ออกมาจากสถานีโอโดริเพื่อหาข้าวกลางวันทาน แต่คนเยอะมากกกกก เยอะทุกร้าน จนขี้เกียจจะต่อคิว
เลยตัดสินใจซื้อขนมปังมานั่งกินหลบหนาวก่อนออกจากสถานีแทนเพราะเวลามีน้อย
บ่ายนี้ตั้งใจจะไปมหาวิทยาลัยฮอกไกโดก่อนเพราะอยู่ไกลกว่า แล้วค่อยไปศาลาว่าการเมืองเก่า
ตามทางเดินผ่านขากลับ แต่ตอนเดินดันผ่านศาลาว่าการเก่าแล้วอยากแวะเลยเพราะสวย 5555
เดี๋ยวค่อยไปมหาลัยละกันนะ
ระหว่างทางเดินก็นึกว่าโซนเข้าเมืองแล้วจะเดินง่าย มีคนเคลียร์หิมะให้....ซะที่ไหน ลื่นกว่าที่โอบิฮิโระอีกเพราะอุ่นกว่า หิมะละลายเร็ว จากปุยๆก็กลายเป็นน้ำแข็งลื่นๆตลอดทาง
แต่ที่นี่มีถุงทรายไว้เทพื้นถ้ามันลื่นมากๆ เพื่อหวังจะสร้างแรงเสียดทานให้มากขึ้น
เทกันจนถนนดำไปหมด แต่ไม่รู้สึกว่ามันช่วยเท่าไหร่นะ
ทรายอยู่ในตู้ตามทางข้ามถนน
เดินทาง Google Map เพื่อนรักมาไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่ก็เจอศาลาว่าการเมืองเก่าฮอกไกโด
หรือ Akarenga (ตึก "อิฐแดง")
สีแดงสวยตัดกับหิมะสีขาวในช่วงนี้มาก ประหนึ่งเจ้าหญิง Snow white
ที่นี่ถ่ายรูปยากมากเพราะนักท่องเที่ยวเยอะ และเป็นนักท่องเที่ยวที่เอาชุดมาแบบถ่ายแฟชั่นมากลุ่มใหญ่ ยืนมุมเดิม จุดที่สวยที่สุด ยืนนานมากไม่สนใจใคร ....ใช่แล้ว นักท่องเที่ยวเพื่อนร่วมชาตินั่นเอง
ข้างในตึกเป็นพิพิธภัณฑ์ เข้าฟรี เข้าห้องน้ำก็ฟรี ไฮไลท์คือห้องผู้ว่าการ แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา
เพราะรู้สึกเฉยๆ ห้องเล็ก ค่อนข้างโทรม ที่ฝ้าเพดานจรดฝาผนังมีรอยน้ำซึมขนาดใหญ่
อยากให้ได้งบมาซ่อมมากๆ เสียดายเพราะตึกมันเก่าแล้ว
(เห็นแล้วนึกถึงที่วังพญาไท แต่ที่นั่นรอยเยอะกว่านี้อีก แต่ตอนที่ไปก็หลายปีแล้วไม่รู้ได้ซ่อมบ้างรึยัง)
คนที่เข้าไปดูนิทรรศการในห้องต่างๆมีน้อย แต่จริงๆมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเยอะนะ
บางห้องมีคู่มือภาษาอังกฤษให้ด้วย แต่จริงๆมีหลายภาษา ทั้งจีน เกาหลี ไทย ตึกมี 2 ชั้น
มีห้องนิทรรศการประมาณ 6-7 ห้อง เช่น ห้องนิทรรการการสร้างอาคารนี้ (ห้องนี้มีคู่มือไกด์หลายภาษา)
ห้องประวัติศาสตร์ฮอกไกโด ห้องความสัมพันธ์ฮอกไดโดกับต่างประเทศ ห้องของดีประจำเมือง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/42298725.jpg)
ตึกนี้สร้างเสร็จในปี 1888 แบบอเมริกัน-บาโรค โดยที่ปรึกษาชาวอเมริกัน
คือว่า ฮอกไกโดถือว่าเป็นเมืองใหม่ของญี่ปุ่น การพัฒนาจริงจังเริ่มในสมัยเมจิ (สมัย ร.5) ถือว่าช้ากว่า
ที่อื่นๆ ฮอกไกโดเป็นของชาวไอนุมาตลอด มีแค่การค้าขายกับรัฐบาลเอโดะ
จนช่วงหลังประมาณปี 1800 จึงเข้ามายึดครองเต็มรูปแบบเพื่อป้องกันการขยายอาณาเขตของรัสเซีย
หลังมีรัฐบาลเมจิแล้ว รัฐบาลเมจิก็ส่งคนเข้ามาพัฒนาพื้นที่ โดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะอเมริกา เข้ามาพัฒนาพื้นที่ ทำการเกษตร ปศุสัตว์ ป่าไม้ เหมือง พัฒนาเมืองและการศึกษา กลุ่มคนของรัฐบาลเมจิที่เข้ามาในฮอกไกโดเพื่อบุกเบิกพื้นที่นี้ เรียกว่า
The Hokkaido Development Commission โดยก่อนนี้พื้นที่ฮอกไกโดเดิมตั้งแต่สมัยเอโดะ
