บางครั้งวันเสาร์โง่ๆ แค่วันเดียวอาจเปลี่ยนชีวิตใครบางคนไปตลอดกาล
เมื่อวานไอ้โอ่งเพื่อนตัวดีหนุ่มออฟฟิศที่เพิ่งได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นโทร.มาคะยั้นคะยอให้ผมไปงานคืนสู่เหย้าชาวสังคมฯซึ่งผมตอบปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว โคตรน่าเบื่อ ซ้ำซาก และไร้สาระ งานอะไร
กู – ไม่ - ไป -โว้ยยยยยยยยยยยยย
“มึงจะไม่ไปจริง ๆ เหรอวะ”
“ไม่ล่ะ ไปทำไมวะ ขี้เกียจเจอคน”
“แต่....”
เขาว่าคนไปทะเล “ไม่หนีร้อนก็หนีรัก”
ไอ้เมย์ -แฟนรายล่าสุดที่ถูกผมบอกเลิกไปเมื่อเดือนก่อน มันเป็นเพื่อนในสมัยมหาลัยที่ทำค่ายด้วยกันบ่อยๆ เมื่อห้าเดือนที่แล้วมันมาขอคบผมผมเองก็ไม่มีใคร เลยตกลงคบด้วยเหตุผลคลาสสิคที่ว่า “เหงา”และไม่กี่เดือนต่อมาเราก็เลิกกันด้วยเหตุผลคลาสสิคเหมือนกันคือ “เราเข้ากันไม่ได้”
อันที่จริงบาดแผลหลังเลิกกับไอ้เมย์ไม่ได้เหวอะหวะอะไรมากหรอกแค่แสบ ๆ คัน ๆ ออกแนวหงุดหงิดตัวเอง รำคาญความฟุ่มเฟือยทางอารมณ์ของมันมากกว่า
บรรดาเจ้าหญิงเจ้าชายที่ว่าก็ล้วนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมนั่นล่ะ
มีใครอีกนะเพื่อนสนิทของผมสนิทที่พอจะคุยได้โดยไม่กระดาก ไม่เขิน ไม่เก้อ
ขาดใครไปอีกนะ มีตั้งหลายคนแต่ไม่ได้สนิทมากพอจะมีค่าให้เอ่ยถึงอ่อ ไอ้เขี้ยวเพื่อนซี้ขี้เมามันไม่มาอยู่แล้ว เมียมันเพิ่งคลอดลูกแถมบ้านมันยังอยู่ไกลขนาดนั้น ส่วนนั่นไอ้โอ่งมนุษย์เพื่อนคนเดียวที่รู้ความลับสำคัญของผมมันกำลังเดินทำหน้าเจ้าเล่ห์เดินตรงมาและใช่...มันคือคนที่ตีหัวผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลสำคัญนั่น
“มองหาใครบางคนอยู่เหรอคร้าบบบ”
“เออ! พอใจยัง”ผมแกล้งตอบเสียงกระแทกก่อนจะชนแก้วกับมันแรง ๆ แล้วจิบน้ำสีม่วงเข้ม สายตามองสำรวจไปรอบ ๆ งาน
ก็เพราะหลังคำว่า “แต่”ของมันนั่นล่ะทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ในตอนนี้
“แต่...จุลก็มานะเว้ย
จุล หรือ จุลจักรเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมที่ไม่สนิทเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่แต่สนิทเรื่องเรียนที่สุดไม่ใช่ว่าผมขยันอะไรทำนองนั้นหรอก เรื่องนี้มันออกจะมีเบื้องหลังอยู่หน่อย ๆ
ที่บ้านจุลทำโรงงานซอสพริกมีกิจการใหญ่โตฐานะเข้าขั้นรวยระดับแถวหน้า ส่วนบ้านผมพ่อแม่เปิดร้านขายของธรรมดามีหนี้ประปราย จุลเป็นเด็กเรียนดีระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองไม่ใช่เหรียญทองธรรมดาเสียด้วยสิ แต่จุลเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ย
มีอะไรที่เราต่างกันอีกนะน่าจะเป็นขนาดร่างกาย ผมตัวโตยังกะหมียักษ์ ส่วนจุลตัวเล็กกว่าผมมาก ตาผมเล็กตี่ส่วนจุลเกิดมาพร้อมตาหางหงส์สองชั้นสวยราวกับมีมือนางฟ้ามาจับวาง
“เด”
“เดโช!!!”
