ตอนแรก Hallstatt ไม่ได้อยู่ในแพลนเลย แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่แม่อยากไป เราจึงมาเก็บไว้ในแพลนซึ่งตอนแรกที่ศึกษามาสามารถไปเช้า-เย็นกลับได้ แต่เราแพลนจะไปเมือง Salzburg ต่ออยู่แล้ว ถ้าไปนอนที่ Hallstatt สักคืนก็ไม่เลว จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนนาอีก
ซึ่งเราจองตั๋วล่วงหน้าจากเว็บ
OBB ปรากฎว่าเราต้องไปเปลี่ยนสายสถานีนึง แต่ก็โอเค
ราคาทั้งหมดประมาณ 49.80ยูโรต่อคน(รวมค่าจองที่นั่งด้วยนะ)
(ซ้าย) ตั๋วที่เราจองจะหน้าตาเป็นแบบนี้ ปริ้นออกมาให้จนท.สแกนเช็คได้เลย / (ขวา)ประเภทรถไฟที่เรานั่ง
รถไฟออกจากเวียนนา (สถานีWien Hauptbahnhof) เวลา 09:55 น. โดยรถ RJ548 เป็นรถไฟระหว่างเมืองมีที่เก็บสัมภาระ ตู้เสบียง และห้องน้ำ ตอนเราไปโล่งมากไม่ค่อยมีคนเท่าไร
เวลา 11:58น.เราไปถึงสถานี Attnang-Puchheim ไปเปลี่ยนชานชาลาเพื่อขึ้นรถ REX3416 รอบ12:11น. ตอนลงเราค่อนข้างรีบมาก เพราะชานชาลาไม่ได้ใกล้เท่าไร บวกกับมีกระเป๋าเดินทางขนาด26นิ้ว หาบันไดเลื่อนไม่เจอจึงจำใจยกขึ้นบันไดธรรมดาไป รถนี้เป็นรถวิ่งไปถึงสถานีฮอลสตัทท์เลย ไม่ต้องจองที่นั่งเพราะทุกคนที่ไปก็น่าจะไปจุดหมายเดียวกัน ปล.ในรถมีห้องน้ำด้วย เราเจอนักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างเยอะ โดยเราจะนั่งไปถึงสถานี Hallstatt ประมาณ 13:26น.
วิวระหว่างทาง จะมีภูเขาเยอะมาก และก็ทะเลสาบ
เราถ่ายจากรถไฟ เจอบ้านเดี่ยวเยอะดี :)
และแล้วก็ถึงสถานี Hallstatt เป็นสถานีเล็กๆ ทุกคนต่างกรูกันลงมา เรามองหาป้ายเรือเพราะเราต้องข้ามเรือเพื่อไปฝั่งหมู่บ้าน ซึ่งเรือจะมารอรับเราอยู่แล้ว (เรือจะมาพอดีกับรอบรถไฟ) เดินไปไม่ไกลก็จะเจอกับท่าเรือ ค่าขึ้นเรีือไปกลับคนละ 6 ยูโร ซื้อกับจนท.ได้เลย
เส้นทางที่รถไฟมา และฝั่งหมู่บ้าน(เราถ่ายจากบนเรือ)
บนเรือมีจุดวางกระเป๋าเดินทางโดยเฉพาะ กับด้านหลังที่เป็น Outdoor ออกไปดูวิว
วิวนี้เราถ่ายจากบนเรือนะ เห็นฝั่งหมู่บ้านแล้ว
คุณกัปตันของเรือมีสามคน ซึ่งขากลับอีกวันเราก็เจอสามคนนี้อีก (เขาniceนะ เขาช่วยเรายกกระเป๋าด้วย)