ถูกเรียกว่า Ezo แปลว่า ชาวต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของชาวไอนุนั่นเอง
(แต่ตอนนี้สัตว์พื้นที่ของฮอกไกโด เช่น กวาง กระรอก หมาจิ้งจอกแดง ยังคงมี Ezo นำหน้าชื่ออยู่)
แต่พอรัฐบาลเมจิเข้ามาปกครองก็เปลี่ยนชื่อเป็น ฮอกไกโด
สัญลักษณ์ดาวแดง(บนพื้นสีน้ำเงิน) ที่เป็นสัญลักษณ์ของหลายๆอย่างในซัปโปโร ( เช่น ยี่ห้อเบียร์ )
คือ สัญลักษณ์ของ Development Commission ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่หมายถึงดาวเหนือ
ที่นำทางนักเดินเรือให้ขึ้นเหนือตามดวงดาว ซึ่ง Development Commission มีแผน 10 ปี
ในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ฮอกไกโด เพื่อทำอุตสาหกรรมต่างๆตามแบบตะวันตก รวมทั้งการนำชาวญี่ปุ่นจากส่วนอื่นของประเทศเข้ามาตั้งรกรากใหม่ในฮอกไกโดด้วย
โดยบุคคลสำคัญหนึ่งใน Development Commission ของฮอกไกโดก็คือ William S. Clark
ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮอกไกโดนั่นเอง
ตุ๊กตาสมัยโจมงที่พบทางใต้ของเกาะในห้องประวัติศาสตร์
เสื้อผ้าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (เหมือนในละครเลย)
น้องกวางเอโสะ และ จุดจบของน้องบางตัวอยู่ในกระป๋อง
(เนื้อกวางรู้สึกว่าไม่แปลก เพราะที่นครปฐมก็มีฟาร์มกวางเลี้ยงเอาเนื้อ ...แต่มันมีหนักกว่านี้อีก)
มีส่วนที่ใช้เป็นห้องประชุมของเมืองด้วย JAXA เลยแฮะ
โดยรวมเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองที่โอเคเลย ห้องน้ำชั้น 2 สะอาดดี ชั้นล่างใกล้ทางออกมาร้านของที่ระลึกด้วย
(แต่ไม่ได้แวะเพราะรีบ) วันที่ไปมีคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้งในตึกด้วย น่ารักดี
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/8e378610.jpg)
ข้างหน้าตึกมีสระเป็ดน้อย ไม่หนาวกันเหรอ สระเป็นน้ำแข็งขนาดนี้
เสร็จจากศาลาว่าการฯ ก็เปิดกูเกิ้ลแมปหาทางไปมหาลัยกันต่อ เดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
ก็เจอประตูเล็กของมหาลัย ข้างในใหญ่มากๆ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/a1510b3c.jpg)
เดินไปเรื่อยๆก็เจอพื้นที่พักผ่อนของนักศึกษา ซึ่งถึงจะหิมะเต็มขนาดนี้ก็น่าลงไปดู
มีทัวร์จีนเยอะเลย มช.คงประมาณนี้รึเปล่าก็ไม่รู้
ข้างๆลำธารในสวนมีน้องคนจีนนั่งปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ เห็นน้องกำลังสนุกว่าจะถ่ายรูป
น้องก็มอง ไม่ถ่ายก็ได้จ้ะ เวลาน้อย รีบเดินรีบถ่ายรูป แล้วหาพิพิธภัณฑ์ให้เจอ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/07c6d732.jpg)
ดูจะมีตึกเก่าๆสวยๆหลายหลังเลย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/a71c067a.jpg)
เลี้ยวมาสวัสดีอาจารย์ W.S. Clark หน่อย
จริงๆที่เราอยากมาม.ฮอกไกโด ไม่ใช่แค่อยากจะมาพิพิธภัณฑ์ฟรี
สมัยมัธยมมีการ์ตูนที่ชอบมาเรื่องนึง ก็คือ "ยุ่งชะมัดเป็นสัตวแพทย์"
พึ่งรู้วันนี้ว่าชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Doubutsu no Oisha san
เห็นลายเส้นเป็นการ์ตูนสาวน้อยตาหวาน แต่ผิด!