เจ้าของนัยน์ตากลมเปล่งประกายวิบวับราวกับคว้าดาวทั้งกาแล็กซีมาฝังอยู่ในดวงตานั่นเอ่ยเรียกผมถึงสองครั้ง
บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ
“หวัดดีจุล
“มาสิ นี่รีบเคลียร์งานแทบตายกลัวจะไม่ว่าง” จุลทำท่าตื่นเต้นอย่างกับว่างานนี้สำคัญมากถึงขั้นพลาดไม่ได้อย่างนั้นแหละ
“ว่าแต่มายืนเหงาคนเดียวอยู่ตรงนี้ทำไมมุมโน้นมีสาว ๆ ตั้งเยอะ” จุลชี้โบ้ยไปทางไอ้เจนที่วันนี้แต่งตัวสวยเฉียบจนเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคน
“เบื่อน่ะ ไม่รู้จะคุยไรไม่รู้จะคุยกับใคร” ผมมองตามปลายนิ้วป้อมที่ชี้ไปตรงกลางห้องที่เพื่อน ๆ กำลังจับกลุ่มยืนเม้าท์กันอย่างสนุกสนาน
“งั้น...มาคุยกันกับเรา”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งทำหน้าคิดหนักอย่างช่วยไม่ได้
“คุย...อะไรดี”
จุลขยับเข้ามาใกล้จนทำตัวไม่ถูก ใช้ศอกกระทุ้งผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยคำถามหมัดน็อกตามมา
“ทำไมเดทำเหมือนเราไม่เคยสนิทกัน”
“เราเคยสนิทกัน...เหรอ”
จุลย่นหน้าทำท่าน้อยใจ
“อ้าว
“ขอบใจ ถ้าไม่มีจุล เราคงเรียนไม่จบแน่ๆ”
สมัยเรียนผมเป็นไอ้เจ้าตัวแสบประจำคณะชอบทำกิจกรรมจนแทบไม่มีเวลาเรียน ทำค่ายจนอาจารย์บอกว่าถ้าตั้งใจเรียนได้เศษเสี้ยวของการทำค่ายผมคงจะไม่ต้องมานั่งลุ้นจนตัวโก่งว่าจะโดน รีไทร์ไหม วีรกรรมเด็ดดวงที่สุดของผมคงจะเป็นตอนที่ผมอยู่ปี
เพื่อนบางคนบอกว่าผมหัวรุนแรงเกินไปบางคนบอกว่าผมบ้า ทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองทำเพื่อส่วนรวมมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับมากมาย ผมเข้าใจในจุดนั้นแต่ก็มีครอบครัวนักศึกษาอีกหลายบ้านที่ยังไม่พร้อมจะสู้กับการปรับค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าหน่วยกิตในเวลานี้ สุดท้ายผมโดนภาคทัณฑ์
“วิชาอาจารย์เท่ถ้าเดไม่มีกลุ่มก็มาอยู่กลุ่มกับเรานะ อาจารย์อรก็เหมือนกันเดี๋ยวเรานัดเวลามาทำงาน”
แค่หนึ่งในร้อยพูดคำนี้ออกมาผมว่ามันคุ้มที่จะแลกนะ หวนคิดไปถึงตอนนั้นผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ผมไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าจุลเองก็ชื่นชมผม เพราะเขาเคยบอกว่า
“เดเก่งจัง
“อันตรายยังไง ก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเราไม่ได้เก่งหรอก แค่เรากล้า”
“จุลก็เก่งเรียนยังไงให้ได้เอช้วนเนี่ย เก่งเกินมนุษย์มนาไปแล้ว”
“เก่งยังไงเราก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ เราแค่ขยันอ่านหนังสือ”
ผลจากการประท้วงครั้งนั้นทำให้แผนการขึ้นค่าหน่วยกิตชะลอไปสองปีและช่วงสองปีหลังเกิดเรื่องนี้เองที่ทำให้ผมกับจุลคุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้นไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น แต่นั่นล่ะ
