ผู้มีพระคุณ
ตั้งแต่เด็ก พวกเราถูกสอนให้มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ และ ผู้มีพระคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และให้หาโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณท่านเหล่านั้น ให้ท่านได้รับความสะดวกกาย สบายใจ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เรามักถูกสอนให้นึกถึง "บุคคล" ที่เป็นผู้มีพระคุณที่เป็นคนเท่านั้น โดยลืมนึกไปว่า กว่าที่เราจะเติบโดและมีชีวิตรอดได้ในแต่ละวัน ไม่ได้มีเพียงข้าวปลาอาหารที่ตกถึงท้องเราเท่านั้น แต่รวมถึงน้ำทุกหยดที่เราดื่มเข้าไป เพื่อให้ร่างกายสดชื่นหายอ่อนเพลีย และอากาศที่เราหายใจเข้าออกทุกวินาที
แต่เนื่องจาก ทั้งน้ำและอากาศเป็นสิ่งที่ "เหมือน" เราได้มาเฉยๆ ตลอดเวลา โดยที่ไม่เคยต้องลงทุนลงแรงอะไร ไม่เคยต้องแลกกับอะไรเพื่อให้ได้มา จึงมองข้ามไป ไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความสำคัญ (ทั้งที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด) และเพราะเราไดัรับตลอดเวลาอย่างไม่มีเงื่อนไข โดย "ไม่เคยเห็น" ตัวผู้ที่จัดเตรียม สิ่งเหล่านี้ให้เรา เราจึงไม่ตระหนักและไม่เห็นความสำคัญ ของผู้ที่ให้สิ่งสำคัญที่สุดนี้กับเรา ไม่เห็นว่าเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเรามาตลอดชีวิตของเราเช่นกัน เขาผู้นั้นคือ "ธรรมชาติทุกอย่างในโลกใบนี้" ทั้งท้องฟ้า ผืนดิน ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำธาร ธารน้ำแข็ง ต้นไม้ทุกต้น สัตว์ทุกตัว ทั้งบนบก บนฟ้า ในน้ำ ในดิน
เรามองไม่เห็นว่า "ธรรมชาติ" เป็นผู้มีพระคุณที่เราต้องตอบแทนบุญคุณ ตรงกันข้ามกลับเห็นว่า ธรรมชาติเป็นทรัพย์สมบัติ ที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ เราคิดว่าเราเป็นผู้ควบคุมและครอบครองทุกอย่าง เราปรับเปลี่ยนทุกอย่างตามใจ อยากสร้างอะไร ที่ไหนก็สร้าง อยากระเบิด ขุด ถม ที่ไหนก็ทำ อยากย้ายสัตว์จากที่หนี่งไปที่หนึ่งก็ทำ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับธรรมชาติอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบหลังจากที่เกิดการกระทำนั้นๆ
ฉลาดที่สุด
เราภูมิใจกันมาก ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดบนโลกใบนี้ และ เราตัดต้นไม้ที่ผลิตอากาศให้เราหายใจ ทิ้งขยะลงผืนดินที่ให้อาหาร ที่อยู่ และความอบอุ่นแก่เรา ล่าสัตว์ที่เป็นแหล่งอาหารจนหมด ทิ้งขยะและสิ่งสกปรกอื่นๆ ลงน้ำที่ไว้ใช้ดื่มกิน ปล่อยไอเสียและก๊าซพิษสู่อากาศที่เราใช้หายใจ แสวงหาผลประโยชน์และกอบโกยทุกอย่าง จากสิ่งที่ธรรมชาติจัดหาไว้ให้ เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์เองด้วยซ้ำ
เรากำลังทำร้ายผู้มีพระคุณอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด และกำลังทำลายบ้านหลังเดียวที่เรามี อย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความเหน็ดเหนื่อยใดๆ เพื่อ ... อะไรก็ตามที่คิดว่าจะทำให้เรามีความสุข เราฉลาดที่สุดจริงหรือ? และ นี่คือสิ่งที่เราทำเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณของเราใช่หรือไม่?
