"เธอจะไม่มีวันตกหลุมรักผม เพราะผมจะไม่มีวันยอมให้เธอเจ็บ"
หากวันไหนฟ้าครึ้ม ผมจะเป็นแสงแดดให้ หากวันไหนแดดจ้า ผมจะไปนั่งเป็นเพื่อน
และหากวันไหนลมพัดแรง ผมจะเป็นที่กำบังเล็กๆให้ ผมจะเป็นทุกอย่างให้เอง
จะไม่มีดอกไม้ดอกไหน งดงามไปกว่าดอกไม้ของผม
เสียงฝีเท้าของใครบางคนเหยียบย่ำลงบนพื้นหิมะตามผมมาติดๆ ในเวลานี้ไม่น่าจะมีใครออกมาเพ่นพ่านแล้วนอกจากผม ผมได้แต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ปล่อยให้เสียงฝีเท้านั้นไล่ตามมาเรื่อยๆลมหนาวโชยโกรกมากระทบกับผิวจนทำให้รู้สึกแสบชาไปหมด มันทะลุแทรกซึมไปยังขั้วหัวใจอย่างกับจะเล่นงานกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ผมขยับฮู้ดตัวเก่งของตัวเองให้กระชับศีรษะมากขึ้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องออกมาเดินเล่นในเวลากลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ทุกวัน อาจจะเป็นเพราะผมโหยหา
ความรู้สึกสงบและปลอดภัยอย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบเจอได้ในนิวยอร์ค แต่บางทีผมก็ยอมรับนะ ว่าแอบคิดถึงแสงสีของที่นั่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ที่ที่จะไม่มีใครรู้จักผม พวกเขาจะได้รู้เท่าที่ผมอยากจะให้รู้เท่านั้น และถ้าใครข้ามเส้นอยากจะรู้เรื่องราวของผมมาก
กว่านั้น ผมก็ขอไม่รับประกันว่าผลลัพธ์ที่ตามมามันจะคุ้มกับสิ่งที่พวกเขาได้รู้หรือเปล่า
จมอยู่กับความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองไปชั่วขณะ ก็รู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ผมตัดสินใจหยุดเดินและค่อยๆหันไปหาเจ้าของเสียงอย่างช้าๆ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าในตอนนี้แทบทำให้ผมลืมหายใจ มันไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นดอกทานตะวันดอกใหญ่ที่หล่นอยู่ข้างทาง ผมลืมสนใจเรื่องเสียงฝีเท้านั่นไปเสียสนิท ไม่สนแล้วว่ามันจะมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะเสียงลมที่พัดแรงทำให้โสตประสาทการรับรู้ของผมผิดเพี้ยนไป เจ้าดอกทานตะวันดอกนี้ แม้จะอยู่ในความมืด แต่มันก็ส่องแสงประกายออกมาอย่างเจิดจรัส ทำให้ผู้พบเห็นอย่างผมถึงกับต้องใช้คำว่า ตกหลุมรัก เลยก็ว่าได้
ผมไม่แน่ใจว่าดอกไม้ที่บอบบางอย่างทานตะวันดอกนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะนอกจากมันจะขึ้นผิดที่ผิดเวลาในช่วงฤดูหนาวอย่างนี้แล้ว มันยังถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวกลางถนน แต่อย่างน้อยมันก็ยังโชคดี..ที่เจอผม