เหมือนเราจะสนิทแต่ไม่สนิท
เหมือนมีเส้นอะไรบางอย่างกั้นอยู่
ส่วนจุลไม่กล้าออกมาจากวงกลมที่มีผู้คนห้อมล้อมมากมาย
ในเรื่องความรัก – ที่มากกว่าคำว่า“เพื่อน”
เราทั้งคู่เหมือนแหย่ขาลองเชิงกัน
บางทีเราแค่อาจชื่นชมในกันและกัน
แค่นั้น
ถ้าจุลมองว่าการที่ผมเป็นแกนนำประท้วงกับการทำกิจกรรมต่างๆ คือความเก่งกล้า การที่จุลสอบได้คะแนนระดับท็อป พรีเซนต์งานต่าง ๆ ได้ดีเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งขันวิชาการระดับประเทศ จุลสำหรับผมก็คือคนเก่งและน่ารักที่สุดในโลกความน่ารักของจุลไม่ใช่แค่เพราะแก้มป่องใสนั่น ไม่ใช่แค่
“โดนเรียกไปพบอีกแล้วเหรอ ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเราช่วยติวให้”
“อืม ขอบใจ”
“ติวเสร็จ เดี๋ยวไปกินเคเอฟซีกัน เรามีคูปองลดเพียบเลย”
ตอนนั้นผมคิดว่า ผมชอบจุลเข้าแล้วล่ะ
ใครดีกับเราก็ต้องชอบเขาใช่ไหมผมคิดง่าย ๆ แบบนี้
ผมเก็บความชอบจุลข้างเดียวเอาไว้จนกระทั่งถึงปลายเทอมสองของปีสาม
“เด เอ่อ.... พะ..พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ตอนเย็นไปเดินงานแฟร์กัน
“โอเค เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”
“เฮ้ย ไม่เอา แชร์กันดิ”
“ตามใจ อุตส่าห์จะเลี้ยงขอบคุณซะหน่อยที่วันก่อนช่วยเราพิมพ์งานทั้งคืนไม่งั้นส่งงานไม่ทันแน่”
“เราเต็มใจช่วยเดจริง ๆ”
“อืม ขอบใจ”
“พรุ่งนี้เรามีอะไร...จะบอกเดด้วยล่ะ”
ถ้าผมจับน้ำเสียงไม่ผิดมันมีความหวามไหวและเขินอายอยู่ในนั้น
หลังวางสายจากจุล
ในที่สุดวันที่เรานัดกันก็มาถึงผมจับกล่องของขวัญที่ห่อหนังสือ
นึกถึงตอนที่จุลบ่นว่าอยากได้หนังสือเล่มนี้เพราะอ่านแล้วชอบมากแต่ตอนย้ายบ้านกลับหาไม่เจอ เจ้าตัวเล็กส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าถึงหนังสือเล่มโปรดอย่างมีความสุขกะพริบตาปริบๆทำท่าทางอ้อนเหมือนเด็กอยากได้ขนม สายตากวนใจนั่น ท่าทางไร้เดียงสาในร่างเด็กเนิร์ดปีสามนั่น
“เดรู้มั้ยว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากวินเซนต์แวนโกะห์เลยนะ”
“แรงบันดาลใจยังไง”
“จากภาพวาดชื่อ
“อ่อ แล้วรูปเป็นยังไงอะ”
“ไปเสิร์ชกูเกิลดูเลยนะคืนนี้”
“รอทำไม เสิร์ชตอนนี้เลยละกัน”
ผมหยิบโทรศัพท์มากดชื่อแวนโกะห์ลงในแอพกูเกิ้ลทันที
“ราตรีประดับดาวคือชื่อไทยเหรอ เพราะจัง”
“เนอะ เราชอบมาก”
“ราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรนโคตรเก๋”
“ท้องฟ้ายามค่ำคืนกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ตรงแสงสะท้อนนี่สวยมากเลย” จุลใช้นิ้วน้อย ๆ ชี้ไปที่รูปตรงหน้าจอโทรศัพท์
“แต่เราว่าแสงจากกลุ่มดาวที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้สวยกว่า”
“.....”