ตั้งแต่ยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา คนได้ทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เพื่อสร้างสิ่งต่างๆ มากมายที่เรียกว่าความเจริญรุ่งเรือง ตั้งแต่ถนน อาคารต่างๆ เรือ รถไฟ เครื่องบิน สนามบิน จนถึงของชิ้้นเล็กๆ อย่างชิฟคอมพิวเตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนในการทำธุรกิจ ทั้งภาคเกษตร และ อุตสาหกรรม รวมถึงผลิตสิ่งของต่างๆ ที่แสดงความหรูหราทางสังคมอย่างเครื่องประดับ เพชร อัญมณี
สถานที่ต่างๆ ในธรรมชาติถูกคนปรับเปลี่ยน ปรับแต่งตามใจชอบ พื้นที่ที่เคยเป็นที่ชุ่มน้ำ เต็มไปด้วยตันไม้และสัตว์มากมาย ถูกขุดทิ้งและเททับด้วยคอนกรึต เราเคยเห็นบางพื้นที่เล็กๆ ใกล้แม่น้ำกลายเป็นหนองน้ำเพราะมีคอนกรีตล้อมรอบ แต่หนองน้ำนั้นไม่มีทางให้น้ำเข้าออก และน้ำในหนองนั้นก็ค่อยๆ เน่าและแห้งไปตามสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน พร้อมกับต้นไม้ที่เหลือในหนองนั้นก็ค่อยๆ แห้งตายไปที่ละต้น ไม่ต้องพูดถึงสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ในหนองนั้น ก็คงค่อยๆ ตายไปหมดไม่เหลือแล้วเช่นกัน ทั้งตันไม้หลากหลายสายพันธุ์ สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ใต้ดิน ที่เคยอยู่ในพื่นที่นั้นต้องตายหมด เพื่อความเจริญก้าวหน้าของคน เราทำเสมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของและ "ไม่มีชีวิต" ในสายตาคนอย่างพวกเรา
นิวนอมอลของธรรมชาติ
ป่าไม้เกือบจะทุกแห่งถูก "ตัดแบ่ง" บริเวณออกจากกันด้วยถนนและสิ่งปลูกสร้างของคน ป่าซึ่งเดิมเคยเป็นผืนป่าเดียวกัน เป็นบ้านที่ปลอดภัยของสัตว์ป่าไม่มีสิ่งใดแบ่งแยก กลับมีถนนและสิ่งปลูกสร้างเป็นเส้นแบ่งเขตแดน การก้าวล้ำเข้าไปในเส้นเขตแดนหมายถึงอันตรายถึงชีวิต สัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยต้องเสียชีวิตจากการถูกรถชน ในขณะพยายามข้ามเส้นแบ่งเขตแดนเหล่านั้น เพื่อไปยัง "บ้าน" อีกฝั่งของป่า ในบางพี้นที่ ในขณะที่สัตว์นักล่ากำลังล่าเหยื่อตามธรรมชาติ ต้องหยุดกระบวนการล่ากระทันหัน เพราะมีถนนคั่นกลางและทำให้สูญเสียเหยื่อไป ลดโอกาสในการหาอาหารตามธรรมชาติ และ ลดโอกาสการมีชีวิตรอดของสัตว์นักล่า
สัตว์ป่าต่างๆ ถูกจำกัดบริเวณโดยปริยาย ด้วยเส้นแบ่งเขตแดนที่คนสร้างขึ้น เพื่อความสะดวกสบายของตนเพียงฝ่ายเดียว เส้นแบ่งเขตแดนนี้ไม่ได้มีเฉพาะในป่า แต่รวมถึงในผืนดิน บางที่ถูกปรับเป็นเหมือง เพื่อขุดหาแร่ต่างๆ หรือเพื่อสร้างฐานรากของสิ่งก่อสร้าง ผืนน้ำ ที่เราขุดเจาะและสร้างสิ่งใหม่ลงไปแทน
ในขั้นตอนการก่อสร้างเหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดการทำลายล้างระบบนิเวศดั้งเดิมในบริเวณนั้น และก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างแก่บริเวณโดยรอบนั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่เราไม่ได้คำนึงถึง และคาดไม่ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา "การกระทำของคน" ทำให้สัตว์ต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ใช้ชีวิตแบบนิวนอมอล เพื่อให้มีชีวิตรอดในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