ลายเส้นนั้นหลอกมาก เพราะมันคือการ์ตูนตลกหน้าตาย
เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของนักศึกษาสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัย H
ซึ่งก็คือม.ฮอกไกโดนี่เอง ที่ชอบเรื่องนี้มาก เพราะคาแรกเตอร์ตัวละครแต่ละตัวก็ขำ
ตั้งแต่โจบิ น้องไซบีเรียนฮัสกี้หน้าโหด
มุกชื่อพระเอกของเรื่องซึ่งคนรอบตัวไม่เคยเรียกถูกเลยเพราะคันจิอ่านยาก
เพื่อนสนิทที่เรียนสัตวแพทย์ด้วยกันแต่กลัวหนู อาจารย์เพี้ยนๆที่บ้าแอฟริกา อาจารย์ที่รักม้า
รุ่นพี่ป.เอกความรู้สึกช้า มุกเรื่องในมหาวิทยาลัยก็ตลกทั้งนั้นอย่าง ตอนข้อสอบไม่ได้ก็ให้เขียนวิธีทำแกงกะหรี่ให้อร่อยแล้วจะได้คะแนน อยากเลี้ยงเหยี่ยวแต่ได้เลี้ยงแค่ไก่เลยฝึกแบบเหยี่ยวเลยได้ไก่โหดๆมางี้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/6b1717fe.jpg)
มุกเงียบๆแบบนี้เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อรู้จักมหาวิทยาลัยนี้จากการ์ตูนมาตั้งนานแล้วก็อยากจะมาที่จริงๆซักหน่อย
แต่ก็ไม่มีเวลาไปคณะสัตวแพทย์เพราะมหาลัยกว้างมากๆ
เลยต้องรีบตรงดิ่งไปพิพิธภัณฑ์มหาลัยเลยดีกว่า เดินมาไม่ไกลจากรูปปั้นอาจารย์ก็ถึง
พอมาถึงหน้าตึกแบตกล้องใหญ่ก็หมดทันที
พิพิธภัณฑ์เข้าฟรี มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกปีกซ้ายเป็นนิทรรศการชั่วคราวกับส่วนแนะนำมหาวิทยาลัย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/5f93b065.jpg)
อีกขวาเป็นคาเฟ่ เขาบอกว่าไอติมอร่อย (แต่ไม่มีเวลากินอีกแล้ว) แล้วก็ร้านของฝาก
เป็นพวกสมุดโปสการ์ด ปากกา ของที่ระลึกเกี่ยวกับมหาลัย ซึ่งหลายอันใช้โลโก้เป็นรูปปั้น อ.Clark
เข้ามาที่ฟร้อนท์แล้วเจอกองแบบสอบถาม ที่มีป้ายเขียนว่าทำแล้วจะได้ของที่ระลึกฟรี
ช้าอยู่ไย จับดินสอมาเขียนสิคะ!!
