เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ระหว่างทาง#นักสังเกต
ดูแลแม่
  • ครั้งแรกที่แม่ต้องนอน ร.พ. วันนั้นแม่ล้างไตเสร็จแล้ว สามีไปรับโทรกลับมาบอกว่าแม่ความดันต่ำ ให้ทำอย่างไร เราคิดไม่ออก ตอบกลับไปว่า ให้กลับบ้านก่อน ถึงบ้าน แม่เดินขี้นชั้นบนไม่ไหว จึงนั่งพักอยู่หน้าบันได ระหว่างนั้นเราพยายามคิดว่าต้องทำยังไง แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ในหัวมันมึนๆ ได้แต่เดินไปเดินมา จนแม่พูดขึ้นมาว่า "พยาบาลบอกให้ไปหาหมอ" สติจึงกลับมา รีบพาแม่ขึ้นรถ กลับไป ร.พ. 

    ถึงห้องฉุกเฉิน หมอประจำของแม่มาตรวจ บอกว่า ความดันต่ำมาก ไข้สูงด้วย สงสัยว่าแผลที่นิ้วเท้าจะติดเชื้อ ขอปรึกษาหมอศัลยกรรมก่อน จากนั้นหมอแจ้งว่าเพื่อรักษาชีวิตของคนไข้ แนะนำให้ตัดนิ้วที่เป็นแผล เราให้แม่ตัดสินใจ แล้วเราแจ้งลูกๆ คนอื่นให้ทราบ ภายใน 30 นาทีหลังจากถึง ร.พ. นิ้วเท้าของแม่ก็ถูกตัดออกไป และหมอให้แม่นอนพักที่ ร.พ. เพื่อดูแผลและอาการติดเชื้อ เวลาว่างช่วงที่อยู่ ร.พ. เราทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น จึงเห็นว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่เรามีประจำเดือนวันแรกพอดี 

    เราเคยรู้จากหมอสูตินารีเวชว่า ทุกเดืิอนฮอร์โมนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากวันที่ไข่ตก และจะค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งหลังมีประจำเดือน ซึ่งในช่วงที่ฮอร์โมนแปรปรวนนั้น อาจส่งผลต่ออารมณ์ได้ เราจึงคอยสังเกตตัวเองมาเรื่อยๆ เป็นเวลานานพอควรที่จะเห็นรูปแบบของอารมณ์ตนเองว่า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนมีประจำเดือนอีกครั้ง เรามักจะหงุดหงิดง่ายขึ้น สับสน ลังเล ความคิดไม่แจ่มชัด แต่อารมณ์จะแปรปรวนมากที่สุดในช่วง 3-4 วันก่อนมีประจำเดือน จะควบคุมตัวเอง และ ตัดสินใจไม่ค่อยได้ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และจะเริ่มกลับมาสดใส มีชีิวิตชีวา สมองโล่งเห็นอะไรชัดเจนอีกครั้ง หลังมีประจำเดือนไปแล้ว

    ดังนั้น เราจึงบอกตัวเองให้พยายามมีสติให้มากขึ้นในเดือนต่อๆ ไป เผื่อจะมีอะไรฉุกเฉินแบบนี้อีก และในวันเกิดเหตุ เราก็ไม่สามารถคิดและตัดสินใจเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายมากในยามปกติ คือ พาแม่มาหาหมอ ถ้าวันนั้นแม่ไม่ได้พูดขี้นมาว่า พยาบาลบอกให้พาไปหาหมอ เราก็คงยังไม่ได้สติ

    แม่ป่วยต้องนอน ร.พ. ครั้งที่ 2 ในเดือนถัดมา และ ครั้งที่ 3 ในอีกเดือนถัดมา ด้วยอาการน้ำท่วมปอดเหมือนกันทั้ง 2 ครั้ง และอีกเดือนถัดมาแม่ไปนอน ร.พ. ตามที่หมอนัด แต่ครั้งนี้เพื่อทำการรักษา ไม่ใช่เพราะป่วยฉุกเฉิน และในครั้งนี้ระหว่างอยู่ที่ ร.พ. เราคิดในใจว่าเรามีประจำเดือน "อีกแล้ว" จึงรู้สึกสะกิดใจและเกิดสงสัยขึ้นมา คิดย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่นอน ร.พ. เพราะนิ้วติดเชื้อ และเห็นว่าแม่นอน ร.พ ทุกเดือน เดือนละครั้ง ตั้งแต่ตอนนั้น และทุกครั้งตรงกับช่วงที่เรามีประจำเดือนพอดี เราจึงเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว ที่เราจะมีประจำเดือนทุกครั้งที่แม่นอน ร.พ. แต่มันน่าจะมีเหตุผลบางอย่าง

