เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Unexpected JourneyVaSiMo
Life Below Zero (4) : นั่งรถไฟไป Sapporo Part 2
  • ออกมาจากสถานีโอโดริเพื่อหาข้าวกลางวันทาน แต่คนเยอะมากกกกก เยอะทุกร้าน จนขี้เกียจจะต่อคิว
    เลยตัดสินใจซื้อขนมปังมานั่งกินหลบหนาวก่อนออกจากสถานีแทนเพราะเวลามีน้อย
    บ่ายนี้ตั้งใจจะไปมหาวิทยาลัยฮอกไกโดก่อนเพราะอยู่ไกลกว่า แล้วค่อยไปศาลาว่าการเมืองเก่า
    ตามทางเดินผ่านขากลับ แต่ตอนเดินดันผ่านศาลาว่าการเก่าแล้วอยากแวะเลยเพราะสวย 5555 
    เดี๋ยวค่อยไปมหาลัยละกันนะ
    ระหว่างทางเดินก็นึกว่าโซนเข้าเมืองแล้วจะเดินง่าย มีคนเคลียร์หิมะให้....ซะที่ไหน ลื่นกว่าที่โอบิฮิโระอีกเพราะอุ่นกว่า หิมะละลายเร็ว จากปุยๆก็กลายเป็นน้ำแข็งลื่นๆตลอดทาง
    แต่ที่นี่มีถุงทรายไว้เทพื้นถ้ามันลื่นมากๆ เพื่อหวังจะสร้างแรงเสียดทานให้มากขึ้น
    เทกันจนถนนดำไปหมด แต่ไม่รู้สึกว่ามันช่วยเท่าไหร่นะ
    ทรายอยู่ในตู้ตามทางข้ามถนน

    เดินทาง Google Map เพื่อนรักมาไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่ก็เจอศาลาว่าการเมืองเก่าฮอกไกโด
    หรือ Akarenga (ตึก "อิฐแดง") 

    สีแดงสวยตัดกับหิมะสีขาวในช่วงนี้มาก ประหนึ่งเจ้าหญิง Snow white

    ที่นี่ถ่ายรูปยากมากเพราะนักท่องเที่ยวเยอะ และเป็นนักท่องเที่ยวที่เอาชุดมาแบบถ่ายแฟชั่นมากลุ่มใหญ่ ยืนมุมเดิม จุดที่สวยที่สุด ยืนนานมากไม่สนใจใคร ....ใช่แล้ว นักท่องเที่ยวเพื่อนร่วมชาตินั่นเอง

    ข้างในตึกเป็นพิพิธภัณฑ์ เข้าฟรี เข้าห้องน้ำก็ฟรี ไฮไลท์คือห้องผู้ว่าการ แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา
    เพราะรู้สึกเฉยๆ ห้องเล็ก ค่อนข้างโทรม ที่ฝ้าเพดานจรดฝาผนังมีรอยน้ำซึมขนาดใหญ่
    อยากให้ได้งบมาซ่อมมากๆ เสียดายเพราะตึกมันเก่าแล้ว 
    (เห็นแล้วนึกถึงที่วังพญาไท แต่ที่นั่นรอยเยอะกว่านี้อีก แต่ตอนที่ไปก็หลายปีแล้วไม่รู้ได้ซ่อมบ้างรึยัง)

    คนที่เข้าไปดูนิทรรศการในห้องต่างๆมีน้อย แต่จริงๆมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเยอะนะ
    บางห้องมีคู่มือภาษาอังกฤษให้ด้วย แต่จริงๆมีหลายภาษา ทั้งจีน เกาหลี ไทย  ตึกมี 2 ชั้น
    มีห้องนิทรรศการประมาณ 6-7 ห้อง  เช่น ห้องนิทรรการการสร้างอาคารนี้ (ห้องนี้มีคู่มือไกด์หลายภาษา)
    ห้องประวัติศาสตร์ฮอกไกโด ห้องความสัมพันธ์ฮอกไดโดกับต่างประเทศ ห้องของดีประจำเมือง 

