เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
กลับเข้าสู่ช่วงต่อไปของรายการfungfa
วันอังคาร 17.00 : นักข่าวคนนั้น
  • ฉันเคยอยากเป็นนักข่าว

    ในยุคสมัยที่ยังมี "ทีวีเสรี" คืนไหนที่พ่อต้องเข้าเวรในห้องพิพิธภัณฑ์ ถ้าไปได้ ฉันจะตามไปด้วย --- ไปดูทีวี

    ทีวีในห้องที่มีแต่ของโบร่ำโบราณนั้นทันสมัยกว่าที่บ้าน, มันมีดาวเทียม และมีทีวีเสรีให้ฉันดู

    สองทุ่มครึ่งของฉันจึงไม่ใช่ละคร แต่เป็นรายการวิเคราะห์ข่าวซึ่งดำเนินรายการโดยผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดเสียงดัง และบางครั้งก็ใส่อารมณ์เกินจริง แต่มันสนุก ไม่ใช่แค่เพราะน้ำเสียงและอารมณ์ที่เขาใส่เข้ามา แต่ทั้งเนื้อหามุมมองบางอย่างที่ทำให้คนดูอย่างฉันกับพ่อหลุดจากที่นั่งของผู้รับสารเพียงฝ่ายเดียวในการรับข่าวตอนเช้า มานั่งอยู่ในจุดที่ต้องคิดตามไปด้วย จริง ไม่จริง ใช่ ไม่ใช่

    ฉันเคยอยากเป็นนักข่าว, และใช่ ฉันเคยอย่ากเป็นอย่าง "นักข่าวคนนั้น"

    ไม่อาจบอกได้ว่าตื้นลึกหนาบางอย่างไร ในความคิดของเด็กสักประมาณสิบขวบ ฉันคิดว่าเขาเก่ง เขาทำงานหนัก เขาเรียนรู้หนัก กว่าจะมาถึงจุดที่ฉันกำลังนั่งมองเขาอยู่นั้น

    ในขณะที่เราอ่านหนังสือพิมพ์วันละฉบับในตอนเช้า เขาคงกำลังอ่านหนังสือพิมพ์เป็นสิบๆ ฉบับ ย้อนหลังไปสิบปี, ในสายตาฉัน เขาดูเหนือมนุษย์อย่างนั้น

    ไม่รู้ว่าฉันทำความฝันหล่นหายไปตอนไหน

    อาจจะเป็นตอนที่คิดว่า ถ้าฉันไม่สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ย้อนหลังสิบปีในทุกๆ เช้าได้ ฉันก็จะไม่เป็น, ไม่เป็นนักข่าว

    รู้ตัวอีกที ฉันเลิกดูข่าวไปแล้วด้วยซ้ำ ชื่อนามสกุลนายกรัฐมนตรีในบางสมัย (ที่มาไวไปไว) ยังแทบจำไม่ได้ เหลือแต่ความทรงจำที่เหมือนตอนตื่นจากฝัน ว่าฉันเคยอยากเป็นนักข่าวจริงๆ นะ และเคยอยากเป็นมากแค่ไหน มากถึงขั้นยืนกรานไม่ฟังใคร ชวนรุ่นพี่แบกกล้องและฉันก็ถือไมค์ ข้ามภูเขาและทุ่งนา เพียงเพื่อจะไปหาเด็กคนหนึ่งที่ว่ากันว่ากำพร้าพ่อแม่ด้วยโรคเอดส์ มากจนถึงขั้นขึ้นกระบะรถตากฝนเพื่อไปพบกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ขอพรสามประการข้อแรกว่า อยากได้รองเท้า

    ความฝันของฉันอาจหล่นหายไป ตอนพบว่า มีแค่ฉันที่สนใจเรื่องพวกนี้
    ความฝันของฉันอาจหล่นหายไป ตอนพบว่า ฉันไม่สามารถทำอะไรเพื่อพวกเธอไปได้มากกว่านี้
    ความฝันของฉันอาจหล่นหายไป ตอนพบว่า ฉันควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเองเสียก่อนดีกว่า

    หรือความฝันของฉันอาจหล่นหายไป... โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ ในเช้าวันหนึ่งที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลยก็เป็นได้

    ถ้าความทรงจำไม่ผิดเพี้ยน และการแปะตัดความจริงในสมองของฉันจะไม่หลอกลวงกันจนเกินไป, ฉันก็แน่ใจว่า นักข่าวคนนั้นเคยเป็นอย่างที่ฉันเคยอยากเป็น

    ฉันในอดีตและเขาในอดีต

    ข้อพิสูจน์ยังไม่ปรากฏถึงที่สุด
    คงไม่มีทางรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในมิติต่างๆ ที่สุดวิสัยเกินฉันจะรับรู้หรือมองเห็น

    วันนี้ฉันนั่งดูหน้าจอ นักข่าวคนนั้นยังคงตัวโตเหมือนรูปปั้นยักษ์ เสียงดังแหบก้อง แต่วันนี้ของเขาอาจต่างจากวันอื่นตรงที่ว่า ในขณะที่เขานั่งเล่าเรื่องของคนอื่น ห่างกันไปในอีกหลายคลื่นความถี่ เรื่องของเขาก็กำลังเป็นฝ่ายถูกเล่า

    บางที เขาอาจแค่ทำความฝันหล่นหาย... เหมือนกันกับฉัน.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in