"เมื่อเรา “เงินเราหาย...ตั้งแต่ต้นเดือน” เราต้องใช้เงินวันละ ร้อยแปดสิบบาทต่อวัน แต่ตอนนี้เหลือร้อยหกสิบบาทต่อ และวันนี้เหลือใช้ร้อยสิบสามบาทต่อวันเท่านั้น"
______________________________________________________________________________________________
บันทึกก่อนหน้า อีก 3 วันเท่านั้น : สวัสดีวันเสาร์ เวลาแปดโมงครึ่งเช้า เปิดฉากมาที่เรากำลังนั่งรถเมล์สายสี่ศูนย์ ไม่ต้องตกใจนะ ไม่มีเงินแล้วยังเผือกเดินทางไปไหนก็ไม่รู้ อ้อๆๆ เป้าหมายเราคือ หอศิลป ชั้น 5 น่ะ (เคยมาครั้งหนึ่งเที่ยวทั้งๆ เงินไม่มี ) คนอ่านคงงงเมื่อวานยังบันทึกประหยัดเงินอยู่เลย ไหนตอนนี้มาแรดเสียเงินสะงั้ง ก็เรื่องมีอยู่ว่า (......Flash Black.....)
สามทุ่มของวันศุกร์ เรากำลังนั่งเล่น face ตาก็เผือกไปสะดุดกับงานที่หอศิลปงานหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เพราะหัวกะทิของประเทศเป็นคนจัดงาน เราเห็นก็ไฟลุกซู ซู ซู่ๆ ซ่าๆ ปะทังก้า ปะทังกี้ ซู่ๆ ซี่ๆ ปะทังกี้ ปะทังก้า สีเหลืองซู่ซ่า นักกีฬา
ต่อมกระตุ้นอยากไปมากๆ แถมงานนี้ฟรีด้วยนะ ว่าแล้วก็ดูเงินในกระเป๋า มีอยู่ร้อยหกสิบบาท (บวกเงินเมื่อวานอีก ห้าสิบบาท) ok เงินพอ ถ้านั่งรถเมล์ไป-กลับก็ สิบหกบาท(รถพัดลม) หรือ สามสิบบาท(รถแอร์) มีเงินทานข้าวครบสามมื้อ ร้อยยี่สิบบาท (40 ต่อ มื้อ) จบ นอนเร็วเพื่องานพรุ่งนี้
ตัดภาพมาที่ เราเดินออกจากที่พักแต่เช้าตรู่ แวะนั่งทานข้าวเช้า ก่อนไป หมดไปสี่สิบบาท และหาซื้อขนมปังแทนข้าวเที่ยง (เพราะหอศิลปข้าวแพงมาก ห้าสิบบาทขึ้น แถมงานนี้จัดต่อเนื่องยาวๆ) ก็เลยได้ขนมปัง(หมดไปอีกสี่สิบบาท) ตุงไว้ช่วงเที่ยงแล้วก็ออกเดินทางด้วยรถเมล์ไปหอศิลป ตัดภาพมาที่เรากำลังนั่งรถเมล์สายสี่ศูนย์ สบาย ชิิวๆ คลูๆ รถไหลลื่นไม่มีสะดุดสักนิด แถมไม่ต้องกังวลเพราะงานเริ่ม สิบโมงครึ่ง
และแล้วเราก็ถึง หอศิลป ประมาณ เก้าโมงครึ่ง มาเร็วกว่าที่คาด แต่หอศิลปยังไม่เปิด ต้องนั่งรอถึง สิบโมงเช้า นั่งรอ นั่งรอ รอ รอ และก็รอ เพราะมีคนนั่งรอเหมือนกับเราด้วย....สิบโมง ประตูเปิดแล้ว เดินไปชั้น 5 อย่างไม่สนโลกลงทะเบียนก่อนเข้างาน ทันที
อ๋อเราลืมบอกงานที่มาวันนี้ คือ งาน “กางจอ 24 งานประจำปี ประเพณีประจำจังหวัด” เป็นงานฉายภาพยนตร์สั้น และนิทรรศการภาพถ่าย โปรเจคจบของนิสิตภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ นะ
ส่วนตัวที่อยากมางานนี้ เพราะเราเห็นคนที่อยู่วงการทำหนัง หลักๆ ก็มหาลัย TOP 5 หนึ่งในนั้นก็ จุฬาฯ มหาลัยความฝันของคนวัยรุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่มหาลัย(เราก็ฝันเหมือนกันนะ ฝันนั้นไปไม่ถึงเพราะขี้เกียจฮ่าๆ) และอีกเหตุผลคือ เราอยากรู้ว่าหนังที่ ระดับจุฬาฯ หน้าตาหนังจะออกมาเป็นอย่างไร?