    ตึกนี้สร้างเสร็จในปี 1888 แบบอเมริกัน-บาโรค โดยที่ปรึกษาชาวอเมริกัน
    คือว่า ฮอกไกโดถือว่าเป็นเมืองใหม่ของญี่ปุ่น การพัฒนาจริงจังเริ่มในสมัยเมจิ (สมัย ร.5) ถือว่าช้ากว่า
    ที่อื่นๆ ฮอกไกโดเป็นของชาวไอนุมาตลอด มีแค่การค้าขายกับรัฐบาลเอโดะ 
    จนช่วงหลังประมาณปี 1800 จึงเข้ามายึดครองเต็มรูปแบบเพื่อป้องกันการขยายอาณาเขตของรัสเซีย
    หลังมีรัฐบาลเมจิแล้ว รัฐบาลเมจิก็ส่งคนเข้ามาพัฒนาพื้นที่ โดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
    โดยเฉพาะอเมริกา เข้ามาพัฒนาพื้นที่ ทำการเกษตร ปศุสัตว์ ป่าไม้ เหมือง พัฒนาเมืองและการศึกษา กลุ่มคนของรัฐบาลเมจิที่เข้ามาในฮอกไกโดเพื่อบุกเบิกพื้นที่นี้ เรียกว่า  
    The Hokkaido Development Commission โดยก่อนนี้พื้นที่ฮอกไกโดเดิมตั้งแต่สมัยเอโดะ
    ถูกเรียกว่า Ezo แปลว่า ชาวต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของชาวไอนุนั่นเอง 
    (แต่ตอนนี้สัตว์พื้นที่ของฮอกไกโด เช่น กวาง กระรอก หมาจิ้งจอกแดง ยังคงมี Ezo นำหน้าชื่ออยู่)
    แต่พอรัฐบาลเมจิเข้ามาปกครองก็เปลี่ยนชื่อเป็น ฮอกไกโด
    สัญลักษณ์ดาวแดง(บนพื้นสีน้ำเงิน) ที่เป็นสัญลักษณ์ของหลายๆอย่างในซัปโปโร ( เช่น ยี่ห้อเบียร์ ) 
    คือ สัญลักษณ์ของ Development Commission ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่หมายถึงดาวเหนือ 
    ที่นำทางนักเดินเรือให้ขึ้นเหนือตามดวงดาว ซึ่ง Development Commission มีแผน 10 ปี
    ในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ฮอกไกโด เพื่อทำอุตสาหกรรมต่างๆตามแบบตะวันตก รวมทั้งการนำชาวญี่ปุ่นจากส่วนอื่นของประเทศเข้ามาตั้งรกรากใหม่ในฮอกไกโดด้วย
    โดยบุคคลสำคัญหนึ่งใน Development Commission ของฮอกไกโดก็คือ William S. Clark
    ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮอกไกโดนั่นเอง
    ตุ๊กตาสมัยโจมงที่พบทางใต้ของเกาะในห้องประวัติศาสตร์
    เสื้อผ้าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (เหมือนในละครเลย)
    น้องกวางเอโสะ และ จุดจบของน้องบางตัวอยู่ในกระป๋อง 
    (เนื้อกวางรู้สึกว่าไม่แปลก เพราะที่นครปฐมก็มีฟาร์มกวางเลี้ยงเอาเนื้อ ...แต่มันมีหนักกว่านี้อีก)
    มีส่วนที่ใช้เป็นห้องประชุมของเมืองด้วย JAXA เลยแฮะ


    โดยรวมเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองที่โอเคเลย ห้องน้ำชั้น 2 สะอาดดี ชั้นล่างใกล้ทางออกมาร้านของที่ระลึกด้วย
    (แต่ไม่ได้แวะเพราะรีบ) วันที่ไปมีคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้งในตึกด้วย น่ารักดี

    ข้างหน้าตึกมีสระเป็ดน้อย ไม่หนาวกันเหรอ สระเป็นน้ำแข็งขนาดนี้

    เสร็จจากศาลาว่าการฯ ก็เปิดกูเกิ้ลแมปหาทางไปมหาลัยกันต่อ เดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
    ก็เจอประตูเล็กของมหาลัย ข้างในใหญ่มากๆ

    เดินไปเรื่อยๆก็เจอพื้นที่พักผ่อนของนักศึกษา ซึ่งถึงจะหิมะเต็มขนาดนี้ก็น่าลงไปดู
    มีทัวร์จีนเยอะเลย มช.คงประมาณนี้รึเปล่าก็ไม่รู้

    ข้างๆลำธารในสวนมีน้องคนจีนนั่งปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ เห็นน้องกำลังสนุกว่าจะถ่ายรูป 
    น้องก็มอง ไม่ถ่ายก็ได้จ้ะ  เวลาน้อย รีบเดินรีบถ่ายรูป แล้วหาพิพิธภัณฑ์ให้เจอ

