เหินฟ้า
ตัวแรก "เหินฟ้า" เป็นลูกหมาตัวผู้ พิการ เพราะเราฉีดยาคุมกำเนิดให้แม่ของเขาบ่อยและติดกันเกินไป เหินฟ้ามีกระดูกสันหลังไม่ครบ ทำให้ขาหลังห้อยลีบ แต่ยังเดินได้โดยใช้ 2 ขาหน้า (สามีจึงตั้งชื่อให้ว่าเหินฟ้า เพราะหน้าจะเหินตลอดเวลา) ขับถ่ายเองได้แต่จะเปื้อนท้อง ขาหลัง และบนพื้นรอบๆ ห้องเสมอ ก่อนเหินฟ้าตายประมาณ 1 สัปดาห์ เราเห็นหยดเลือดจางๆ บนพื้นหลายจุด คิดว่าเป็นของเหินฟ้า ยังคุยกับสามีเลยว่าจะเป็นอะไรไหม แต่ก็ไม่ได้พาไปหาหมอและก็ลืมไปเลย จนกระทั้งถึงวันสุดท้าย เหินฟ้าเห่าเสียงดังผิดปกติตั้งแต่เช้ามืดไม่ยอมหยุด สามีว่ามันเห่าเหมือนเจ็บปวด เราจึงพาไปหาหมอ
หมอบอกว่าเหินฟ้าเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (เพราะกินแต่อาหารเม็ด) ต้องผ่าตัด แต่ยังผ่าเลยไม่ได้ ต้องงดน้ำและอาหารอีก 8 ช.ม. ผ่าเสร็จ หมอบอกว่าเราพามาช้าไป กระเพาะปัสสาวะเริ่มเน่าแล้ว ถ้าพามาตั้งแต่วันที่เริ่มปัสสาวะมีเลือดปน ก็จะยังรักษาทัน เราพาเหินฟ้ากลับมาบ้าน ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เหินฟ้าก็หยุดหายใจ เราร้องไห้เสียใจมาก รู้สึกผิดและเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเราไม่พาเขาไปหาหมอตั้งแต่แรก จึงช่วยเขาไว้ไม่ทัน แต่ต้องขอบคุณการจากไปของเหินฟ้า เพราะหลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนอาหารของพ่อและแม่ของเขาเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และทุกครั้งที่เป็นอะไรนิดหน่อย เราจะรีบพาไปหาหมอทันที ทำให้ทั้งสองตัวได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
บิลลี่
ตัวที่สอง "บิลลี่" พ่อของเหินฟ้า เจ้าของเดิมเขาไม่สะดวกเลี้ยงต่อจึงให้เรามา ชื่อบิลลี่ก็เป็นชื่อที่เจ้าของเดิมตั้งให้ (ตอนแรกๆ เรียกแล้วรู้สึกกระดากปากมาก แต่หลังๆ ก็ชิน) บิลลี่เป็นหมาตัวแรกที่เราเลี้ยงและรักมาก (อาจจะมากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา ก่อนที่เราจะมีลูก) เมื่อเริ่มอายุมาก บิลลี่หาหมอบ่อยขึ้นและมีโรคประจำตัวคือ ลิ้นหัวใจรั่ว หมอประจำของบิลลี่ที่ ร.พ. สัตว์เกษตรบอกว่า ถ้าบิลลี่มีอาการไอมากๆ ผิดปกติให้รีบพาหาหมอ ตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่า อาการไอแบบที่หมอบอกเป็นอย่างไร
เช้าวันที่บิลลี่จากไป พี่เลี้ยงบอกว่าจะอาบน้ำหมา แต่เราและสามีท้วงว่าไม่ควรอาบเพราะอากาศเย็น แต่ก็ไม่ได้ห้ามแบบขึงขัง พี่เลี้ยงจีงพาไปอาบน้ำ สักพักเด็กอีกคนวิ่งมาบอกหน้าตาตื่นว่าให้ไปดูบิลลี่ พี่เลี้ยงบอกว่า บิลลี่เป็นไรไม่รู้ พออาบน้ำเสร็จก็ล้มลงไปนอน ไม่ยอมลุก เขาตกใจรีบเช็ดตัว เป่าขนให้แห้ง และใส่เสื้อก้นหนาวให้ ตอนที่เราไปถึง เราเห็นบิลลี่ใส่เสื้อกันหนาวและลุกนั่งเองได้แล้ว ในสายตาเราตอนนั้นดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เพื่อความสบายใจของพี่เลี้ยง เราจึงพาไปหาหมอที่คลีนิกประจำใกล้บ้าน