ผมเป็นคนชอบดอกไม้สวยๆ ยอมแพ้จริงๆ ทั้งความงดงาม และกลิ่นหอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม ไม่รอช้า ผมมองซ้ายที มองขวาที เพื่อจะได้แน่ใจจริงๆว่าบริเวณนี้ไม่มีคนอื่นอีก ผมค่อยๆเก็บทานตะวันดอกนี้ขึ้นมาช้าๆ พร้อมกระซิบบอกกับตัวเองว่า ผมจะดูแลดอกไม้ดอกนี้ให้ดีที่สุด
หลายวันต่อมาผมรู้สึกว่าไวโอเล็ตเริ่มจะคุ้นชินกับกระถางใหม่ที่ผมพามาอยู่แล้ว แม้อากาศจะหนาวเย็นเพียงใด แต่มันก็ยิ้มรอคอยแสงอาทิตย์ที่ส่องมาหาในตอนกลางวัน อ้อ.. ผมลืมบอกไป ทานตะวันของผมชื่อไวโอเล็ตน่ะ ผมเป็นคนตั้งให้เอง ไม่ว่ามันจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ผมก็เรียกว่าไวโอเล็ตไปแล้ว
ทุกๆวันผมคอยเฝ้าสังเกตไวโอเล็ต จวบจนกระทั่งฤดูหนาวผ่านพ้นไป เข้าสู่ฤดูกาลแห่งความผลิบานของต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ ผมอดดีใจแทนไวโอเล็ตไม่ได้ เพราะตลอดช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมานั้นมีน้อยเหลือเกิน มันเกือบจะตายเพราะขาดแสงไปอยู่หลายครา แต่ด้วยวิธีการยื้อชีวิตของผม ทำให้มันอยู่รอดมาจนถึงเดือนมีนาเพื่อรอรับแสงแห่งการเกิดใหม่นี้อีกครั้ง
ผมปล่อยไวโอเล็ตให้อยู่กับเจ้าร็อคกี้สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์แสนซนของผม เพราะวันนี้ผมจะต้องออกไปซื้ออาหารเข้าบ้านสักหน่อย ผมเดินออกมาจากซอยบ้านไม่นานก็ถึงร้านค้าร้านประจำอย่างวอลมาร์ทที่ผมใช้พึ่งพิงยามหิว ด้วยความที่เมืองแคนซัสนี้เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก เวลาจะเดินทางไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถสามารถเดินเล่นเพลินๆข้างทาง ให้ความสดชื่นไปอีกแบบ ถึงแม้ผมจะย้ายมาที่เมืองแห่งนี้ได้ไม่นานแต่ผมก็คุ้นชินทางในละแวกนี้จนถึงขั้นให้หลับตาเดินก็ยังเดินได้
ในระหว่างที่จะเดินทางกลับ ผมนึกขึ้นได้ว่าปุ๋ยของไวโอเล็ตหมด ผมจึงแวะร้านขายต้นไม้ที่อยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังจะกลับเพราะได้ของที่ต้องการแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับดอกไม้สีสันสวยงามนานาชนิด ที่กำลังจ้องมองผมอยู่ ผมรู้สึกใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นความรู้สึกวูบวาบในอกคล้ายกับความรู้สึกที่ได้เจอไวโอเล็ตในครั้งแรก ผมละสายตาจากดอกไม้พวกนั้นไม่ได้ จนกระทั่งป้าแคลร์ เจ้าของร้านเดินเข้ามาถามผมอย่างใจดีว่า “ชอบไหมล่ะเอาไปเลยป้าให้ เลือกเอาๆ” ผมยิ้มดีใจไม่หุบ ป้าแคลร์แกรู้ว่าผมชอบดอกไม้ เพราะผมมักจะเดินผ่านร้านแกและหยุดมองทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อกลับไปสักที จนกระทั่งเจอไวโอเล็ตในวันนั้น ที่ทำให้ผมตัดสินใจลองปลูกดูสักครั้ง