    ส่วนตัว เราเชื่อว่า สติ จะทำให้เราผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี แต่ช่วงที่เราใกล้จะมีประจำเดือน ฮอร์โมนแปรปรวน เราสังเกตเห็นว่า สติเราจะไม่ค่อยแข็งแรง ความคิดไม่ค่อยแจ่มชัด เหตุใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และต้องการการตัดสินใจ โอกาสที่จะตัดสินใจ "ผิด" มีมากกว่าถูก และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างเรื่องอาการเจ็บป่วยของแม่ทุกๆ เดือน ในช่วงเวลาที่สติไม่ค่อยจะแข็งแรง และอีกเรื่องที่สังเกตเห็นคือ ทุกครั้งที่เราแก้ปัญหาเรื่องสุขภาพของแม่ได้เรื่องหนึ่ง ก็จะมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นตามมาทันที จนทำให้เรารู้สึกได้ว่า นี่เรากำลังพาแม่วิ่งหนีท่านพญามัจจุราชอยู่นะ ความตายกำลังคืบคลานเข้าใกล้แม่มากขึ้นทุกที

    ครั้งที่ 4 แม่ป่วยและต้องนอน ร.พ. อีกครั้งในเดือนถัดมา เพราะน้ำตาลในเลือดสูงจนเข้าขั้นวิกฤต เช้าวันนั้นเราเจาะเลือดแม่ตอนเช้าก่อนไปลัางไต น้ำตาลไม่ถึง 90 เราจึงไม่ฉีดอินซูลินให้แม่ ล้างไตเสร็จแม่ความดันต่ำ กลับถึงบ้านก็ยังต่ำอยู่อีก จึงไม่ฉีด ให้แม่นอนพัก รอจนความดันดีขึ้นแล้วให้กินข้าว เพราะแม่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า แต่ลืมเจาะเลือดก่อนเลยไม่รู้ว่าต้องฉีดเท่าไหร่ จึงตัดสินใจรอฉีดที่เดียวก่อนนอน พอเจาะเลือดดู น้ำตาลสูงเกิน 500 โทรไป ร.พ. เพื่อจะถามว่าควรฉีดเท่าไหร่ดีเพราะมันสูงเกินกว่าที่หมอสั่งยาไว้ พยาบาลห้องฉุกเฉินแจ้งว่าให้พามา ร.พ. เพราะน้ำตาลสูงเกินไม่สามารถสั่งยาทางโทรศัพท์ได้ และหมอให้แม่นอน ร.พ. เพื่อรอดูอาการ และเราก็มีประจำเดือนอีกเช่นกัน

    วันสุดท้าย เราพาแม่ไปล้างไตตามปกติ ระหว่างรอเราคิดในใจว่า เพิ่งจะมีประจำเดือนเมื่อวาน รอบนี้เราจะเจออะไรอีก ตอนแทงเข็มเพื่อล้างไต พยาบาลแจ้งว่า เลือดแม่ค่อนข้างดำแปลว่าเส้นเริ่มตัน วันนี้ล้างไปก่อนแต่พรุ่งนี้ให้รีบไปหาหมอเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป เรารับทราบ แต่ระหว่างที่พยาบาลกำลังหาจุดเพื่อจะแทงเข็มต่อไป เรามีความรู้สึกเกิดขึ้นในเวลานั้นว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ไม่รู้ว่าอะไร และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรด้วย คิดไม่ออก รู้แต่ว่าไม่สบายใจ แต่สุดท้ายก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป บอกตัวเองว่าคงไม่มีอะไร ไม่เป็นไรหรอก แต่ก็คิดในใจอีกทีว่า บอกไม่เป็นไรแบบนี้ทีไร มันเป็นทุกที