ว่าแล้วก็ได้มาดูสมใจ (เป็นครั้งแรกของเราด้วยนะ) ดูจนตาแชะตั้งแต่ 10.30-21.00 มีทั้งหมด 18 เรื่องนะถ้าจำไม่ผิดเราก็บ้าไปกับเขาด้วยมาทั้งทีไม่ให้เสีย ดูตั้งแต่เรื่องแรก ยันเรื่องสุดท้าย นั่งอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เพราะกลัวคนแย่งเก้าอี่นะ เพราะคนเยอะมากๆว่าแล้วมาดูหนังกัน
เรื่อง Family Sukiyaki : กำกับโดย จ๊าย สืบบุญ
เมื่อหลานสาวพาคุณยายมาจากต่างจังหวัดโดยไม่มีใครรู้มาก่อน ครอบครัวที่ทะเลาะกันมานานจึงต้องมาจัดงานปีใหม่ร่วมกันอีกครัั้ง
หลังดูจนครบทุกเรื่องแล้ว เราก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่สังเกตเห็นมาก่อน งงไหม เราก็งง อะๆ เอาสั้นๆ พบว่าหนังที่ นิสิตทำก่อนออกจากรั้วมหาลัย แม่งโครตคุณภาพซึ่งคำว่าคุณภาพเรานี้แบ่งเป็น 3 คุณภาพนะ
คุณภาพแรก : หนังแมส หรือหนังในกระแส ก็คือจบแล้วแม่ง ไปอยู่ gdh, หรือหนังที่เข้าไปอยู่ LINE TV ได้สบาย (มีงานทำแน่นอน) ที่ดูจาก 18 เรื่องจะมีอยู่ประมาณ 6 เรื่องที่ พ็อตเรื่อง และสไตล์ การทำหนังที่ตรงตามตลาดดูแล้วบันเทิงใจจริงๆ
คุณภาพสอง : หนัง กึ่งแมส กึ่งตามใจผู้กำกับ(พอดูได้แต่ต้องตั้งใจ) หนังแนวนี้ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่เราดูแล้วรู้สึกว่าทำหนังตามประสบการณ์ของผู้กำกับ จะออกเป็นดราม่ามากกว่า เราแม่งโครตชอบแนวนี้มาก แต่ละเรื่องผู้กำกับถ่ายทอดงาน และกำกับตัวละครได้ดีมากๆ (มีเรื่องหนึ่งที่เราชอบมากคือ Blue House Effect กำกับโดย ขวัญล่า....ตอน ฉากอารมณ์ตอนเถี่ยงกับแม่โครตอิน เราปล่อยน้ำตาทันที คงเพราะเราเคยกำแบบกับแม่ด้วยแหละเลยอินกับตัวละคร)
คุณภาพสาม : หนังอินดี้ เป็นหนังที่เราต้องใช้พลังงานทำความเข้าใจมากๆ ต้องคิดอยู่ตลอดว่าหนังจะสื่ออะไรให้คนดู (ไม่รู้เข้าเรียกหนังประเภทนี้ว่าอะไร อินดี้น่าจะไม่ใช่มั้ง ใครรู้ช่วยมอกที) บางเรื่องก็ดูไม่รู้เรื่อง บางเรื่องก็พอเข้าใจแนวหนังเรื่องนี้เห็นอยู่ 4-5 เรื่อง
แล้วก็มีหนังแนว ไซไฟ หลุดมาหนึ่งเรื่องด้วยนะ นับถือคนกล้าทำจริงๆ เพราะหนังแนวไซไฟไทยๆ ใครเคยทำซะที่ไหนละ ถือว่าเปิดกองโลกไซไฟในประเทศไทย เรื่อง Frienemy กำกับโดย ปริ้น ณั๗สิทธิ์
**อ้อ อีกอย่างเราก็พึ่งเคยเห็นและเซอร์ไพรส์มากคือ มีหนังอยู่ประมาณ 5 เรื่องมั้ง ที่นำเสนอในรูปแบบบทพูดผสมกับบทร้องเพลงละครเวที เขาเรียกอะไรไม่รู้นะ แต่เราว่านิสิตคงได้แรงบัลดาลใจจากหนัง La La Land แน่นๆ แถมทำออกมาดีด้วยนะ แต่งเพลง เขียนบท ด้วย ยอมใจจริงๆ
ไม่ผิดหวังมากที่ตัดสินใจมาก เพราะได้เปิดโลกหนัง กับคนรุ่นใหม่ ขอบคุณงานหนังกางจอ 24 มาก ได้มีโอกาสดูหนังที่โปรดักชั่นเหมือนหนังใหญ่มากๆ ภาพสวย นักแสดงเล่นดี ดนตรีประกอบเจ๋ง เส้นเรื่องน่าติดตาม นี่แค่หนังโปรเจคจบนะ เป็นเราก็ทำไม่ได้ ก็ได้อุทานไปว่า “เฮ้ย ทำได้ไงวะ”
ดูจบก็กลับที่พักกัน บอกตรงๆ หิว เหนื่อย เพราะนั่งแช่อยู่เก้าอี้ 9 ซม. จำได้ขากลับนั่งรถเมล์ รู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งตื่นหน้าปากซอยที่พักแล้ว ซื้อขาวกลับห้องอีก สี่สิบบาท สรุป ใช้เงิน ร้อยหกสิบบาท เหอะๆ เงินไม่มียังเผือกไปแรด อีก 2 วันเงินเดือนจะออกแล้ว จบ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in