ผมเปลี่ยนกระถางใบใหม่ให้ไวโอเล็ตเพราะกลัวว่ามันจะเบื่อหรืออึดอัดถ้าอยู่แต่ในกระถางใบเดิม หลังจากนั้นผมจึงนำพวกดอกไม้หลากสีสวยงาม ที่ได้มาฟรีจากป้าแคลร์วางลงข้างๆกับไวโอเล็ต ผมมองดูพวกมันด้วยความชื่นชม สีสันของพวกมันทำให้ผมสดชื่นได้มากจริงๆ
นับวันผ่านไป ผมยิ่งรู้สึกหลงใหลดอกไม้พวกนี้ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่พวกมันส่งมาให้ผม ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์อันทรงเสน่ห์ กลิ่นอันเย้ายวน ผมยอมรับเลยว่าผมหลงเจ้าช่อผกาพวกนี้จนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ
มีบ้างบางวันที่ผมลืมที่จะใส่ใจไวโอเล็ต แต่พอมองกลับไปหา มันก็ยังคงเป็นไวโอเล็ตที่ส่องแสงให้ผมเหมือนเดิม
ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะหมดไป เจ้าดอกไม้หลากสีพวกนั้นก็ใกล้จะโรยรา ผมทำได้เพียงแค่ปล่อยพวกมันไปตามธรรมชาติ ไม่คิดจะยื้อหรือรักษาใดๆ ผมเองก็เริ่มเบื่อสีสันที่ฉูดฉาดของพวกมันแล้วน่ะสิ แต่ผมก็ไม่ใจร้ายขนาดที่จะปล่อยพวกมันตายไปโดยไม่ได้ดูแลอะไร ผมก็ยังดูแลพวกมันเหมือนเดิมพร้อมๆกับไวโอเล็ต แต่พวกมันคงทนไม่ไหว เมื่อวันสุดท้ายของวันที่ใบไม้จะผลิบานมาถึง พวกมันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา ดึงดูดความสนใจของผมไม่ได้อีกต่อไป
ไวโอเล็ตของผมยังคงสดใสต้อนรับฤดูร้อนที่เข้ามาเยือน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ฤดู มันก็ยังสดใสเสมอในสายตาผม แม้ในบางเวลาผมจะละเลยมันไปบ้าง แต่ต่อจากนี้ไป ผมรู้แล้ว ว่าไม่มีใครจะมาแทนที่ไวโอเล็ตของผมได้ ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดของตัวเองในวันแรกที่เจอกัน ผมสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลไวโอเล็ตให้ดีที่สุด และต่อจากนี้ผมจะทำให้ได้
ทุกๆวันผมเฝ้าทะนุถนอมไวโอเล็ตราวกับไข่ในหิน ตื่นเช้ามาเปิดเพลงให้ฟังบ้าง บางทีก็ร้องให้ฟังเอง ผมรดน้ำให้มันตรงเวลาทุกครั้ง คอยเปลี่ยนกระถางใบใหม่ให้ทุกอาทิตย์ มีครั้งหนึ่งที่ผมต้องลงโทษเจ้าร็อคกี้โทษฐานที่มันมาปล่อยของเสียไว้ใกล้ๆไวโอเล็ต ตอนนั้นผมแทบบ้า เกือบจะฆ่าเจ้าร็อคกี้ให้ตายอยู่แล้วเชียว
ผมพยายามหาปุ๋ยสูตรใหม่มาเอาใจไวเล็ต ช่วงนี้ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มันดูซึมๆแปลกๆ ผมว่าผมไม่ได้บ้านะ ผมจับอาการมันได้จริงๆ ทุกครั้งที่แดดส่องมาตอนเช้า ไวโอเล็ตจะหันเข้าหาอย่างสดใส แต่พักหลังๆ มันไม่ค่อยร่าเริง แสงส่องมาก็ไม่หันหน้ารับ เอาแต่งุ้มหน้าลงดิน ผมไม่แน่ใจว่ามันเบื่อปุ๋ยยี่ห้อเดิมที่ผมใช้เลี้ยงมันหรือเปล่า ผมจึงตัดสินใจลองเปลี่ยนยี่ห้อปุ๋ย แต่ผ่านไป 2 สัปดาห์ ไวโอเล็ตของผมก็ยังไม่ดีขึ้น ผมเครียดมากไม่รู้จะทำยังไง ต้องการหาคนคุยด้วยสักคน และผมก็นึกถึงอยู่คนหนึ่ง