สิทธิ ความเท่าเทียม
ระบบนิเวศในธรรมชาติมีความซับซ้อนมาก และสัตว์ป่าแต่ละชนิด ก็มีพื้นที่อยู่อาศัยและหากินแตกต่างกัน การเข้าไปก่อสร้างสิ่งต่างๆ ของคน ทำให้ "บ้าน" และพื้นที่หาอาหารของสัตว์ป่าเหล่านั้นเสียหาย ลองนึกเปรียบเทียบ หากมีการตัดถนนผ่านเข้ามาในตัวบ้านที่คนอาศัยอยู่ คนจะอาศัยอยู่ในบ้านได้ไหมและอย่างไร คนหลายคนอาจไม่ยอมและออกมาต่อสู้เรียกร้อง แต่ "สถานการณ์นี้" เกิดขึ้นแล้ว กับบ้านของสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นเวลานานนับสิบๆ ปี โดยที่สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถเรียกร้องสิทธิกับใครได้ ทั้งที่ป่าไม้ ผืนดิน ผืนน้ำ เป็นบ้านของพวกเขามาก่อนที่คนอย่างพวกเราจะแอบอ้างกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเสียอีก เรามักเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพในเรื่องต่างๆ กรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของจากคนด้วยกัน แต่เราลืมที่จะให้สิทธิเหล่านั้น กับต้นไม้และสัตว์ที่เรารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเขาด้วย
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ใครทำสิ่งใดไว้ จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม จักต้องรับผลแห่งกรรมนั้น ในสถานการณ์โควิด ที่เกิดขึ้นรอบโลกทุกวันนี้ เราเห็นว่าคนกำลังรับผลแห่งกรรมที่เคยทำไว้กับธรรมชาติในอดีต และธรรมชาติกำลังสู้กับเรา โดยส่งเชื้อไวรัสมาเป็นทหารด่านหน้า จำนวนคนติดเชื้อและสูญเสียที่เกิดขี้นรายวัน ก็ไม่ต่างกับจำนวนของต้นไม้และสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ต้องติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันจากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของคน เพียงแต่ต้นไม้และสัตว์ ไม่มีสื่อเป็นของตนเองอย่างคน และไม่ได้รายงานให้คนรู้เท่านั้น
การที่คนต้องถูกกักตัว กักบริเวณออกไปไหนไม่ได้ ตัดการติดต่อทางกายภาพกับส่วนอิ่นๆ ใช้ชีวิตลำบากเพื่อเอาชีวิตรอด ช่างเหมือนกับภาพของ ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ที่ถูกคนกักบริเวณให้อยู่แต่ในเขตแดนต่างๆ ที่คนสร้างขึ้น ทั้งหนองน้ำ ทั้งป่าไม้ที่เว้าแหว่ง ทะเลแม่น้ำที่ถูกถมเปลี่ยนเส้นทาง บ้างก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด บ้างก็รอวันตายในดินแดนที่เคยเป็นบ้านเกิดซึ่งบัดนี้กลายเป็นแดนประหารไปเสียแล้ว
"สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่เห็นได้ด้วยใจ" (สุนัขจิ้งจอกบอกเจ้าชายน้อย)
เราเศร้าใจทุกครั้งที่ได้เห็นภาพแบบนี้
-ช้างบุกเข้าสวนชาวบ้านเพื่อหาอาหาร ทั้งที่จริง ที่ตรงนั้น อาจเป็นพื้นที่หากินของช้างมาก่อนที่ชาวบ้านจะเข้าไปทำมาหากิน
-สัตว์ถูกรถชนตายขณะข้ามถนนในเขตอุทยาน
-พื้นที่ที่เคยเป็นจุดแวะพักระหว่างทาง ของสัตว์อพยพย้ายถิ่นตามฤดูกาล ถูกปรับเปลี่ยนเป็นโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสูง หรือ กลายเป็นที่ที่ถูกจับจองเพื่อการล่าสัตว์