    หลังจากแม่แทงเส้น เดินเครื่องล้างไตเรียบร้อย เราบอกแม่ว่าเราจะไปกินข้าว แล้วออกไปทำธุระ เสร็จแล้วจะกลับมา แต่ช่วงที่ออกไปทำธุระ เรารู้สึกไม่สบายใจ ร้อนรน รู้สึกอยากจะกลับมา ร.พ. ตลอดเวลา จนในที่สุด เราก็ตัดสินใจ "เชื่อ" เสียงในใจเรา ไม่ทำธุระที่เหลือต่อแล้วกลับมา ร.พ. ก่อน มาถึง ร.พ. แม่บอกให้เราขอออกซิเจนให้ แล้วเราก็นั่งอยู่ข้างเตียง สักพักเสียงเครื่องของแม่ร้องเตือน พยาบาลคนหนึ่งกำลังดูเครื่อง อีกคนกำลังเดินมาช่วย แต่เห็นแม่ผิดปกติจึงรีบมาดู แป๊ปเดียวแม่ก็หยุดหายใจ พยาบาลกำลังจะปั๊มหัวใจ แต่เราบอกไม่ต้องเพราะแม่สั่งไว้แล้ว ทุกอย่างรวดเร็วมาก ตั้งแต่เรากลับถึง ร.พ. จนถึงแม่หยุดหายใจไม่น่าถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าเรา "ไม่เชื่อ" เสียงในใจ ยังคงทำธุระต่อไป อาจกลับมาไม่ทันก็ได้

    เราเล่าให้ญาติสามีคนหนึ่งฟัง เขาบอกว่า เรากับแม่คงพอจะมีบุญบ้าง ถึงมีบางสิ่งมาบอกให้เรากลับ ร.พ. เขาเล่าว่ามีคนรู้จัก สั่งเสียญาติไว้เรียบร้อยแล้วว่าไม่ต้องปั๊มหัวใจ แต่วันเกิดเหตุญาติคนที่รู้เรื่องไม่อยู่ คนอื่นอยู่แทนและให้ปั๊มกลับมา กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เราโชคดีมาก ที่เชื่อเสียงในใจและกลับไปทันทำในสิ่งที่แม่สั่งไว้

    หลายเดือนผ่านไป เรายังคงสงสัยว่าเหตุใดเราจึงมีประจำเดือนตรงกับช่วงที่แม่เข้า ร.พ. ทุกครั้ง และคิดได้ว่าอาจเป็นไปได้ที่ ช่วง "ก่อน" มีประจำเดือน ที่จิตใจไม่ปกติ อารมณ์แปรปรวน ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ตัวเราเอง แม่ หรือ ใครๆ หรือ อะไรก็ตาม อาจทำให้มีบางอย่างผิดพลาดในช่วงนั้นแต่เราไม่สังเกตเห็น แต่เมื่อสติแข็งแรงขึ้น (หลังจากฮอร์โมนเป็นปกติเมื่อมีประจำเดือนแล้ว) จึงค่อยเห็นและพาหาหมอก็เป็นได้ มันจึงตรงกันทุกเดือน

    หลังจากคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เรารู้สึกว่าตัวเราก้าวหน้าขึ้นมากในการควบคุมตัวเอง เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน โดยเฉพาะในวันสุดท้าย เพราะต้องมีเหตุปัจจัยหลายอย่างมากขึ้น เพื่อให้เราครองสติยาก และตัดสินใจได้ยากลำบากขึ้น

    -เริ่มตั้งแต่ แม่บ้านที่ช่วยเราดูแลแม่ ลากลับบ้าน 1 สัปดาห์ก่อนวันที่แม่เสีย ทำให้เราต้องดูแลแม่เพียงลำพัง 24 ช.ม. 7 วัน ติดต่อกันจนถึง 1 วันก่อนที่แม่จะจากไป ซึ่งเป็นเหตุให้เราไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ และ ย่อมมีผลต่อฮอร์โมนต่างๆ ที่จะส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และสติสัมปชัญญะของเราอีกที

    -และ 7 วันนั้นก็อยู่ในช่วงของสัปดาห์สุดท้าย ก่อนที่เราจะมีประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนของเรา แปรปรวนมากที่สุด ควบคุมตัวเองได้ยากที่สุด