ผมเล่าถึงวิธีการเลี้ยงดูไวโอเล็ตให้ป้าแคลร์ฟัง ผมบอกว่า ผมเฝ้าดูมันทั้งวันทั้งคืน ทุกเช้าเปิดเพลงสายๆคอยสอดส่องดูวัชพืชหรือหนอนที่จะมากัดกิน บ่ายๆก็รดน้ำสักหน่อย ตกเย็นก็ให้ปุ๋ยพร้อมรดน้ำอีกครั้ง ดึกๆผมก็ยังเปิดม่านออกมาดูมัน เพื่อจะได้แน่ใจว่าเจ้าร็อคกี้จะไม่ทำอันตรายมัน และบางวันผมก็เอาถุงพลาสติกครอบมันไว้ เพราะผมรู้สึกว่าช่วงหลังมักจะมีแมลงบินมาตอม ผมกลัวว่ามันจะรำคาญเลยจัดการครอบทั้งหมดเข้าให้ ป้าแคลร์ฟังแล้วถึงกับร้องตกใจ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด ป้าแคลร์บอกแค่ว่า “รักก็รักให้พอดี อย่าเป็นห่วงมากจนเกินไปอะไรที่ปล่อยเป็นธรรมชาติได้ก็ปล่อย บางทีเราก็ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้” ผมฟังแล้วก็ยัง งงๆไม่รู้ว่าป้าต้องการจะสื่ออะไร
หลังจากวันที่ไปหาป้าแคลร์ผมก็ยังเลี้ยงมันแบบเดิม ดูแลประคบประหงม อย่างดีทุกย่างก้าวแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุที่ทำให้ผมเกือบต้องเสียไวโอเล็ตไป
ผมครอบถุงพลาสติกไว้ให้เช่นเคยแต่ดันลืมเอาออกไปหลายวัน กลับมาดูอีกที ไวโอเล็ตทั้งซีดเซียวและห่อเหี่ยวจนเกือบจะจมดิน ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกรีบดึงถุงพลาสติกออก ไม่รู้ทำไมน้ำตาลูกผู้ชายถึงได้ไหลพรั่งพรูออกมาขนาดนี้ ผมจัดการพรมน้ำให้มันช้าๆ เงยหน้ามันรับแสงแดด
ผมเข้าใจแล้ว ..
ผมเข้าใจความพอดีของป้าแคลร์แล้ว
ผมจะไม่ตามควบคุมไวโอเล็ตมากเกินไปอีกแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้มันร้ายแรงมาก ผมเกือบจะเสียไวโอเล็ตไปแล้วจริงๆ ..
วันนี้อากาศเย็นลงอีก ผมนั่งขดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่ม เสียงเพลงดังแว่วมาจากบ้านข้างๆ ผมหลับตาลงพยักหน้าตามจังหวะเพลงเบาๆ ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ผมดึงผ้าห่มให้กระชับเข้าหาตัวมากยิ่งขึ้นสัมผัสอบอุ่นทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาในฤดูร้อน ผมไม่รู้ว่าไวโอเล็ตจะชอบช่วงเวลาที่แสงแดดจ้ามากกว่าช่วงเวลาที่ลมหนาวพัดมาโดนลำต้นหรือเปล่า ใบไม้สีเขียวของเธอคงให้ความอบอุ่นตัวเองไม่ได้ ผมกลัวว่ากลีบดอกของเธอจะสีซีดลง เพราะเวลาที่ผมรู้สึกหนาว มือของผมก็จะซีดลงเสมอ ผมนั่งคิดว่าจะต้องเตรียมอะไรไว้ให้เธออีกหรือเปล่า