เงียบ
ทั้งผมและเขาเหมือนอยู่ในภาวะสุญญากาศ
ผมกระแอมออกมาอย่างคนเซ่อ
“นั่นแหละไปหามาอ่านเลย หนังสือเค้าดีจริง”
“ก็รู้ว่าเราเป็นพวกขี้เกียจเล่าให้ฟังตอนนี้เลยสิ”
“ไม่เอา เดี๋ยวยาว ทำงานก่อนเนี่ยทฤษฎีวิวัฒนาการวัฒนธรรม เดยังสรุปไม่เสร็จเลยนะ
“เออก็ได้ไอ้ตัวเปี๊ยก!” ว่าเสร็จก็หันไปยีหัวเจ้าของคำสั่งแรง ๆ จนผมเผ้ายุ่งไปหมดก่อนจะโดนฟาดป๊าบคืนเข้าให้ที่กลางหลัง
ใครบางคนบอกเอาไว้ว่าอดีตคือเครื่องบันทึกความทรงจำทั้งดีและร้าย
บางอย่าง...ที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผมกับจุลให้เหินห่างกันออกไปเรื่อยๆ
ผมหันหลังกลับ ขาหมดแรงแต่ก็พยายามยันกาย เดินออกจากตึกอย่างคนใจสลาย หัวใจผมคือดอกไม้แรกแย้มที่โดนน้ำร้อนราดโดยไม่ทันตั้งตัว
เฉาและพังพินาศภายในพริบตา
ผมกลับเข้าหอพัก โยนหนังสือเล่มนั้นที่ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญและคำสารภาพรักที่เป็นแม่สายบัวรอเก้อลงที่มุมห้องอย่างไม่ไยดี
สามวันเต็มกับการนอนซมเป็นมนุษย์ผักไม่พูดไม่จากับใครข้าวปลาแทบไม่แตะ โดดเรียนอย่างไม่แยแสแม้จะมีควิซก็ตาม
หลังไอ้โอ่งเดินจากไปพร้อมกับเสียงบ่นงึมงำผมเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งออกมาเช็คแบตเตอร์รี่เหลือต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เหมือนสภาพจิตใจเจ้าของเครื่อง
“เด...เดเหม่ออยู่เหรอ คิดอะไร โอ่งเรียกพวกเราไปรวมพลแล้ว ไปกันเถอะ” จุลทำลายความเงียบ
“จุลยังคบกับพี่เอกอยู่มั้ย”
ไม่รู้ว่าผีตนไหนอะไรเข้าสิงที่ทำให้ผมหลุดปากถามออกไปแบบนั้น
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“บอกมาก่อน”
จุลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า
“เลิกกัน...นานแล้ว”
“ไม่ต้องไปหาไอ้โอ่งแล้วมานี่” ผมเอ่ยออกไปอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด พร้อม ๆ กับกึ่งลากกึ่งจูงจุลออกมาจากห้องจัดเลี้ยงนั่นลงลิฟต์มานั่งที่ผับชั้นใต้ดินใกล้ส่วนที่เป็นล็อบบี้โรงแรม
“เอาอะไรตอนนี้ดื่มเหล้าได้ยัง”
“พอได้ แต่ไม่อยากดื่มหนักเราต้องขับรถ”
“งั้นสั่งแบบเบาๆ ให้ละกัน” ผมหันไปสั่ง
บรรยากาศในผับเงียบกว่าที่ควรจะเป็นอาจจะเป็นเพราะเวลาสองทุ่มกว่ายังหัวค่ำเกินไปสำหรับการมานั่งในสถานที่และบรรยากาศแบบนี้
“ออกมาแบบนี้เพื่อนๆ ถามหาแย่” จุลแอบบ่น
“ถ้างั้นก็กลับไปแต่กลับไปคนเดียวนะ” ผมมองหน้ายิ้ม ๆ เพราะผมรู้ว่าจุลจะไม่ไปไหนก็จะไปได้ยังไงในเมื่อผมจับมือเอาไว้แน่นขนาดนี้