-แหล่งน้ำตามธรรมชาติถูกถม ป่าไม้ถูกตัด ผืนดินถูกขุดเพื่อการก่อสร้าง
-ตึกร้างมากมาย กว่าตึกจะถูกสร้างขึ้นมาได้ ต้องขุดทำลายระบบนิเวศในดินบริเวณนั้นเพื่อวางเสาเข็ม ยิ่งตึกใหญ่แค่ไหน ก็ทำลายระบบนิเวศมากเท่านั้น ต้องขุดทำเหมืองเพื่อผลิตเหล็กเส้น ต้องระเบิดภูเขาและใช้พลังงานความร้อนมหาศาลเพื่อผลิตปูนซีเมนต์ ต้องดูดทรายจากทะเล ต้องตัดต้นไม้และใช้ไม้ ใช้น้ำในการก่อสร้าง แต่แล้วหลายๆ ตึก ก็ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ บางที่ยังไม่เคยมีการใช้งานด้วยซ้ำ ช่างเป็นการก่อสร้างที่ไร้ประโยชน์ ในแง่ของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติอันประเมินค่าไม่ได้ แต่กลับมีค่าเพียงเพื่อสร้างเม็ดเงินและยกระดับฐานะทางสังคม ในการซื้อขายเปลี่ยนมือเท่านั้น (เราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น)
ภาพการก่อสร้างต่างๆ เคยเป็นภาพที่เราเห็นจนชินตา ไม่รู้สึกอะไรเช่นกัน แต่วันหนึ่งเมื่อมุมมองเราเปลี่ยนไป เราก็มองเห็นว่าคนได้ทำอะไรไว้กับธรรมชาติบ้าง แล้วเราก็เห็นภาพแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ภาพที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบ เพราะมีสถานที่ก่อสร้างเกิดขึ้นใหม่ทุกวันเต็มไปหมด ยิ่งเห็นยิ่งหดหู่ใจ ว่าเราไม่สามารถหยุดการทำลายล้างนี้ได้ ตราบใดที่คนยังใส่ใจ และ ให้ค่ากับตัวเลขดัชนีชี้วัดต่างๆ ทางเศรษฐกิจสังคม ที่เอาเรื่องเงินทองผลกำไรเป็นตัวตั้งต้น
บุคคลที่ควรบูชา
"บูชาบุคคลที่ควรบูชา" เป็นข้อหนึ่งในบทสวดมนต์ "มงคลสูตร" ที่ดูเหมือนน่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่กำลังหลงทาง เราเองก็เคยหลงบูชาสิ่งอื่นที่คิดว่าควรบูชามานาน กว่าจะรู้ว่าธรรมชาติสมควรเป็นบุคคลที่ได้รับการบูชา เพราะคอยเลื้ยงดู ประคบประหงมทุกคนไม่มีข้อยกเว้น ให้อากาศหายใจ ให้ข้าว ให้น้ำ แม้กระทั่งคนที่กำลังทำร้ายตนอยู่ทุกวัน แม้เวลานี้ธรรมชาติป่วยหนัก อาการเข้าขั้นโคม่า แต่ก็ยังให้อากาศหายใจ ให้ข้าว ให้น้ำ ทุกคนต่อไปไม่ผัดผ่อน
หากบางคนยังคงหลงทางต่อไป ไม่ตื่นขี้นมามองให้เห็นว่า ธรรมชาติเป็นบุคคลที่ควรบูชา ไม่แคล้วคนหลงทางเหล่านั้นจะเป็นดังคำโบราณว่า "กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่" เพียงแต่ ธรรมชาติถูกฆ่า เพราะหิวชื่อเสียงเงินทองดัชนีเศรษฐกิจ ไม่ใช่ข้าว และการก่อสร้างต่างๆ จะกลายเป็นการขุดหลุมฝังเผ่าพันธุ์ตนเอง เพราะเมื่อไม่มีธรรมชาติ ก็ไม่มีอากาศ ไม่มีข้าว ไม่มีน้ำ ไม่มีคนอีกต่อไป สิ่งใดกันแน่ ที่มีความสำคัญกับชีวิตของคน
ไม่มีธรรมชาติ ไม่มีคน แต่ ไม่มีคน มีธรรมชาติ
โควิดจะเป็นกลยุทธ์ที่ธรรมชาติใช้กระตุกเดือนคนให้ตื่นขึ้นได้หรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้ และตัองคอยดูต่อไป เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามเหตุและปัจจัยเป็นธรรมดา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in