    ดูจะมีตึกเก่าๆสวยๆหลายหลังเลย
    เลี้ยวมาสวัสดีอาจารย์ W.S. Clark หน่อย

    จริงๆที่เราอยากมาม.ฮอกไกโด ไม่ใช่แค่อยากจะมาพิพิธภัณฑ์ฟรี
    สมัยมัธยมมีการ์ตูนที่ชอบมาเรื่องนึง ก็คือ "ยุ่งชะมัดเป็นสัตวแพทย์"

    พึ่งรู้วันนี้ว่าชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Doubutsu no Oisha san
    เห็นลายเส้นเป็นการ์ตูนสาวน้อยตาหวาน แต่ผิด! 
    ลายเส้นนั้นหลอกมาก เพราะมันคือการ์ตูนตลกหน้าตาย
    เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของนักศึกษาสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัย H 
    ซึ่งก็คือม.ฮอกไกโดนี่เอง ที่ชอบเรื่องนี้มาก เพราะคาแรกเตอร์ตัวละครแต่ละตัวก็ขำ
    ตั้งแต่โจบิ น้องไซบีเรียนฮัสกี้หน้าโหด
    มุกชื่อพระเอกของเรื่องซึ่งคนรอบตัวไม่เคยเรียกถูกเลยเพราะคันจิอ่านยาก
    เพื่อนสนิทที่เรียนสัตวแพทย์ด้วยกันแต่กลัวหนู อาจารย์เพี้ยนๆที่บ้าแอฟริกา อาจารย์ที่รักม้า
    รุ่นพี่ป.เอกความรู้สึกช้า มุกเรื่องในมหาวิทยาลัยก็ตลกทั้งนั้นอย่าง ตอนข้อสอบไม่ได้ก็ให้เขียนวิธีทำแกงกะหรี่ให้อร่อยแล้วจะได้คะแนน อยากเลี้ยงเหยี่ยวแต่ได้เลี้ยงแค่ไก่เลยฝึกแบบเหยี่ยวเลยได้ไก่โหดๆมางี้

     มุกเงียบๆแบบนี้เป็นต้น

    ดังนั้นเมื่อรู้จักมหาวิทยาลัยนี้จากการ์ตูนมาตั้งนานแล้วก็อยากจะมาที่จริงๆซักหน่อย
    แต่ก็ไม่มีเวลาไปคณะสัตวแพทย์เพราะมหาลัยกว้างมากๆ
    เลยต้องรีบตรงดิ่งไปพิพิธภัณฑ์มหาลัยเลยดีกว่า เดินมาไม่ไกลจากรูปปั้นอาจารย์ก็ถึง

    พอมาถึงหน้าตึกแบตกล้องใหญ่ก็หมดทันที
    พิพิธภัณฑ์เข้าฟรี มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกปีกซ้ายเป็นนิทรรศการชั่วคราวกับส่วนแนะนำมหาวิทยาลัย
    อีกขวาเป็นคาเฟ่ เขาบอกว่าไอติมอร่อย (แต่ไม่มีเวลากินอีกแล้ว) แล้วก็ร้านของฝาก
    เป็นพวกสมุดโปสการ์ด ปากกา ของที่ระลึกเกี่ยวกับมหาลัย ซึ่งหลายอันใช้โลโก้เป็นรูปปั้น อ.Clark
    เข้ามาที่ฟร้อนท์แล้วเจอกองแบบสอบถาม ที่มีป้ายเขียนว่าทำแล้วจะได้ของที่ระลึกฟรี
    ช้าอยู่ไย จับดินสอมาเขียนสิคะ!!
    ซึ่งก็ได้เป็นซองโปสการ์ดมา ข้างในมีที่คั่นหนังสือ กับสบู่แผ่นที่ไม่กล้าใช้ เพราะแอบเสียดาย
    ชั้น 2 เป็นชั้นจัดแสดงคณะต่างๆในมหาลัย
    แต่ที่ตื่นตาตื่นใจมาก คงเป็นห้องที่เกี่ยวกับสัตว์
    เดินๆในห้องที่ข้างๆเป็นชั้นเก็บของ อยู่ๆก็มีหมีโผล่มา งงว่าตั้งใจวางหรือจะเอาไปเก็บก็ไม่รู้ 55555
    ไม่ได้ไปดูโครงกระดูกแมมมอธที่คุชิโระ เลยต้องมาดูหุ่นจำลองที่นี่แทน