ผมนึกไปถึงสิ่งที่พ่อเคยทำให้กับต้นองุ่นตอนก่อนเข้าฤดูหนาวเมื่อหลายปีที่แล้ว กิ่งที่ไม่ออกผลไม่ควรอยู่พ้นฤดูหนาว เขาตัดแต่งลำต้นเพื่อให้กิ่งที่ยังสามารถออกผลได้ ออกผลได้มากขึ้นอีก รสชาติผลองุ่นหวานขึ้นทุกปีจากการดูแลของพ่อ เพียงแค่เขาถือกรรไกรไปที่สวนและเลือกส่วนที่จะตัดได้แล้ว ผมก็ยืนรออยู่ด้านหลังพร้อมที่จะดึงส่วนไม่สมบูรณ์พวกนั้นออกจากลำต้น ผมนึกถึงรสหวานที่กระจายไปทั่วทั้งปากยามที่ได้ทานองุ่นในฤดูออกผล กิ่งองุ่นที่ไม่ติดอยู่กับลำต้นออกผลไม่ได้อยู่แล้ว มันออกผลไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงกระชากมันออกจนสุดกำลัง
แต่นั่นมันใช้ไม่ได้กับไวโอเล็ตของผม ผมอยากดูแลเธอให้ผ่านพ้นอากาศหนาวเย็นและหิมะไปให้ได้โดยไม่บอบช้ำจนเกินไป ดอกไม้ของผมไม่มีส่วนใดที่ไม่สมบูรณ์ ไวโอเล็ตสวยงามเสมอ ผมเชื่อแบบนั้น
ผมลุกขึ้นแล้วพับผ้าห่มไว้บนโซฟา ร็อคกี้ลุกขึ้นจากตรงมุมห้องแล้วกระดิกหางเดินตามหลังผมมา ข้างบ้านยังคงเปิดเพลงเดิมวนซ้ำอยู่เป็นครั้งที่สอง เธอคงชอบเพลงนี้ ผมก็เหมือนกัน ผมเดินออกไปพบว่าเธอกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวน ผมถามชื่อเพลงเพลงนั้นจากเธอ เธอแย้มยิ้มเอียงอายหลังเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม แล้วเอ่ยตอบออกมาอย่างน่ารัก ผมกล่าวขอบคุณ และชวนเธอคุยต่อไปเรื่อยเปื่อย อากาศเย็นลงกว่าเมื่อวานจริงๆ แต่ผมก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้หรอก ผมยืนคุยกับเธอตรงนั้นต่ออีก สักพัก
ในมือของผมถือเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็ก มันส่งเสียงออกมาได้ไม่ดังเท่าเครื่องเล่นเพลงของหญิงสาวข้างบ้าน แต่มันดังพอที่ไวโอเล็ตจะเพลิดเพลินกับมันได้แน่ หลังผ่านฤดูร้อนมาทำให้ผมมีประสบการณ์ว่าผมไม่ควรทำอะไรให้มันมากเกินไปนัก เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ผมจึงเลือกมาแค่เพลงนี้เพลงเดียว เป็นเพลงที่ผมชอบ ต้นไม้ของข้างบ้านเติบโตได้ดีขนาดนั้น ไวโอเล็ตก็คงจะชอบเหมือนกัน
ผมออกแรงบีบเครื่องเล่นเพลงมากขึ้นเมื่อพบว่าลมเย็นพัดมาโดนกายอีก ครั้งนี้เสื้อตัวนอกของผมหนาพอทำให้ผมไม่รู้สึกหนาวมากนัก แต่ใบไม้หลากสีต่างปลิวไปทั่วตามทิศทางลม เสียงใบไม้ใบหนึ่งกระทบเข้ากับอีกใบหนึ่ง และกระทบต่อไปยังอีกใบหนึ่งดังต่อกันไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเสียงที่ทำให้ผมหวาดหวั่น ผมเร่งฝีเท้าตรงไปหาไวโอเล็ต เมื่อไปถึงผมยืนมองดอกไม้ดอกเดิมที่ยืนต้นชูช่ออยู่พักหนึ่ง จึงค่อยเปิดเพลงที่ผมตั้งใจไปหามาให้เธอฟัง เธอดูไม่โรยราลงไปแม้แต่น้อย แม้ท่ามกลางใบไม้หลากสีต่างๆ เธอก็ยังคงความสดสวยเอาไว้ได้ มันยิ่งทำให้เธอดูโดดเด่นยากแก่การที่จะบังคับใจให้หยุดมอง ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดมาต้นไม้ใหญ่พวกนี้ก็พร้อมที่จะสลัดใบอ่อนใบแก่ของตัวเองลงสู่ผืนดิน กิ่งก้านใหญ่โตของพวกมันไม่ได้พยายามจะดึงรั้งส่วนหนึ่งของตัวเองเอาไว้เลย