เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Unexpected JourneyVaSiMo
Life Below Zero (3) : นั่งรถไฟไป Sapporo Part 1
  • จริงๆวางแผนว่าจะไป Sapporo ในวันที่ 4 ก.พ. เพราะเผื่อได้ผ่านเทศกาลหิมะ แต่งานเทศกาลน้ำแข็ง
    ที่ Obihiro จัดวันสุดท้ายวันที่ 4 แล้วตอนปิดงานจะมีจุดพลุ เลยเปลี่ยนไป Sapporo วันที่ 3 แทน
    ในคณะที่ไปด้วยกัน มีส่วนนึงที่ขอไปค้างคืนที่ Sapporo เพื่อจะได้ไป Otaru และเดินทางด้วยรถบัส 
    เพื่อประหยัดค่ารถไฟ เนื่องจากค่ารถไฟจาก Obihiro ไป Sapporo ไป-กลับประมาณ หมื่นกว่าเยน
    แต่ถึงจะใช้เวลาเท่ากันในกานเดินทางประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง 
    แต่เนื่องจากเราต้องการอิสระในการแวะเที่ยว และขี้เกียจหอบของไปค้างนอกหอ
    รวมทั้งเตรียมค่ารถไฟมาแล้ว เพราะรู้ว่าแพง แต่ยังไงก็ต้องเข้าเมือง ถึงจะมีเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงดี
    (อันนี้ตั๋วขากลับ)
    มีเพื่อนที่จะไปด้วยกันแบบไม่ค้างคืนอีก 2 คน จะได้ช่วยกันหารค่าแท็กซี่จากศูนย์ไปสถานี
    เนื่องจากใช้เวลานาน เราจึงต้องไป Sapporo ด้วยรถไฟเที่ยวแรก รถออก 06.45 น.
    และหอเปิด 7 โมงเช้าในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นจึงต้องของให้ฟร้อนท์จองแท็กซี่ไว้ให้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า
    เพื่อให้มีเวลาซื้อตั๋ว ซึ่งก็โชคดี เพราะพอซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติกันแบบ ไป-กลับ แต่ตั๋วกลับออกมา 3 ใบ
    ซึ่งจริงๆน่าจะออกมา 4 ? ซึ่งงานนี้ก็ต้องไปซื้อตั๋วอีกไปที่เคาน์เตอร์ 
    โชคดีมีคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นระดับสูงไปด้วย ถ้าไปคนเดียวสงสัยจะตกรถตั้งแต่ก่อนไปแล้ว

    ตารางรถไฟสามารถเช็คได้ทางเว็บ JR เวลาและตารางจอดตามสถานีตรงตามที่บอก
    แต่ชานชาลาและชื่อขบวนรถต้องไปเช็คในวันเดินทางอีกที วันนี้จองตั๋วแบบไม่ได้จองที่ล่วงหน้า
    ก็ต้องเดินไปนั่งในโซนที่ไม่ได้ล็อกที่ไว้ สำหรับคนที่จองล่วงหน้า ตู้นั้นจะมีตั๋วล็อกที่ไว้ให้หา ตรงที่นั่งเลย
    ขึ้นรถแล้วก็เอาข้าวกล่องที่หอเตรียมไว้มาด้วย ถ้าแจ้งหอว่าจะขอข้างกล่องเช้า ต้องบอกก่อน 2 วัน
    รอบนี้เราบอกกันทัน ก็เลยได้มากินด้วยฟรี ไม่ต้องซื้อข้าวกล่องที่สถานี 555
    ขนมปังพร้อมเนย (ซึ่งวันแรกๆที่ม่คิดว่ามันคือน้ำสลัด แต่จริงๆคือมาการีน) คาราอาเกะ 3 ชิ้น ชีส น้ำส้ม ไข่ต้ม
    ส้มสด (ตอนนี้กลับมาได้กินส้มเปลือกหนาแบบนี้ ตามพวก Sizzler ก็คิดถึงที่นู่นทุกที) และกล้วยฟิลิปปินส์
    วันนี้ไม่ค่อยมีแดด ผ่านสถานีที่มีสกีรีสอร์ทก็จะมีหิมะตกเรื่อยๆ ตลอดทางก็มองหาสัตว์น้อยข้างทาง
    ซึ่งก็ได้เจอน้องหมาจิ้งจอกพอประมาณ แต่อยู่ไกลเหลือเกิน
    นั่งหลับๆตื่นๆไปเรื่อยๆ ก็ถึง Sapporo ตอน 09.30 น. แล้วนัดเจอกันอีกทีตอน 6 โมงเย็น
    เพื่อขึ้นรถไฟรอบ 6 โมงครึ่งกลับ เผื่ออากาศตอนกลางคืนจะแย่แล้วรถไฟเลท 
    จะได้ไม่ฉุกละหุก จะไดไปถึงก่อนหอปิดตอน 5 ทุ่ม สบายๆ