เรามาถึงฝั่งหมู่บ้านแล้ว ที่เห็นในรูปคือท่าเรือฝั่งนี้
ใครทำแพลนล่วงหน้านานๆ หรือมีกำลังทรัพย์หน่อย แนะนำให้จองที่พักแถวๆท่าเรือนี้เลย เพราะไม่ต้องลากกระเป๋าเดินทาง(แบบเรา)ไปที่พักไกลๆ ตอนเรามาลงท่าเรือคือคนเยอะมาก มีทั้งฝรั่งและชาวต่างชาติ คนไทยด้วย ตอนนี้คึกคักเป็นพิเศษ แต่ช่วงเย็นๆถึงค่ำนักท่องเที่ยวจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และร้านค้าก็ปิดไวด้วย เพราะคนที่มาเที่ยวที่นี่ คือ 1.มากับทัวร์ : ทัวร์จะลงช่วงเวลานี้แหละเที่ยงๆบ่ายๆ 2.มาเที่ยวแบบขับรถมา : ขับมาแวะเมืองนี้ก่อนไปที่อื่น 3.มาแบบ One day trip : นั่งรถไฟมาแวะเที่ยวสักครึ่งวันและนั่งรถไฟกลับ แต่ที่เราเลือกคือ การมาค้างที่นี่คืนนึงเลยแบบ Slow life
แผนที่โดยรวมที่โรงแรมส่งมาให้เรา คือมันห่างจากท่าเรือหลักประมาณกิโลนิดๆ ลากกระเป๋าเหนื่อยพอสมควร
เราไม่รู้ว่าที่ไหนสามารถฝากกระเป๋าได้ Information center ก็ไม่ได้เข้าไป (ที่นั่นจะมีห้องน้ำให้บริการ แต่ก็คือเสียตังนะ) จึงโทรหาที่พักให้หาแท็กซี่ให้ สรุปแล้วกลายเป็นว่าเจ้าของแหละมารับเราเอง จึงไม่ต้องแบกกระเป๋าโลกว่ากับอากาศร้อนๆไปฝากไว้ที่พักก่อนที่จะออกไปเที่ยว (ใจดีมาก ขอบคุณอย่างงาม)
Gasthof Pension Grüner Anger
Lahn 10 Hallstatt, 4830 Austria (Tel) +43 6134 8397
เราจองใน booking.com นอนสองคน-คืนละประมาณ 3,700บาท (เนื่องจากจองช้า ที่อื่นเต็มหมด) แต่รวมอาหารเช้าก็โอเคนะ ข้อเสียคือไม่มีลิฟท์ แต่ดีที่ห้องพักมีประมาณสามชั้น และห้องเราอยู่ชั้นสองจึงยกกระเป๋าได้สบายอยู่ คืออยากบอกว่าเจ้าของใจดีมากแบบ Kind person ให้คำแนะนำดี มีคูปองส่วนลดเข้าเหมืองเกลือด้วยนะ ตอนเราเข้าพักยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แต่เขาก็เปิดให้เพราะห้องว่างพอดี
ตกแต่งเหมือนอยู่บ้าน มีกาน้ำร้อนให้ และมีระเบียงให้ด้วย แต่ไม่มีแอร์นะ
ภายในห้องพัก ก็ถือว่าโอเคเลย แถมห้องน้ำก็ไม่ได้แคบเกินไป
มุมที่เรามองจากระเบียงที่พัก
.
.
เอากระเป๋าเดินทางมาเก็บแล้ว พร้อมออกเที่ยว!