ผมไม่รู้จะห้ามลมไม่ให้พัดมาอีกยังไงและผมเองก็ไม่รู้วิธีขอร้องให้ใบไม้พวกนั้นไม่ร่วงลงมามากกว่าเดิมได้ เพราะฉะนั้นการที่ไวโอเล็ตไม่สลัดใบหรือกลีบดอกของเธอทิ้งเลย มันยิ่งทำให้เธอสวยมากขึ้นทุกเวลา ในขณะที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเธอก็แห้งเหี่ยวลงทุกนาที ผมกัดฟันกรอดหลังทนกับความคิดในหัวตัวเองไม่ได้ถึงสาเหตุที่ว่าจริงๆแล้วเธออาจไม่ได้คิดจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปให้ได้เหมือนกับไม้ยืนต้นต้นอื่นๆ ผมผ่อนลมหายใจตัวเองช้าๆ ต้นของเธอยังเล็กนัก เธออาจจะคิดว่าตัวเองสามารถโอบอุ้มทุกส่วนของเธอไปได้โดยไม่ถูกความหนาวเย็นกัดกิน แต่นั่นมันก็แค่ความคิดตื้นเขิน จริงๆแล้วเธอขาดผมไปไม่ได้
ขาดไม่ได้จริงๆ
เธอทำให้ผมสะดุดตั้งแต่วันแรก และนับวันเธอยิ่งทำให้ผมติดลึกลงไปในหลุมของเธอมากขึ้นทุกทีมันทำให้ผมร้อนใจว่าในเวลาที่ผมไม่สามารถมาอยู่กับเธอได้ เธออาจจะโดนทำร้ายหรือโดนช่วงชิงส่วนใดส่วนหนึ่งของเธอไป ผมเดินไปกดปิดเพลงแล้วเดินออกไปไกลๆ ผมไม่ได้เดินกลับเข้าบ้านแต่เดินออกไปให้ไกลขึ้นเพื่อสงบอารมณ์รุนแรงของตัวเอง
ผมไม่ใช่พ่อ และผมไม่ได้ถือกรรไกรตัดแต่งกิ่ง เธอไม่ใช่ต้นองุ่น และเธอไม่มีส่วนใดที่ไม่สมบูรณ์
ผมคือผม
และเธอก็คือเธอ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอากาศก็เย็นลงอีก ผมนั่งห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่มไม่ได้เหมือนเคยเพราะต้องใช้เวลาส่วนมากอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงาน ยังมีเพลงโปรดเพลงเดิมดังวนอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ผมเปิดเพลงนี้ฟังในเวลาที่ผมอยากไปหาดอกไม้ของผม ผลจึงกลายเป็นว่าผมเปิดเพลงเดิมเพลงนี้เกือบทั้งวันทั้งคืน
ผมถอนหายใจหลังกดบันทึกงานครั้งล่าสุด ผมจะได้ไปหาเธอเสียที แค่คิดถึงภาพเธอเบ่งบานรอผมอยู่ที่เดิมตลอดก็ทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา ผมคิดถึงเธอมากเหลือเกิน เพลงที่เปิดซ้ำมาหลายวันจะได้หยุดพักเสียบ้าง ก่อนจะออกจากบ้านไปผมถือกล่องเครื่องมือชุดเล็กติดมือไปด้วยหวังว่าจะทำที่บังลมเล็กๆก่อนฤดูหนาวจริงๆจะมาถึงให้รอบๆต้นของเธอ ไวโอเล็ตที่รักของผม
ผมก้มหน้ามองพื้นจึงรู้ว่าใบไม้ร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่เกือบหมดแล้ว แต่ผมไม่กระวนกระวายเท่าเมื่อครั้งก่อนที่ผมมา เพราะวันนี้ผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้ ผมจะเป็นคนปกป้องเธอเอง