“งั้นไม่ไปจะนั่งเป็นเพื่อนเด”
ผมยิ้มกริ่มก่อนจะเอียงตัวไปกระซิบเบาๆ “ขอบคุณนะ”
“ปล่อยมือเราได้ยัง”
“อึดอัดเหรอ”
“เปล่า แค่เมื่อย”
“ปล่อยแล้วห้ามหนีนะเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“จะคุยอะไรก็คุยมาสินั่งอยู่ตรงนี้แล้วนี่ ไม่ไปไหนหรอก”
จะเรียกว่าเป็นวันเคลียร์ใจได้ไหมผมนั่งคุยกับจุลที่ผับนั่นตั้งแต่สองทุ่มกว่าจนถึงเที่ยงคืน
“ที่ไม่รับสายเราเพราะเรื่องนี้เองเหรอ”
“อือเรื่องนั้นแหละ”
การพูดคุยอย่างจริงจังครั้งสุดท้ายของเราเกิดขึ้นหลังจากที่ไอ้โอ่งพยายามลากผมไปเรียนก่อนจะไม่มีโอกาสให้เรียนอีกต่อไป
“เราก็มีเหตุผลของเราเหมือนกับที่จุลมีเหตุผลของจุลนั่นแหละ”
“ถ้าไม่มาก็น่าจะบอกกันบ้างรู้มั้ยว่าเรารอเดทั้งคืนเลยนะ”
“เหรอ แต่จุลก็คงไม่เหงาหรอกเนอะ”
“หมายความว่าไง”
“ก็ไม่ไง ช่างเหอะ”
“ขอโทษน่ะ พูดเป็นมั้ยให้คนอื่นรอนานขนาดนั้นได้ยังไง”
พูดมาได้ว่าจะให้ผมขอโทษ ทีตัวเองไปกอดกับคนอื่นแล้วยังนัดเราออกมาเจอมันหมายความว่ายังไงใครกันแน่ที่ต้องขอโทษ ผมได้แต่คิดในใจและให้ความเงียบเป็นคำตอบจุลมองผมอย่างผิดหวังเล็ก ๆ เหมือนจะเห็นน้ำตาปริ่มที่หัวตาสวยนั่นแต่ความโกรธผมมันบังตามากเกินกว่าจะคิดได้ว่าอารมณ์นั้นของจุลคืออะไร
ตั้งแต่นั้นมาเราก็ห่างกันเรื่อย ๆ เจอหน้ากันทีต่างคนก็ต่างกระอักกระอ่วนใจ
-------------------
บรรยากาศในผับเริ่มครึกครื้นขึ้นจากแขกกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเพิ่มห้าคนและเลือกจับจองโต๊ะฝั่งขวามือของผม
“เห็นเหมือนยังรักกันดีเลิกกันทำไม”
“ไม่ตอบตอนนี้ได้ไหมไม่อยากพูดถึงคนอื่น”
รู้ว่าพวกเขารักกันดีได้ยังไงเหรอ -ถึงเราจะห่างกัน แต่เราก็ยังสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกันและกันได้ในเฟซบุ๊กอินสตาแกรม ไลน์ เรียกได้ว่าเราทั้งคู่เป็นเพื่อนกันสารพัดโซเชียลในโลกเสมือนหากแต่โลกจริงหลังจากเรียนจบเราแทบไม่เคยโทร.หากันหรือทักไลน์มาก็แค่ธุระจริง ๆ เราสองคนเหมือนมีกำแพงความรู้สึกต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมันกลายเป็นความชาชินและเหมือนจะเฉยชาต่อกันไป
“สามเดือนหลังจากเดไม่มาตามนัดเราถึงตกลงเป็นแฟนกับพี่เอก” จุลเริ่มเล่าถึงเรื่องของตัวเอง
“เราไม่ได้ชอบพี่เอกมากขนาดนั้นหรอกเพราะตอนนั้นเรามีคนที่ชอบมากกว่า แต่ไม่รู้สิ...”