เราเดินทางไปเหมืองเกลือ แต่ไม่ได้เข้าไปเหมืองเกลือนะ จะขึ้นกระเช้าไปดูวิวข้างบนที่เขาบอกว่าเป็นวิวมรดกโลก ที่สามารถมองเห็นHallstattได้ทั้งเมือง
วิวระหว่างทางจากที่พักไปเหมืองเกลือ
ที่พักใกล้มาก เลี้ยวขวาออกมาจากที่พักหน่อยก็เจอแล้ว
เอาจริงนะกระเช้าค่อนข้างชัน มองลงไปก็เสียวเหมือนกัน
ค่าขึ้นกระเช้าคนละ 18 ยูโร(ไป-กลับ) ด้านบนจะมีมุมถ่ายรูป และก็พวกร้านอาหารด้วย แต่จริงๆแล้วบนนี้มันมีทางขึ้นแบบเดินด้วยนะถ้าไม่อยากเสียตังค์ แต่เราเดินไม่ไหวขอนั่งกระเช้าไปแล้วกัน
เป็นมุมยอดแหลมๆที่ยื่นออกไป คนชอบมาถ่ายรูปกัน
ฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นคือ Obertauern จริงๆจะพักโรงแรมแถวนั้นเพราะทำเลดี ติดทะเลสาบและข้ามมาฮัลสตัทท์ แต่ว่าฝั่งนั้นไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ และเรือที่ข้ามไป-กลับมีน้อยด้วย เลยตัดสินใจพักฝั่งหมู่บ้านดีกว่า
เป็นมุมที่มองลงไปจากง่ามสามเหลี่ยมนั้น แอบเห็นโบสถ์Christuskirche
อันนี้เป็นฝั่งที่เราขึ้นกระเช้ามา (ฝั่งที่พักของเรานั่นเอง)
หามุมถ่ายรูปกับภูเขาได้อยู่ เพราะขึ้นมาสูง
ชอบมุมนี้มาก เป็นบ้าน(หรืออะไรสักอย่าง) ที่เห็นเขาใหญ่ๆด้านหล้งทั้งลูก
ด้านบนมีห้องน้ำให้บริการด้วยนะ ส่วนขาลงคนจะเยอะหน่อยแต่รอไม่นาน ทราบมาว่าสถานที่ ที่นี่ค่อนข้างปิดเร็ว เราเลยรีบลงมาด้านล่างเพื่อเดินเล่นในหมู่บ้านต่อ (โชคดีวันที่เราไปอากาศไม่ครึ้ม)
ตัวไหนหงส์ของจริงนะ (555)
พบสิ่งมีชีวิตอ้วนท้วม 1 อัตรา ใครไปฮอลสตัทท์น่าจะเจอกับน้องอยู่ เหมือนเป็นขาโจ๋ที่นั่น
เดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน
มีน้ำที่ไหลผ่านมาจากที่สูง เราไปอยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกเย็นเหมือนกัน (มีน้ำตกเล็กๆนะ ถ้ามองไปด้านบนภูเขา)
Town Square เหมือนเป็นจตุรัสที่อยู่ใกล้ๆท่าเรือ มีร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ
.
.
และแล้วเราก็เจอมุมมหาชนที่จะต้องมาถ่าย
เดินออกมาจากท่าเรือหน่อย ก็จะเจอกับมุมที่มองเห็นโบสถ์และฉากหลังเป็นภูเขาที่สวยงาม
ภาพจากกล้องฟิล์ม Minolta Hi-matic F
ถ่ายจากท่าเรือ มองตรงไปคือสถานที่เราถ่ายมุมมหาชน
Zoom ยอดโบสถ์Christuskirche
น้ำใสมาก ไหลจากภูเขาลงทะเลสาบ
.
.
Bräugasthof am Hallstättersee
หลังจากเดินทั่วหมู่บ้านแล้วท้องก็เริ่มร้อง เราจึงหาร้านอาหารกิน เดินมาเจอตรงนี้ดูบรรยากาศดี เนื่องจากมีแต่กระทู้แนะนำว่ามาที่นี่ต้องกินปลาเทร้าต์ แต่เรารู้สึกว่ามันก้างเยอะ
เมนูที่เราสั่งคือ Schwein Schnitzel (หมูชุบแป้งทอด) 14.50 ยูโร และ Forellenfilet (ปลาเทราต์ทอดราดด้วยน้ำสลัด) 15.90 ยูโร รสชาติก็โอเคเลยนะแต่สำหรับเราถ้ากินเยอะๆมันจะเลี่ยนนิดนึง
พักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่! นี่คือ Radler (เบียร์ผสมมะนาว) อร่อยมาก เราเป็นคนที่ชอบเบียร์หวานๆหน่อยจึงกลายเป็นสิ่งที่ชอบที่สุดในชีวิต สำหรับใครที่มาร้านนี้แล้วอยากให้ลองดูนะคะ แก้วนี้ 3.50 ยูโร .