ผมไม่ได้เตรียมใจที่จะเห็นภาพตรงหน้านี้มาก่อน ลมหนาวพัดมาซ้ำๆราวกับกำลังจะตอกย้ำความละเลยของผมที่ไม่ได้มาดูแลเธอเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ลำต้นของเธอไหวเอนเบาๆ ใบไม้สีเหลืองอ่อนทิ้งตัวลง กลีบดอกสีเหลืองที่เคยสดใสบัดนี้ดูสีเข้มมากขึ้น ลักษณะของเธอดูไม่ใช่การปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศเลย มันเหมือนกับว่าเธอทนสภาพอากาศแบบนี้ไม่ได้ ผมถึงได้บอกว่าเธอไร้เดียงสาเกินไปที่ยังคงความสดใสของเธอเอาไว้ในวันที่ต้นไม้ต้นอื่นๆยอมทิ้งบางส่วนของตัวเองลง ดอกไม้ของผม ผมไม่มั่นใจเลยว่าถ้าสัมผัสที่ฐานดอกของเธอเข้าแล้วเธอจะไม่เปราะหักติดมือผมมา ความงามของเธอทำให้ผมเฝ้ามองเธอมาตลอดโดยที่ยังไม่เคยได้แตะต้อง มาวันนี้เธออ่อนแอลง ทว่ายังงดงามนัก ผมกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะผมรู้ดีว่า นั่นเป็นความงามก่อนที่จะร่วงโรย ผมควรทำอย่างไรเธอถึงจะอยู่กับผมตลอดไป
ผมร้องเพลงโปรดเพลงเดิมออกมาเบาๆ มีแต่ผมที่ได้ฟัง แต่เธอไม่ได้ฟัง ดอกไม้ของผม เธอขาดผมไม่ได้ เธอคงอยู่ไม่ได้ถ้าผมไม่มาหา แต่ตอนนี้ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ผมมาดูแลเธอแล้ว ระหว่างนี้ผมทำที่บังลมให้เธอ ลมหนาวจะทำอะไรเธอไม่ได้แล้ว ผมจะปกป้องเธอเอง ให้เธอได้มีชีวิตอยู่กับผมตลอดไป ผมจะรักษาชีวิตของเธอ ด้วยการเด็ดดอกของเธอออกมา แต่ผมจะทำให้เธอบอบช้ำน้อยที่สุด เธอจะต้องไม่เจ็บปวด
ผมวิ่งกลับเข้าบ้านไปหามีดที่คมที่สุดในห้องครัว แล้วลับมันซ้ำอีกครั้ง เธอจะแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ร็อคกี้เห่าเสียงดัง ทั้งยังดึงสายโซ่ที่ล่ามไว้จนตึง ผมไม่ได้สนใจมันหรอก ผมเพียงแค่วิ่งถือมีดมือเปล่าออกไปหาไวโอเล็ตของผมอีกครั้ง
เมื่อมาถึง ลมหนาวพัดมารุนแรง ส่งเสียงดังหวีดหวิว ผมร้องเพลงเดิมเพื่อปลอบใจเธอ ผมต้องการจะสื่อว่าไม่เป็นไร เธอจะไม่เป็นไร เธอก็รู้ว่าผมจะไม่ทำร้ายเธอ ลำต้นของเธอจะยังอยู่ที่เดิมตรงนี้ แต่เพื่อไม่ให้มีใครมาสะดุดตากับเธอที่กำลังอ่อนแอ ผมจะตัดดอกของเธอให้เข้าไปอยู่กับผมในบ้าน เธอจะปลอดภัย
แล้วผมจะมาดูแลลำต้นของคุณที่อยู่ที่นี่ทุกวัน
ทุกวัน ผมสัญญา
ดอกของเธอที่อยู่กับผมในบ้าน ผมก็จะดูแลทุกวัน
ทุกวัน ผมสัญญา
ผมเดินเข้าไปใกล้ไวโอเล็ต กลีบดอกของเธอไหวรุนแรง แต่มีดในมือผมไม่สั่น เพราะผมถือมันไว้อย่างมั่นคง ผมจับเข้าที่ลำต้นที่อยู่ใกล้กับฐานดอกแล้วออกแรงฟันฉับในทีเดียว ไม่ได้ออกแรงมาก ดอกทั้งดอกก็ร่วงมาอยู่ในมือผม ผมเททุกอย่างในกล่องเครื่องมือทั้งหมดออกทิ้งไว้ที่นี่ แล้วเอาเพียงแค่ส่วนที่เป็นดอกสวยงาม วางอย่างบรรจงลงไปแทนที่
ผมแปลกใจ ดอกทานตะวันสีเหลืองไม่มีหนาม แต่มือของผมกลับมีสีแดงฉาน