ถึงร้านหมอ เราจับบิลลี่วางบนเตียงตรวจ ซึ่งเป็นโต๊ะแสตนเลส และก็ถอดเสื้อบิลลี่ออกเพื่อรอหมอมาตรวจ ทันทีที่ถอดเสื้อออก เราก็ได้ยินเสียงไอทันที เป็นเสียงไอที่เราไม่เคยได้ยิน และรู้ได้ในทันทีว่า นี่คือเสียงไอที่หมอเคยบอกไว้ว่าต้องรีบพามาหาหมอ หมอตรวจแล้วบอกเราด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีอาการตระหนกตกใจว่า "อาการหนักนะนี่" และบอกเราให้ใส่เสื้อกลับไปให้บิลลี่ ไม่ให้ถอด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร ตอนอยู่ที่ร้านหมอ เรารู้แค่ว่าบิลลี่อาการหนัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะไม่ได้ถามและหมอก็ไม่ได้บอก ซึ่งปกติถ้าเราพาไปหาหมอ เรามักจะซักถามละเอียดจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ครั้งนี้เรากลับไม่ถามอะไรมากนัก ระหว่างขับรถกลับบ้านในใจรู้สึกว่างๆ อย่างไร บอกไม่ถูก
ถึงบ้าน เราลืมกำชับพี่เลี้ยงว่าห้ามถอดเสื้อบิลลี่ และเราก็ทำทุกอย่างของเราตามปกติ เหมือนบิลลี่ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ดูแล ไม่ได้สนใจบิลลี่อีกเลย จนกระทั่งเย็น เด็กวิ่งไปตามบอกว่า บิลลี่ไอเป็นเลือด เรามาดูเห็นบิลลี่ไม่ได้ใส่เสื้อแล้ว เวลานั้นในใจรู้สึกเหมือนคนใจลอย โหวงเหวง งงๆ ไม่ตกใจ แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร จึงโทรไปคลีนิกถามหมอที่รักษาตอนเช้า เขาบอกว่าต้องพาไปหาหมอ แต่ตอนนั้นเย็นมากแล้วคลีนิกใกล้จะปิด จึงขอข้อมูลหมอเรื่องยาที่ให้ไปตอนเช้า และตัดสินใจพาไป ร.พ. สัตว์เกษตร ซึ่งไกลมาก จากบ้านเราที่อยู่ฉะเชิงเทรา
บนรถ เราได้ยินเสียงไอแปลกๆ ของบิลลี่หลายครั้ง ทุกครั้งที่บิลลี่พยายามจะยืน เราจะจับให้นอนราบและห่มผ้าให้ เพราะคิดเอาเองว่าน่าจะดีกับบิลลี่มากกว่า เราสงสัยว่าบิลลี่เป็นอะไร แต่ไม่กังวล ในใจมันเบาๆ ว่างๆ ตลอด จนไปถึง ร.พ. เราตัดสินใจพาไปแผนกผู้ป่วยนอก พอถึงคิว เราเดินไปที่เคาน์เตอร์แสดงตัว ระหว่างเดินกลับไป สามีส่งเสียงบอกว่าบิลลี่ล้มลงไป ไม่หายใจแล้ว เรารีบวิ่งกลับไปแจ้งที่เคาน์เตอร์ แล้วหมอก็วิ่งมารับบิลลี่ไปที่ห้องฉุกเฉิน
หน้าห้องฉุกเฉิน หมอเจ้าของไข้ออกมาบอกว่าบิลลี่น้ำท่วมปอดเยอะมาก โอกาสรอดน้อย ตั้งแต่หมอเคยรักษามา กรณีที่มีน้ำเยอะขนาดนี้มีรอดแค่ 5 ตัวเท่านั้น แล้วหมอก็กลับเข้าไป อีกแป๊ปเดียวก็ออกมาบอกว่าบิลลี่หัวใจหยุดเต้นแล้ว จะให้ปั๊มไหม เราตอบทันทีว่า ไม่ แต่สามีเราตอบว่า ขอลองก่อน ถ้าไม่ขึ้นก็ปล่อย ปรากฎว่าปั๊มกลับขึ้นมาได้ หมอให้เข้าไปเยี่ยมได้ (เผื่อจะได้ร่ำลากัน)