    ส่วนห้องนี้ตื่นตาตื่นใจสุด
    เสียดายที่ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ ไม่งั้นคงต้องอยู่นานกว่านี้
    คณะวิศวกรรมอวกาศก็มี
    ไม่ได้มีแค่คณะทางสายวิทย์ คณะมนุษย์ก็มีด้วย มีแนะนำแทบทุกคณะ ถ้าเด็กๆมาคงชอบ
    เราประทับใจพิพิธภัณฑ์นี้มากเลยรู้สึกสนุก แม้จะมีอะไรที่อ่านออกจริงๆนอยมาก
    เหมือนมางาน Open House มหาลัย

    เราขึ้นไปถึงชั้น 3 
    เป็นชั้นเก็บเอกสารสำหรับค้นคว้า เลยไม่ค่อยมีใครขึ้นมา
    แต่เรามา ...เข้าห้องน้ำค่ะ 
    เนื่องจากไม่ค่อยมีคนมาใช้ล่ะมั้งเลยสะอาดสุดๆ แต่ไฮโซมากๆด้วย นี่ห้องน้ำในพิพิธภัณฑ์ฟรีจริงๆเหรอ ประทับใจสุดๆเลย ^_^

    เข้าห้องน้ำเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางต่อ เป้าหมายสุดท้ายคือไปซื้อของฝากที่ทานุกิโคจิ
    แต่ หมวกหาย! ไปหล่นตรงไหนกัน? ที่แน่ๆคือต้องหล่นในตึกนี้ชัวร์
    ทั้งทริปเราทำหมวกตกบ่อยมาก ต้องมีคนคอยทักคอยเตือน เก็บให้ตลอด
    ทีแรกคิดในใจว่าถ้าหายคงต้องหาซื้อใหม่เพราะมันหนาว คือเสื้อก็มีฮู้ดแต่มันบางไป
    ลงมาที่ฟร้อนท์เลยลองถามดู ปรากฎว่าเขาเก็บไว้ให้ หมวกตกอยู่ที่ชั้น 1 จริงๆ
    โชคดีไปเกือบได้อยู่ญี่ปุ่นถาวรแล้วนะหมวก
    มหาลัยสวยน่าเรียนน่าอยู่มากจริงๆ ถ้าเป็นฤดูอื่นก็คงสวยเหมือนกัน เสียดายที่เวลาน้อย

    ได้หมวกคืนแล้วก็รีบวิ่งหาสถานีรถไฟ มีเวลาหาของฝากที่ทานุกิโคจิแค่ 1 ชม.
    เลยได้แวะแค่ดองกี้ ซึ่งมีตั้ง 5 ช้้น หลงไปหลงมา แวะหาเซรั่มขวดแดงในตำนานให้ท่านแม่
    เลยไม่ได้ไปซอยอื่น หรือชมบรรยากาศใดเลย ชะโงกช็อปโดยแท้
    ไม่ได้เห็นรถรางเลย เสียดาย
    ขากลับยืนหลงทิศหาทางลงใต้ดินไม่เจอ ก็มีนักท่องเที่ยวมาถามทาง
    แต่เอิ่ม หน้าหนูเหมือนคนรู้ทางแถวนี้เหรอคะพี่ หนูก็ดูแผนที่อยู่เหมือนกัน แถมรีบด้วยจ้า เดี๋ยวตกรถไฟ
    รีบกลับมาก่อนเวลานัดกันไว้ 6 โมงเย็นที่สถานีนิดหน่อย
    ซื้อข้าวกล่องแล้วรีบขึ้นไปชานชาลา แบบเฉียดฉิว
    ลาก่อนเมืองใหญ่ ต้องกลับบ้านนอกแล้วล่ะ T_T
    กลับไปถึงโอบิฮิโระประมาณ 3 ทุ่ม แต่หิมะเริ่มตกแล้ว โชคดีที่ไม่กลับดึกกว่านี้
    ----------------------------------------------------------
    กลับมาโอบิฮิโระแล้ว ยังเหลือวันหยุดอีก 1 วัน
    เพื่อไปสนามม้าบังเอย์ แล้วจบที่เทศกาลหิมะโอบิฮิโระวันสุดท้ายค่ะ

    อ้างอิงข้อมูลประวัติศาสตร์ฮอกไกโด

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in