำของจอมปราชญ์ แต่ว่ากฎของวัดลั่นเคอมีอยู่ว่าอยากจะเอาตัวไปเสนอหน้าให้ฉีซานต้าซือ "ต้องวาสนา" จะต้องฝ่าด่านประลองหมากล้อมอันลือลั่นประจำวัดทั้งสามกระดานให้ได้เสียก่อน

              ซึ่งในส่วนของหมากล้อมนี่แหละที่ทำให้เราได้เห็นซังซังโชว์สกิลเทพอีกแล้ว เพราะเทวีแห่งแสงสว่างขอประมือประลองหมากท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายโดยมีเจ้าหนิงเชวียร้อนอกร้อนใจเป็นห่วงอยู่ข้างๆ

              สำหรับเล่มนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าเนื้อหานั้นหากให้นับดีๆ แล้วพูดถึงช่วงเวลาแค่วันสองวันเท่านั้น บรรยายไปเรื่อยๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าติดตามและลึกซึ้งมากจริงๆ

              วัดลั่นเคอในช่วงนี้จะมีฆราวาสและผู้ฝึกฌาณหลั่งไหลเข้ามามากมายทำให้เราได้พบตัวละครเก่าๆ มากมาย หนึ่งในนั้นรวมไปถึงคนที่มีความหลังร่วมกันมาอย่างผู้งมงายอักษร โม่ซันซัน หนิงเชวียมันก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าโม่ซันซันจะต้องมาร่วมงานนี้ด้วย แต่เอาเข้าจริงพอได้เจอหน้ากันมันกลับไม่รู้จะทำยังไงดีเสียมากกว่า ซึ่งก็เป็นซังซังที่ "เปิดโอกาส" ให้ทั้งคู่ได้สนทนากันอย่างใจกว้างแต่ไว้ตัวพอควร

              การปรากฏตัวของโม่ซันซันแน่นอนว่าต้องทำให้แม่ยกทีมซังซังใจเต้นตึกตักแน่ๆ แต่พออ่านแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าผู้เขียนใส่การพบปะกันครั้งนี้มาให้เราเห็นความสำคัญที่หนิงเชวียมีต่อซังซังรวมไปถึงท่าทีที่แท้จริงของมันที่มีต่อผู้งมงายอักษรให้ลึกขึ้นนั่นเอง เพราะแม้จะมีการสนทนากัน ยืนชมใบไม้แดงข้างกัน แต่ทุกๆ การกระทำเหล่านั้นกลับเป็นตอนที่หนิงเชวียสนใจแต่ซังซัง ในหัวคิดวนเวียนแต่เรื่องของซังซังไม่ได้มีเผื่อแผ่ให้ใครที่ไหนเลย กระทั่งมันเองยังเอ่ยปากขอโทษโม่ซันซันอย่างจริงใจและจริงจังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนหลังทำให้น้องโอโม่ถึงกับเจ็บแปลบๆ กับความตรงไปตรงมาของมันเลยทีเดียว

              เอาจริงก็คือเล่มนี้น้องโม่แม้จะเจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ยังแอบแอ๊วหนิงเชวียอยู่นิดๆ แต่เป็นโชคร้ายของน้องโม่ที่หนิงเชวียมันกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ ไม่มีอะไรเข้าหู ข้าไม่ได้ยินอะไรเลยเสียอย่างนั้น (วงวารรร)

              แต่มาคิดถึงตรงนี้เรากลับรู้สึกได้ว่าการที่ผู้เขียนใส่ตัวละครอย่างโม่ซันซันเข้ามาในนิยายเรื่องนี้หน้าที่หลักของสตรีนางนี้คือการทำให้หนิงเชวียเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากกว่า แน่นอนว่ามันเคยรัก ตอนนี้พอได้เห็นก็ยังฟุ้งซ่าน แต่พอตัดสินใจว่าควรเลิกคิดมันก็เลิกคิดจนถึงกับลืมอีกฝ่ายไปเสียจริงๆ นั่นเพราะหลังจากเหตุการณ์หอบเงินหนีออกจากบ้านของสาวใช้ตัวดำคนนั้นทำให้มันรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคิดยังไงนั่นแหละ เพราะงั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่าโม่ซันซันก้าวเข้ามาในชีวิตของหนิงเชวียเพื่อทำให้หนิงเชวียรู้ว่าจริงๆ แล้วคนที่สำคัญกับมันที่สุดยังไงก็เป็นซังซังอยู่วันยังค่ำ ถึงขนาดที่ว่าซังซังเอ่ยปากสั่งเสีย ทั้งยังยอมให้มันแต่งงานใหม่หลังตัวเองตายไป อีตานี่ก็ดันส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่า "หากเจ้าตายข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่"

              พักเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะเรื่องนี้ออกจะฟุ้งมากในช่วงแรกของเล่ม หลังจากนั้นคือการพยายามขบถของหนิงเชวียจนใครต่อใครต่างมองว่ามันคือ เคอเฮ่าหราน เมื่อครั้งกระโน้น เพราะอย่างที่เกริ่นไปด้านบนว่าฉีซานต้าซือจะออกจากถ้ำมาต้องวาสนากับคนผู้ใด ก่อนที่จะเสนอหน้าไปต้องวาสนาได้นั้นต้องผ่านเกมหมากล้อมเสียก่อน ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็น่าจะทราบกันดีว่าหนิงเชวียเป็นคนยังไง มันไม่สนกฏเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น ดึงดันจะพาคนฝ่าไปให้ได้ก็เลยปะทะฝีปากกับยัยแก่ที่เราทุกคนคิดถึง (เหรอ!?) อย่าง ชวีนีหม่าตี้

              สำหรับเรา...นิยายเรื่องนี้เราไม่เกลียดตัวละครไหนเลยนะ ถึงจะเป็นตัวร้ายอย่างหลงชิ่ง เหลียนเซิงต้าซือ หรือใครเราก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราไม่ชอบหน้า แต่ยัยแก่นี่เป็นตัวละครเดียวที่ทำให้เราได้แต่ดีดดิ้นอยู่ตรงหน้าหนังสือเพราะไม่รู้ว่าจะมุดหน้ากระดาษไปฟาดปากคนแก่แบบนี้ได้ยังไง ยัยชีแก่นี่ปรากฏตัวทีไรไม่เคยพูดอะไรดีๆ สักครั้ง แต่ก็ต้องรู้กันว่ายัยคนนี้ปะทะฝีปากกับใครก็ได้แต่อย่าปะทะฝีปากกับเจ้าหน้าหนาหนิงเชวียเพราะคนคนนี้ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังช่วยบรรเทาโทสะในใจผู้อ่านไปได้อีกเป็นอักโข 5555555

              กลับมาพูดถึงการพยายามจะไปพบฉีซานต้าซือต่อ เพราะแม้เดิมทีหนิงเชวียจะอยากฝ่าขึ้นไปทั้งยังเตรียมอาวุธออกมาแล้ว แต่ซังซังกลับไม่อยากเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังหนิงเชวีย เด็กคนนี้อยากปกป้องเขาบ้าง เทวีแห่งแสงสว่างคนนี้เลยขอเดินหมากอันลือลั่นของวัดลั่นเคอทั้งสามกระดานนั่นเสียเลย

              หากเล่มก่อนมีฉากบู๊กับหลงชิ่งที่ทำให้เราลุ้นใจหายใจคว่ำแล้ว เล่มนี้กลับไม่มีฉากทำนองนั้น มากสุดก็แค่การที่หนิงเชวียง้างธนูตั้งท่าเตรียมยิงเท่านั้นเอง เพราะเล่มนี้เนื้อหาหลักๆ คือความสัมพันธ์ของหนิงเชวียและซังซัง การสนทนาที่แฝงหลักปรัชญาธรรมมะ อาจารย์คนใหม่ของซังซัง และการแง้มปริศนาเกี่ยวกับบุตรของหมิงหวังในตอนสุดท้าย