บิลลี่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ถูกมัดขาเพื่อกันไม่ให้ดิ้น มีสายระโยงระยาง แต่พอได้ยินเสียงเรากับสามี ก็พยายามจะดีดตัวลุกขึ้น เราต้องกดตัวเอาไว้ เรายืนอยู่อีกแป๊บเดียวก็ออกมา เพื่อให้บิลลี่พัก เรากับสามีนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน อีกไม่นานหมอก็ออกมาบอกว่าบิลลี่หัวใจหยุดเต้นแล้ว เราเดินเข้าไปถึงโต๊ะที่วางบิลลี่ไว้ ถามหมอว่าเราขอกอดได้ไหม และเราก็กอดและบอกรักบิลลี่เป็นครั้งสุดท้าย
เราร้องไห้และรู้สึกเศร้าที่จะไม่ได้เห็นบิลลี่อีก จะไม่ได้กอด ไม่ได้เล่นด้วยกันอีกต่อไป แต่ไม่รู้สึกเสียใจ เสียดาย หรือติดค้างสิ่งใดๆ ในใจ บิลลี่ทำให้เรารู้ว่า การจากกันไปตลอดกาล แต่ไม่เศร้าเสียใจก็มี ถ้าหากว่า ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เราได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข และคุ้มค่าที่สุดแล้ว เพื่อที่ว่า เมื่อวันนั้นมาถึงจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจ
เมื่อเราย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้น เราเห็นว่าการตัดสินใจของเราผิดพลาดไปหมด และในใจของเราในเวลานั้นก็รู้สึกเหมือนบิลลี่ป่วยนิดเดียว ไม่หนักหนาอะไร ทั้งที่ไปหาหมอตอนเช้าก็รู้แล้วว่าอาการหนัก บิลลี่เกือบตายมา 3 ครั้ง และทุกครั้งเราเป็นคนพาไปหาหมอและคุยกับหมอจนเข้าใจโรค และวิธีดูแล จนรอดมาได้ทั้ง 3 ครั้ง เราสามารถแยกแยะอาการหนักเบาได้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องทำอย่างไร แต่ในวันนั้น เมื่อถึงบ้านกลับลืม ทำเหมือนเขาไม่ป่วย ไม่อยู่ดูแลหรือติดตามอาการ ทั้งที่หมอบอกแล้วว่าอาการหนัก (ต่างกับ 3 ครั้งก่อนที่เราดูแลใกล้ชิด), พาไป ร.พ. ไกลแทนที่จะพาไปที่ใกล้ที่สุด, พาไปแผนกผู้ป่วยนอกแทนแผนกฉุกเฉิน ทั้งที่ออกจากบ้านมาด้วยอาการไอเป็นเลือด แถมยังพยายามให้นอนราบ ซึ่งรู้ภายหลังเหตุการณ์ผ่านมาหลายปีว่ากรณีน้ำท่วมปอดยิ่งทำให้อาการแย่ลง "ทุกการตัดสินใจ" ของเราผิดพลาดไปหมด เราคิดเอาเองว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้บิลลี่ได้จากไปในวันนั้น บิลลี่หมดลมหายใจเองตามธรรมชาติ ตรงกับตอนที่หมอเรียกชื่อพอดี ช่างเป็นความบังเอิญ!! ถ้าเราตัดสินใจได้ถูกต้องเหมือนอย่าง 3 ครั้งที่ผ่านมา บิลลี่ก็จะไม่ตายและกลายเป็นหมา 4 ชีวิต
สามีเราบอกว่าถ้าคิดอย่างนี้แล้วสบายใจก็คิดไป เราไม่ได้กำลังแก้ตัวหรือหลอกตัวเอง แต่เรากำลังเห็นว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน รู้ดีอย่างไร จะพยายามแค่ไหน ก็ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ทุกคนทุกตัว ล้วนมีเวลาของตัวเอง เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น