เวลาล่วงเลยไปจนเข้าสู่ฤดูหนาวอีกครั้ง ผมไม่ได้ผิดสัญญากับเธอเลยสักวัน ผมดูแลเธอดีอย่างสม่ำเสมอ ทั้งลำต้นของเธอในกระถาง และดอกของเธอที่อยู่ในบ้านกับผม ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมกลับคงความงามของเธอเอาไว้ไม่ได้ ซ้ำร้ายลำต้นของเธอยังแห้งและดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นดอกไม้ของผมสูญพลังชีวิตลงทุกขณะแบบนั้น ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคิดอะไรไม่ออก ผมจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นสูดอากาศให้สมองปลอดโปร่ง ตามถนนเรียงรายไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลงดินแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทั่ว อา..ผมอยากจะให้ไวโอเล็ตเติบโตแบบนั้นบ้างจัง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมบรรจงวางส่วนดอกของไวโอเล็ตไว้ตรงข้างหมอน แล้วจึงเดินตรงไปที่สวนหยุดที่หน้ากระถางและขุดลำต้นของเธอขึ้นมาทั้งรากเพื่อเอาเธอลงดิน เธอจะได้รับสารอาหารได้มากกว่าแค่ในกระถาง ผมขุดหลุมให้เธอ เธอจะได้เติบโตเบ่งบานในสวนของผมต่อไปได้ เธออาจจะออกดอกชูช่อขึ้นใหม่หลังฤดูหนาวนี้ ผมจะอดทนเฝ้ารอเธอ
หลุมในสวนที่ผมขุดให้เธอมีขนาดพอดีกับขนาดลำต้น เป็นจุดที่ผมจะเห็นเธอได้ชัดจากในบ้าน แต่ผมไม่มั่นใจว่าเธอจะชอบหลุมหลุมนี้ เพราะเธอยังไม่มีทีท่าจะแตกใบอ่อน หรืองอกรากใหม่ ทุกเช้าผมจึงออกไปขุดเธอขึ้นมาจากหลุมเดิม และวางเธอลงไปในหลุมใหม่ ขุดและเอาลงใหม่วนอยู่แบบนั้น จนกว่าเธอจะเจอหลุมที่ถูกใจ ผมยังรอคอยเธอเสมอ
วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันครบรอบที่ผมเจอเธอครั้งแรก อากาศหนาวกว่าปีที่แล้วเล็กน้อยผมขุดเธอขึ้นมาจากหลุมเดิมที่เธออยู่มาหนึ่งวันหนึ่งคืน ฤดูหนาวไม่ปรานีผมเหมือนเคย ผมกอดลำต้นซีดเซียวของเธอเอาไว้เนิ่นนาน ที่สุดของหัวใจที่ผมตามหา ทำไมถึงไม่กลับมาหาผมเสียที ผมหาเธอเจอ แล้วเธอก็ทิ้งผมไป แต่ผมจะรอคอยเธอ ไวโอเล็ต ที่รักของผม
ทำนองเพลงโปรดที่ผมเคยชอบฟังดังแว่วมาจากข้างบ้านอีกครั้ง เพื่อนบ้านผมคงกำลังออกมาที่สวนของเธอ เราไม่เจอกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง นั่นก็เพราะฤดูหนาวไม่ใช่ฤดูที่คนจะออกมาเดินเล่นที่สวนกันมากนัก ผมได้ยินเพลงที่เธอร้องฮัมตามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะหันไปทักทายเธอ ผมนั่งกอดลำต้นของไวโอเล็ตอยู่กลางสวน จนกระทั่งได้ยินเสียงหญิงสาวข้างบ้านกรีดร้องและชี้นิ้วมาทางผมอย่างตื่นตกใจ
“กรี๊ดดดดดดด ศพ!!มีคนนั่งกอดซากศพอยู่ในสวน!!”
I dug it out
With all its roots
Took it to the garden
Of my pretty home.
Forever
Johann Wolfgang von Goethe
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in