              ฟังดูแบบนี้อาจจะน่าเบื่อสำหรับคนที่ชอบอ่านฉากบู๊ แต่เอาจริงเรากลับพบว่าเราอ่านบทสนทนาในเรื่องได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อเลย ตัวละครอย่างฉีซานต้าซือกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เราประทับใจมาก และระหว่างที่อ่านการสนทนาธรรมเหล่านั้นเราได้ข้อคิดจากมันไม่น้อย กล้าพูดเลยว่าเล่มนี้มีถ้อยคำดีๆ ชวนให้คิดตามอยู่มากจริงๆ นับถือความรู้และความคิดของคุณ Mao Ni ผู้เขียนและขอซูฮก คุณมดแดง ผู้แปลด้วยก๋วยเตี๋ยวเปรี้ยวเผ็ดหนึ่งชามเพราะแปลออกมาได้สละสลวยงดงามมากค่ะ

              แม้เล่มนี้จะไม่มีฉากบู๊ แต่มันลึกซึ้งและออกจะขมปร่าอยู่ในใจลึกๆ ดังนั้นคิดว่า 8.9 น่าจะเหมาะสม เราค่อนข้างประทับใจกับเล่มนี้มากทีเดียว ส่วนตอนจบเล่มก็ไม่ได้ค้างคาอะไรมาก ยังสามารถทำใจเย็นรออ่านเล่มต่อไปได้ (อาจจะมาช่วงงานหนังสือหรือเปล่านะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน)

              ยังไงก็ตามนี่เป็นความรู้สึกและความเข้าใจของเรา เล่มนี้อาจจะหนักไปในเรื่องของการกล่าวอ้างถึงหลักปฐมพุทธะอยู่บ้าง บางคนอ่านแล้วอาจจะเบื่อ ไม่เข้าใจ แต่อยากให้ทุกคนลองอ่านช้าๆ อย่าเร่งรีบ ลองคิดตามในสิ่งที่ตัวละครพูดถึง แล้วคุณจะพบว่าคุณได้อะไรมากกว่าแค่ความบันเทิงแน่ๆ

              เล่มนี้มี Quote ดีๆ เยอะมากแก จะเป็นโลมมมม มันดีมากกกก

              Best Quote 1:
              "คนเราตายแล้วจะไปยังที่ใด ไม่ว่าจะกลายเป็นเถ้ากระดูกหรือศพที่เน่าเปื่อยก็ล้วนต้องถูกผืนดินกลบหน้า ข้าจะยังเป็นข้าอยู่หรือไม่"

              Best Quote 2:
              "ขาวดำอยู่ที่ใจ เจ้าอยากเลือกดำก็เลือกดำ อยากเลือกขาวก็เลือกขาว เพียงดูว่าใจตัวเองคิดอย่างไร ชีวิตคนเราก็ไม่ต่างอันใดกับหมากล้อม"

              Best Quote 3:
              "อยู่ใกล้แสงสว่างมากไป ตาก็ย่อมพร่ามัวมองไม่เห็นสิ่งอื่น อยู่ใกล้องค์พระมากไปก็ย่อมมองไม่เห็นตัวตนดั้งเดิมของปฐมพุทธะ"

              Best Quote 4:
              หากบอกว่าโลกคือกระดานหมากล้อมแผ่นหนึ่ง ส่วนคนคือหมากบนกระดาน เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหนีออกจากกระดานหมากล้อมได้ เพราะทุกคนล้วนต้องถูกเฝ้ามองอยู่

              Best Quote 5:
              "ต่อให้ชีวิตคนเราประดุจความฝันตื่นหนึ่ง พวกเราก็ต้องเสแสร้งว่ามันมิใช่ความฝัน จึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขใจ"

              Note: ตอนเห็นภาพปกเล่มนี้ออกมายังคิดอยู่เลยว่า "เอาอีกแล้ว เอาคนแก่มาขึ้นปกอีกแล้ว" แต่พออ่านไปเท่านั้นแหละ เรากลับไปดูหน้าปกใหม่แล้วอมยิ้ม "ต้าซือ รูปกระโหลกศีรษะของท่านช่างทุยสวยงดงามยิ่ง ต้าซือ ท่ามุทราของท่านน่าเลื่อมใสยิ่ง ต้าซือ ใดๆ ท่านล้วนดียิ่ง" / me ชูป้ายไฟให้ฉีซานต้าซือ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in