    เราไปซื้อตั๋วรถใต้ดินแบบ One Day Pass 520 เยน เพราะไม่อยากเสียเวลาซื้อตั๋วทุกรอบที่จะขึ้นรถไฟ
    ที่แรกที่จะไปวันนี้คือ สวนสัตว์มารุยามะ นั่งรถใต้ดินจากสถานี Sapporo ไปเปลี่ยนสายที่สถานี Odori
    ไปลงที่สถานี Maruyama Koen ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เดินออกมาก็ให้ฟีลสวนสัตว์เลย
    เดินออกมาจากสถานี ตามป้ายที่บอกว่าไปสวนสัตว์ ประตู 3

    พอออกมาก็คิดว่าจะนั่งรถเมล์หรือจะเดินผ่านสวนสาธารณะไปดี คิดว่าน่าจะเดินเที่ยวนึงนั่งรถเที่ยวนึง
    เลยตัดสินใจเดินไปแล้วกัน ตามที่เขาบอกว่าเดินไม่เกิน 15 นาที และสวนสวย โอเค เดิน!
    ออกมาจากประตู 3 เลี้ยวขวา ข้ามถนนไปนิดหน่อยก็จะเจอสวนมารุยามะ
    คือสวนก็สวยแหละ แต่ตอนต้นไม้มีใบหรือช่วงใบไม้ร่วงคงสวยกว่านี้แน่ๆ 555
    ที่สวนจะมีทางเลี้ยวขวา ขึ้นไปศาลเจ้าซัปโปโรได้
    เราไม่ได้เดินขึ้นไปจนถึงตัวศาลเจ้าข้างบน ถึงคนจะไม่เยอะและเงียบดี แต่เพราะว่าเวลาน้อย 
    เลยรีบหาทางเดินไปสวนสัตว์ดีกว่า
    ซึ่งหลังจากนั้นก็พบว่า อ้าว ทางเดินไปสวนสัตว์มันเป็นเนิน 55555
    เหนื่อยเลยทีนี้ เพราะต้องลุยหิมะและขึ้นเนินไป 15 นาที
    เดินไปสวนสัตว์พร้อม น้องที่เป็นแฟนกันข้างหน้านั่น กับคุณยาย 1 คน
    พอเดินจนถึงหน้าประตูสวนสัตว์ ตอนซื้อตั๋วคุณยายก็ถามคนขายตั๋วว่า ป้ายรถเมล์อยู่ตรงไหนจ๊ะ
    โห คุณยายถามเหมือนรู้ใจ เหนื่อยใช่มั้ยคะ 55555555555 หนูก็อยากรู้ ขากลับไม่เดินละจ้า ก็เลยได้รู้ว่า ป้ายรถเมล์อยู่ประตูตะวันตก แต่ที่เราอยู่ตอนนี้เป็นประตูใหญ่ โอเค ขากลับจะได้ออกประตูนั้นไปเลย
    จ่ายค่าเข้า 600 เยน
    ไม่รู้เพราะมาแต่เช้า หรือเพราะอะไร แต่คนไม่เยอะ ส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่น
    ที่เจอเยอะก็เป็นครอบครัวพาเด็กๆมา บางบ้านเป็นคุณพ่อฉายเดี่ยวพาลูก 2 คนเที่ยว
    หรือไม่ก็พวกคุณลุงคุณป้าวัยเกษียณ นักท่องเที่ยวพอมีบ้างแต่ไม่เยอะ และไม่น่ารำคาญ
    มีทัวร์จีนเล็กน้อย คนไทยมีบ้าง ส่วนฝรั่งก็สไตล์พกเลนส์อย่างดีมาถ่ายรูปสัตว์เลย