การจากไปของบิลลี่ ทำให้เราสามารถให้อภัยตัวเองเรื่องเหินฟ้าได้ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็นเวลาของเหินฟ้า มันอาจจะเป็นความผิดพลาดของเราและสามีจริง แต่ก็เพื่อให้เวลาของเหินฟ้าเดินทางมาถึง เพราะบิลลี่พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า เราที่เคยรู้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยในวันนั้นและยังพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นจริง อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) ที่เกิดขึ้น มันไม่ยั่งยืนและไม่ใช่ของเรา เรารักบิลลี่มาก แต่แค่ 3 วันหลังจากบิลลี่ตาย ความรู้สึกต่างๆ ก็จางไป แม้จะพยายามดึงไว้ ยื้อไว้ว่ายังรัก แต่ในความรู้สึกก็รู้ว่าไม่สามารถทำให้รักได้เท่าเดิม ยิ่งพยายามยื้อไว้ไม่ปล่อยไป กลับยิ่งทำให้ทุกข์ใจมากขึ้น อารมณ์ ความรู้สึกนั้น เกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเองตามธรรมชาติของมันจริงๆ
บิลลี่ทำให้เราเข้าใจความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เรารักบิลลี่แบบที่บิลลี่เป็น รักในความเป็นบิลลี่ รักที่บิลลี่เป็นอย่างนั้น ไม่เคยคาดหวังให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นด้วยตาว่า บิลลี่เป็นเพียงหมาตัวหนึ่งเท่านั้น เราจึงไม่เคยคาดหวังสิ่งใดๆ จากบิลลี่เลย ไม่เคยโกรธ มีแต่ความรัก ความเมตตา และความเข้าใจ หากเราสามารถเห็นคนรอบข้างได้อย่างที่เห็นบิลลี่ ว่าเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร และรักเขาอย่างที่เขาเป็น เราก็คงไม่คาดหวังสิ่งใดๆ จากพวกเขา เขาก็คงไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจ และ เราก็คงไม่ทำให้เขาต้องทุกข์ใจเช่นกัน เราหวังว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากบิลลี่ จะทำให้เรารักทุกคนรอบข้างได้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันหนึ่ง
โต๋เต๋
ตัวสุดท้าย "โต๋เต๋" แม่ของเหินฟ้า โต๋เต๋อยู่กับเราตั้งแต่เด็กจนแก่มาก เห็นตั้งแต่วิ่งขึ้นลงบันไดเองวันละหลายรอบ จนลงเองไม่ได้ต้องเห่าเรียกให้มาอุ้มลง จนถึงวันที่นอนทั้งวัน ไม่อยากเดิน ไม่อยากเล่นอีกต่อไป หลายเดือนก่อนโต๋เต๋เสีย เราเห็นจุดจ้ำเลือดบนตัวโต๋เต๋ อาการเหมือนพยาธิเม็ดเลือด (ซึ่งถ้ารักษาแต่เนิ่นๆ ก็จะหาย เพราะบิลลี่ก็เป็นและรักษาหาย) แต่ก็อีกครั้งที่เราไม่ได้พาไปหาหมอและลืมไปเลย จนเราพาโต๋เต๋ไปหาหมอเพราะพี่เลี้ยงบอกว่าโต๋เต๋ดูไม่มีแรงหลังจากอาบน้ำเสร็จ