.
.
.
Night at Hallstatt
ร้านค้าที่นี่ปิดไวมาก ไม่เกินหกโมงก็ทยอยปิดแล้วรวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย นักท่องเที่ยวเริ่มซาลงเป็นเหมืองเหงาๆไป เราจึงเดินไปนั่งริมทะเลสาบแล้วก็กลับเข้าที่พักเลย จึงสเก๊ตซ์ภาพแก้เบื่อ
(ซ้าย) my sketch / (ขวา) พระอาทิตย์เริ่มตก
มืดสักที! (เวลาประมาณสี่ทุ่ม) มันมองเห็นดาวด้วยนะบนฟ้า แต่ใช้กล้องถ่ายมาไม่เห็นเลย
.
.
ขากลับจาก HALLSTATT ไปสถานีรถไฟ
ที่ท่าเรือและบนเรือจะมีตารางเวลาบอก (ในรูปคือบรรทัดแรก)
เรือจะไปถึงอีกฝั่งก่อนรถไฟจะมาอยู่แล้ว ยังไงก็ทันรอบแน่นอน
เรือมาจอดรอที่ท่าแล้ว พอใกล้เวลาออก กัปตันจะเรียกขึ้นเรือ
คุณแม่นั่งรอที่ท่าเรือกับกระเป๋าเดินทางคนละใบ (สองใบนั้นแหละที่เราใช้เดินทางทั้งทริปยุโรป21วัน)
ในที่สุดเรือก็มาถึงสถานี มันจะมาถึงก่อนเวลาประมาณ10นาที แต่ตอนของเรารถไฟดีเลย์จึงมาช้ากว่าเดิมนิดนึง สถานีเงียบมาก ไม่มีที่นั่งรอเท่าไร รวมถึงไม่เจอนายสถานีด้วย (แต่มีตู้กดตั๋วอยู่นะ)
สรุป HALLSTATT
- เรามาหน้าร้อน แต่ที่เห็นในไกด์บุ๊คส่วนมากจะมาหน้าหนาว มีหิมะเกาะเต็มไปหมด จึงรู้สึกว่าเมืองมันก็สวยนะ อากาศกำลังดี แถมเที่ยวได้ยาวกว่าด้วย(พระอาทิตย์ตกช้า)
- การเดินทางสะดวกดี คนมาเยอะแต่ไม่ได้แออัด ถ้าหลงหรืออะไรก็เดินตามๆเขามาเลย
- จะมาแบบ One day trip ก็ได้หรือมาพักสักคืนนึงก็ดี อย่างน้อยก็มาเดินเล่นชมเมืองเล็กๆในขุนเขา หมู่บ้านมรดกโลกส้ักครั้งในชีวิต
- เนื่องจากเป็นคนที่ชอบธรรมชาตินิดหน่อย โดยเฉพาะถ้ามีภูเขาและทะเลสาบอยู่ด้วยกัน มันเป็นวิวที่งดงาม เพลินตามาก
- ร้านค้าปิดเร็วไปหน่อย แนะนำให้มาถึงสักเที่ยงกำลังดี
- เมืองมันเล็ก ถ้าเดินเฉยๆใช้เวลา 2-3ชั่วโมงก็ทั่วแล้ว มุมถ่ายรูปเยอะอยู่นะ
- ถ้าอยากเดินชิลๆ ริมทะเลสาบก็รอช่วงเย็น นักท่องเที่ยวจะน้อยหน่อย
- โดยรวมประทับใจสำหรับการมาที่นี่ อยากให้อยู่ในช้อยส์ของคุณเวลาแพลนมาออสเตรีย
.
.
.
Next EP >> Salzburg เมืองที่น่าสนใจและบ้านเกิดของMozart
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in