    ไฮไลท์ที่นี่น่าจะเป็นช้างกับหมี ที่ญี่ปุ่นใครๆก็ชอบช้าง ส่วนหมีก็สัตว์ประจำเกาะนี้
    ซึ่งที่นี่ก็มีทั้งหมีสีน้ำตาลของฮอกไกโด แล้วก็หมีขาว รวมถึงสัตว์หิมะๆทั้งหลาย
    แต่เราจะมาดูช้างทำไมกัน แต่ถึงอย่างงั้นก็ดูไม่ได้เพราะโซนช้างปิดซ่อมอยู่
    ที่เราใช้เวลาอยู่นานๆก็จะมีบ่อแมวน้ำ มาพบเพื่อนซักหน่อย
    ไม่รู้ทำไมถึงยืนดูอยู่นาน ซักพักก็ได้ยินคุณพ่อที่อุ้มลูกสาวอยู่ใกล้ๆ 
    (วันที่ไปเจอคุณพ่อที่พาลูกมาเที่ยวโดยไม่มีคุณแม่หลายคนเหมือนกัน)
    น้องชี้แมวน้ำแล้วเรียกว่า แม่ พ่อเลยบอกน้องว่า นั่นไม่ใช่แม่นะลูก น้องก็ยังไม่หยุดเรียกแมวน้ำว่าแม่
    จนคนที่เดินผ่านไปมาก็มีพูดแซวว่า นั่นไม่ใช่แม่หนูนะลูก 555555555

    พอกันที่กรงเพนกวิน
    ก็มีแก๊งลุงป้าวัยเกิน 60 มาเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน
    ลุงป้าพอเห็นเพนกวินน้อยเดินออกมาก็เชียร์ให้น้องลงน้ำ
    เชียร์กันใหญ่ เชียร์อยู่ 3 นาทีได้ แต่น้องก็ไม่ลง 55555
    เราก็รอถ่ายรูปอยู่ จนพวกลุงป้าไป น้องก็ตกน้ำ เพราะลื่น โถลูกกก
    เด็กๆบางทีก็ไม่ตื่นเต้นกับสัตว์ แต่ก็ยังสนุกอยู่ดี
    ต่อไปก็ไปดูหนีสีน้ำตาลกัน
    แต่หมีไม่ยอมออกมา เรากะว่าจะไม่รอแล้ว
    แต่ก็มีลุงคนนึงอยู่ๆก็มาวิ่งล่อหมี แล้วหมีก็ออกมาจริงๆ 55555 
    ขอบคุณลุงมากค่ะ ทีแรกนึกว่าลุงเป็นเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ แต่ไม่ใช่ เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน 
    หมีก็ออกมาใกล้มาก เอาหน้ามาชนกระจกเลย ใกล้เหลือเกิน จนอีกนิดจะน่ากลัวแล้ว 555
    ต่อไปก็โซนหมีขาว 
    แล้วก็มีสัตว์ที่อยู่ในสภาพอากาศหนาวได้ เช่น กวางเอโสะ หมาป่า
    เสือดาวหิมะ ซึ่งน้องดูจริตแมวสุดๆ ดูรู้สึกสนุกกับหิมะดีนะ

    ห้องนี้เหมาะกับเรามาก รู้สึกเราคงอยู่ผิดที่ผิดทางเหมือนน้องในห้องนี้
    มีทั้งคาปูชิน เหมือนใน The Pirate of The Caribbean
    แต่เราตั้งใจจะไปดูลิเมอร์ ซึ่งตอนแรกนั่งเป็นก้อนม้วนไม่รับแขกเลย
    พอคลี่ม้วนออกมาก็นั่งอ้าซ่าเลย 5555555 ส่วนน้องที่นั่งกินข้าวก็เลือกกินมากเลยนะ
    ยังมีห้องนกเขตร้อนอีก เป็นพวกฟลามิงโก้ นกเงือก รู้สึกอยู่ใกล้มาก สามารถขึ้นไปดูบนชั้น 2 ได้
    สีสวยจนคิดว่าถ้าไม่ขยับคงไม่ใช่ของจริงแน่ๆ