    -ขณะที่รอส่งแม่ล้างไต เรายังไม่ได้กินข้าวและหิวมาก ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และ การตัดสินใจอีกเช่นกัน

    -มีความกังวลถึงธุระที่จะต้องไปทำหลังจากส่งแม่แล้ว

    -ในขณะที่พยาบาลแทงเข็ม ต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์มากกว่าที่เรามีในเวลานั้น เพราะถ้าเป็นสิ่งที่เรารู้แล้ว เราจะสามารถแก้ไขได้ เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา (เรามีความรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หลายเดือนผ่านไปคิดได้ว่า ถ้าจะต้องทำอะไรวันนั้น เราจะพาแม่กลับบ้าน แล้วหาหมอก่อนค่อยไปล้างไต) 

    เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่คล้ายกันหลายปีก่อน ครั้งที่เราพาหมาไปหาหมอวันสุดท้าย วันนั้นทั้งวัน เรารู้สึกเหมือนคนใจลอย สติไม่อยู่กับตัว แต่กับแม่ เรารู้ตัวตลอดเวลาว่าต้องทำอะไร ตัดสินใจอะไร เรารู้สึกดีใจกับตัวเองที่การศึกษาธรรมะ ฝึกปฏิบัติและการเฝ้าสังเกตจิตใจตนเอง สามารถทำให้เราก้าวหน้ามากขึ้นขนาดนี้

    เพราะธรรมะ ทำให้เราได้รู้จักกับเสียงวิเศษในใจตัวเอง ที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ ตักเตือนให้เราตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น

    เพราะธรรมะ ทำให้คิดได้ว่า การดูแลแม่ทำให้เราได้ความรู้เรื่องสุขภาพมากมาย เหมือนตัวเองกำลังเป็นนักศีกษาแพทย์ 555 (ถึงขนาดที่นักศึกษาแพทย์ตัวจริงที่ ร.พ. คิดว่าเราเป็นบุคลากรทางการแพทย์เลย)

    เพราะธรรมะ คอยเตือนให้ไม่ประมาท เราไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ทำให้ตลอดเวลาที่เราดูแลแม่ เรา "เลือก" ทำในสิ่งที่เราจะไม่เสียใจในภายหลัง แต่ในระหว่างนั้น เราก็ทำผิดพลาดหลายอย่าง โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ให้ปกติ ไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ซี่งเราทำได้น้อยมาก แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจตนเองเช่นกันว่าเราไม่ได้ปล่อยใจไปตามอารมณ์ แต่สู้กับตัวเองอย่างหนักและพยายามควบคุมอย่างสุดความสามารถของเราแล้ว และมีบางครั้งเหมือนกัน ที่ความเหนื่อยล้าทำให้มีความคิดไม่ดีแวบเข้ามาในหัว ทำให้เรารู้สึกโกรธเกลียดตัวเอง แต่เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนของเราแม้กระทั่งความคิด" ความคิดก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่ตัวเรา จึงทำให้เราปัดความคิดไม่ดีพวกนั้นทิ้งไปได้ ให้อภัยและหยุดโทษตัวเอง

    เพราะธรรมะ ทำให้เข้าใจแล้วว่าถึงเวลาก็ต้องจากกัน ทำให้เรายอมรับการจากไปของแม่ได้อย่างเบาใจ ไม่เสียใจ ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษใคร ไม่หาเหตุผลที่เกินจำเป็น เพราะเข้าใจและยอมรับได้ว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว เพราะ "ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ถึงพร้อม"

    เพราะธรรมะ ทำให้เราและแม่ได้มีโอกาสขอโทษซึ่งกันและกัน 1 สัปดาห์ก่อนที่แม่จะจากไป ทำให้เราและแม่ไม่มีเรื่องติดค้างในใจต่อกัน ทำให้เป็นการจากกันด้วยดี

    ขอบคุณแม่ ที่เลี้ยงดูหนูและลูกๆ ทุกคนอย่างดีที่สุด และ ให้หนูได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ
    ขอบคุณธรรมะ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณแม่ และ คว้าโอกาสนั้นไว้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in