ซึ่งก็ได้เป็นซองโปสการ์ดมา ข้างในมีที่คั่นหนังสือ กับสบู่แผ่นที่ไม่กล้าใช้ เพราะแอบเสียดาย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/9cf2beae.jpg)
ชั้น 2 เป็นชั้นจัดแสดงคณะต่างๆในมหาลัย
แต่ที่ตื่นตาตื่นใจมาก คงเป็นห้องที่เกี่ยวกับสัตว์
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/d16e2f87.jpg)
เดินๆในห้องที่ข้างๆเป็นชั้นเก็บของ อยู่ๆก็มีหมีโผล่มา งงว่าตั้งใจวางหรือจะเอาไปเก็บก็ไม่รู้ 55555
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/d6e1f0e9.jpg)
ไม่ได้ไปดูโครงกระดูกแมมมอธที่คุชิโระ เลยต้องมาดูหุ่นจำลองที่นี่แทน
ส่วนห้องนี้ตื่นตาตื่นใจสุด
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/4660311f.jpg)
เสียดายที่ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ ไม่งั้นคงต้องอยู่นานกว่านี้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/626f72a3.jpg)
คณะวิศวกรรมอวกาศก็มี
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/2667c2ed.jpg)
ไม่ได้มีแค่คณะทางสายวิทย์ คณะมนุษย์ก็มีด้วย มีแนะนำแทบทุกคณะ ถ้าเด็กๆมาคงชอบ
เราประทับใจพิพิธภัณฑ์นี้มากเลยรู้สึกสนุก แม้จะมีอะไรที่อ่านออกจริงๆนอยมาก
เหมือนมางาน Open House มหาลัย
เราขึ้นไปถึงชั้น 3
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/a94990ae.jpg)
เป็นชั้นเก็บเอกสารสำหรับค้นคว้า เลยไม่ค่อยมีใครขึ้นมา
แต่เรามา ...เข้าห้องน้ำค่ะ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/3abb0d28.jpg)
เนื่องจากไม่ค่อยมีคนมาใช้ล่ะมั้งเลยสะอาดสุดๆ แต่ไฮโซมากๆด้วย นี่ห้องน้ำในพิพิธภัณฑ์ฟรีจริงๆเหรอ ประทับใจสุดๆเลย ^_^
เข้าห้องน้ำเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางต่อ เป้าหมายสุดท้ายคือไปซื้อของฝากที่ทานุกิโคจิ
แต่ หมวกหาย! ไปหล่นตรงไหนกัน? ที่แน่ๆคือต้องหล่นในตึกนี้ชัวร์
ทั้งทริปเราทำหมวกตกบ่อยมาก ต้องมีคนคอยทักคอยเตือน เก็บให้ตลอด
ทีแรกคิดในใจว่าถ้าหายคงต้องหาซื้อใหม่เพราะมันหนาว คือเสื้อก็มีฮู้ดแต่มันบางไป
ลงมาที่ฟร้อนท์เลยลองถามดู ปรากฎว่าเขาเก็บไว้ให้ หมวกตกอยู่ที่ชั้น 1 จริงๆ
โชคดีไปเกือบได้อยู่ญี่ปุ่นถาวรแล้วนะหมวก
มหาลัยสวยน่าเรียนน่าอยู่มากจริงๆ ถ้าเป็นฤดูอื่นก็คงสวยเหมือนกัน เสียดายที่เวลาน้อย
ได้หมวกคืนแล้วก็รีบวิ่งหาสถานีรถไฟ มีเวลาหาของฝากที่ทานุกิโคจิแค่ 1 ชม.
เลยได้แวะแค่ดองกี้ ซึ่งมีตั้ง 5 ช้้น หลงไปหลงมา แวะหาเซรั่มขวดแดงในตำนานให้ท่านแม่
เลยไม่ได้ไปซอยอื่น หรือชมบรรยากาศใดเลย ชะโงกช็อปโดยแท้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/e768ac7e.jpg)
ไม่ได้เห็นรถรางเลย เสียดาย
ขากลับยืนหลงทิศหาทางลงใต้ดินไม่เจอ ก็มีนักท่องเที่ยวมาถามทาง
แต่เอิ่ม หน้าหนูเหมือนคนรู้ทางแถวนี้เหรอคะพี่ หนูก็ดูแผนที่อยู่เหมือนกัน แถมรีบด้วยจ้า เดี๋ยวตกรถไฟ
รีบกลับมาก่อนเวลานัดกันไว้ 6 โมงเย็นที่สถานีนิดหน่อย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/52aa189c.jpg)
ซื้อข้าวกล่องแล้วรีบขึ้นไปชานชาลา แบบเฉียดฉิว
ลาก่อนเมืองใหญ่ ต้องกลับบ้านนอกแล้วล่ะ T_T
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/31/31485/pagegallery/1521365836/37403399.jpg)
กลับไปถึงโอบิฮิโระประมาณ 3 ทุ่ม แต่หิมะเริ่มตกแล้ว โชคดีที่ไม่กลับดึกกว่านี้
----------------------------------------------------------
กลับมาโอบิฮิโระแล้ว ยังเหลือวันหยุดอีก 1 วัน
เพื่อไปสนามม้าบังเอย์ แล้วจบที่เทศกาลหิมะโอบิฮิโระวันสุดท้ายค่ะ
อ้างอิงข้อมูลประวัติศาสตร์ฮอกไกโด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in