    ส่วนห้องที่ชอบที่สุด คือ ห้องแพนด้าแดง มีทั้งโซน Outdoor และ Indoor
    เราอยู่ห้องนี้นานมาก เพราะข้างในอยู่ใกล้ชิดน้องสุดๆ
    น้องน่ารักมากๆๆๆ โซน Indoor ทำราวไว้ให้แพนด้าไต่ไปรอบห้อง ดูเพลินสุดๆ
    ชอบที่ข้างนอกห้องมีที่ปีนเขาจำลองให้เด็กๆปีน ไม่สูงนัก ข้างบนมีช่องกระจกที่ติดกับกิ่งไม้
    ที่ให้แพนด้าเกาะกินอาหาร จุดที่ปีนดูก็ใกล้ชิดมากๆ ชอบที่มีมุมให้เด็กๆได้ใกล้ชิดกับสัตว์มากจริงๆ

    เสร็จแล้วก็ไปแวะซื้อของฝาก และพักทานอาหารได้ มีของฝากพวกตุ๊กตาน่ารักๆเยอะมาก 
    ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าเด็กคงเป็นเหมือนกันทั่วโลก เหตุการณ์แสนสามัญ ที่จะเจอพ่อแม่บอกลูกว่า
    พอได้แล้วนะ อันนี้ไม่เอา ลูกก็จะเอาตัวนั้นตัวนี้ ต้องบอกว่าอันนี้อันสุดท้าย ไม่เอาแล้ว เอาไปเก็บที่ 555
    เหลือบดูนาฬิกาอีกที ตกใจเราใช้เวลาอยู่ที่สวนสัตว์เกือบ 3 ชั่วโมง
    มาถึงตั้งต่ประมาณ 10 โมงครึ่ง ออกมาตอนประมาณ บ่ายโมง 
    เลยออกมาทางประตูตะวันตกแล้วรอรถเมล์ JR Bus ไปลงที่สถานี Maruyama Koen เหมือนเดิม
    ทีแรกก็กลัวว่าจะขึ้นผิดฝั่งเพราะป้ายรถเมล์ไม่มีภาษาอังกฤษ แต่ถ้าจำคันจิได้ก็โอเค
    ป้ายรถเมล์กลับไปสถานีรถไฟใต้ดิน อยู่ฝั่งตรงข้ามประตูตะวันตกของสวนสัตว์
    (ที่ป้ายรถเมล์ วันนี้เป็นวันแรกที่อุณหภูมิมากกว่า 0 แล้ว)
    นั่งรอรถเมล์มาตามเวลาที่บอกบนป้าย  รถเมล์มาตรงเวลา 
    คนบนรถค่อนข้างเยอะเพราะวิ่งมาจากชุมชนและทุกคนจะไปขึ้นรถไฟ
    บอกแล้วว่ารอบนี้โปรนั่งรถเมล์ สำหรับที่ซัปโปโร เมืองใหญ่ก็สามารถใช้บัตรเติมเงินจ่ายค่ารถได้
    แต่ถ้าไม่มีก็จ่ายเหรียญที่ตู้ข้างคนขับได้เหมือนกัน ค่ารถประมาณ 300 เยน จ่ายเงินแล้วรับตั๋วด้วยนะ
    เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับเข้าใจกลางเมือง ลงที่สถานี Odori หาข้าวกลางวันทาน
    เพื่อตอนบ่ายเราจะได้ไปพิพิธภัณฑ์(ฟรี)กันต่อ
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    โดยรวมแล้วสำหรับสวนสัตว์ เราค่อนข้างประทับใจ
    รู้สึกดีมากที่ได้ไป นอกจากคนจะไม่จอแจแล้ว สวนสัตว์ก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่คุณภาพดี สะอาด ใกล้ชิด ไปไม่ยากกับราคาที่ไม่แพง รู้สึกคุ้มค่า
    แต่ว่าตอนนี้รูปเยอะมากๆ เลยแบ่งเป็น 2 ตอนดีกว่า
    หลังข้าวกลางวันจะไปตึกแดงแล้วก็ม.ฮอกไกโดกัน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in