ที่ร้านหมอ หลังจากปลุกปล้ำเพื่อวัดไข้โต๋เต๋เสร็จ เราวางโต๋เต๋ลงบนโต๊ะตรวจ แป๊ปเดียวโต๋เต๋ก็ส่งเสียงร้องหอนยาว แบบที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วก็ล้มลง หมดเรี่ยวแรง หัวห้อย ลิ้นห้อย ปัสสาวะไหลนอง เราไม่ตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้โต๋เต๋เป็นอะไร ดีที่หมอยังอยู่ใกล้ๆ และถังออกซิเจนอยู่ตรงโต๊ะนั้นพอดี หมอรีบเปิดถังและส่งสายออกซิเจนให้โต๋เต๋หายใจ พักใหญ่สีลิ้นของโต๋เต๋กลับมามีสีชมพูเรื่อๆ หมอเจาะเลือดไปตรวจ แล้วแจ้งผลว่าเป็นโรคพยาธิเม็ดเลือด ทำให้เลือดจาง ถ้าตื่นเต้นหรือเหนื่อยร่างกายจะได้ออกซิเจนไม่พอ ต้องระวัง หมอจ่ายยาและให้กลับบ้าน
ตั้งแต่วันนั้น โต๋เต๋จะมีอาการแบบนี้วันละหลายครั้ง (เราเข้าใจประโยคที่ว่า ร้องเหมือนจะขาดใจ เป็นอย่างไรก็ตอนที่ได้ยินเสียงร้องของโต๋เต๋) จนเราตัองยืมเครื่องให้ออกซิเจนมาให้โต๋เต๋ใช้ และญาติของสามีแนะนำให้พาไปหาหมอที่ ร.พ. สัตว์ที่มีตู้ออกซิเจนสำหรับกรณีแบบนี้โดยเฉพาะ โต๋เต๋ต้องนอน ร.พ และอยู่แต่ในตู้นั้นเกือบจะตลอดเวลา เพื่อให้ได้ออกซิเจนเพียงพอ
คืนแรกที่โต๋เต๋นอน ร.พ. ทุกคนในบ้านช่วยกันอ้อนวอนต่อสิ่งที่ตนเองนับถือ ให้โต๋เต๋แข็งแรงขึ้น วันรุ่งขึ้นไปเยี่ยม หมอเจ้าของไข้ยังถามว่าโต๋เต๋อาการดีขึ้นมาก ช่วยกันสวดมนต์ให้ใช่ไหมเอ่ย แต่อาการก็ดีขึ้นไม่กี่วัน วันสุดท้ายสามีไปเยี่ยมแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ดูก่อนกลับ เราเห็นรูปแล้วรู้สึกว่าโต๋เต๋คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว คืนนั้นเราจึงส่งใจไปบอกลาโต๋เต๋ และ โต๋เต๋ก็เสียชีวิตที่ ร.พ. ตอนกลางดึกคืนนั้น แม้เราจะร่ำลาเผื่อไว้ทุกครั้งเวลาที่ไปเยี่ยม แต่ก็รู้สึกเสียดายที่โต๋เต๋ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว ในตู้ให้ออกซิเจนท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก
ตอนโต๋เต๋ตาย เราและทุกคนในบ้านร้องไห้น้อยมาก อาจเป็นเพราะทุกคนต่างก็เห็นว่าโต๋เต๋แก่มากแล้ว อาการป่วยของโต๋เต๋ก็ทำให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจไว้ และเห็นว่าการที่ต้องพยายามให้อยู่ต่อ น่าจะทำให้โต๋เต๋ทรมานมากกว่า
ตอนเหินฟ้าตาย เราเศร้า เสียใจ ทุกข์ทรมานใจมาก จากความรู้สึกผิด จนต้องระบายออกมาด้วยการวาดรูป
ส่วนบิลลี่ เพราะความคิดถึงยังไม่จางไป จึงเขียนบันทึกเอาไว้แทนความคิดถึง
สำหรับโต๋เต๋ เพราะเราเข้าใจแล้วว่าถึงเวลาก็ต้องจากกัน จึงไม่มีสิ่งใดติดค้างอยู่ในใจ มีเพียงความทรงจำ ที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในหัวของเราเท่านั้น
ด้วยรักและคิดถึง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in