“
เสียงเพลง
ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ หยิบรังผึ้งชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กบนช้อนไม้ที่วางอยู่บนปากแก้วเข้าปากเคี้ยวเบาๆ ก่อนจะยก
“หมายความว่า....ตอนนั้นที่เราเห็น...กอดกัน”ผมพูดไม่เป็นประโยค
“มิน่า...”จุลหันมามองหน้าผมก่อนจะหัวเราะคิก
“หัวเราะไร”
“เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเดเป็นแบบนั้นวันนั้นเห็นเหรอ”
“อืม เห็น”
“เราไม่ได้กอดกันกับพี่เอกพี่เอกกอดเราฝ่ายเดียว”
“อ่า”
“เค้ามาสารภาพว่าชอบเราอยู่ ๆ ตอนนั้นเค้าก็คว้าเราไปกอดน่ะ เดคงมาเห็นตอนนั้นพอดี”
“ทำไม...ไม่บอกเรา”
“แล้วเราจะรู้ได้ไง
คืนนั้นเราคุยกันเหมือนคนหลงในทะเลทรายแล้วเจอแหล่งโอเอซิสที่ตามหามานานเหมือนคนที่ตกหลุมรักกับบทสนทนาง่าย ๆ ของกันและกัน
ผมว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว
เรารับรู้ความรู้สึกผ่านมือที่จับกันแน่นอยู่ในตอนนี้
ก่อนจะร่ำลากันในราวเที่ยงคืน ผมบอกจุลว่ามีของในรถจะให้เป็นของที่สี่ปีที่แล้วตั้งใจจะให้แต่ก็ไม่มีโอกาสแถมยังเคยเกือบโยนมันทิ้งอีกต่างหาก เราทั้งคู่เดินทอดน่องจากผับไปที่ลานจอดรถเหมือนต่างคนต่างพยายามถ่วงเวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด
ไม่นานนักก็ถึงรถที่จอดอยู่ชั้นB1 ผมรีบเปิดประตูข้างหลังหยิบหนังสือเล่มเก่ายื่นให้จุล
“ขอบคุณนะเด
“พูดเหมือนจุลรู้ว่าเราจะให้หนังสือ”
“ก็...รู้สิ เราไปสืบจากพี่พนักงานร้านหนังสือด้วยล่ะเค้าบอกว่ามีผู้ชายตี๋ ๆ สูง ๆ มาซื้อไป”
.
“ขอโทษนะที่วันนั้นไม่ไปตามนัดเรานี่มันงี่เง่าจริง ๆ”
“ขอโทษนะที่วันนั้นไม่พยายามโทร.มาเป็นสายที่7”
หลังจากเดินมาส่งจุลที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากรถผมนัก
“เราขอกอดได้ไหม”
จุลยิ้มให้ผม
เป็นยิ้มที่สวยที่สุดในโลกเลย
เรากอดกันแนบสนิทและเนิ่นนานเสมือนทดแทนเวลาที่ขาดหายไป
รู้แต่ว่าการได้มีเขาอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้มันโคตรดีเป็นบ้า
คืนนั้นเราแยกจากกันทั้งที่ผมอยากจะรั้งให้เขาอยู่ด้วยทั้งคืนแต่คนเราไม่ควรโลภมากใช่ไหม เดี๋ยววันต่อไปพระเจ้าจะริบความสุขคืน
เช้าวันต่อมาไอ่โอ่งโทร.มาด่าว่าผมหนีกลับไปไม่ลามันสักคำแล้วมันก็เล่าเบื้องหลังที่ทำให้ผมมั่นใจอะไรบางอย่างมากขึ้นมันโทร.ไปชวนจุลเหมือนที่ชวนผมนี่แหละ จุลช่วยงานที่โรงงานพ่อจนแทบไม่ว่างยิ่งหลังเลิกกับพี่เอกจุลยิ่งโหมทำงานหนัก ตอนแรกจุลกะจะไม่มาแล้ว แต่พอไอ้โอ่งบอกว่าผมไป(ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ไป)
---------------
“ที่จริงแล้วเราไม่ได้ทำหนังสือเล่มนั้นหายหรอก”
12 ชั่วโมงหลังอ้อมกอดที่ลานจอดรถผมเห็นประโยคนี้ในสเตตัสล่าสุดในเฟซบุ๊กของจุล อยู่ ๆ ก็เหมือนดวงตาเห็นธรรมที่ผ่านมาจุลพยายามจะบอกใบ้ความรู้สึก‘
ความรู้สึกของคนซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก
ตามปกติเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผมมักจะไปนั่งแฮงก์เอาท์กับกลุ่มเพื่อนสมัยทำค่าย หรือไม่ก็ชวนไอ้โอ่ง ไอ้เขี้ยวออกไปซิ่งที่ต่างจังหวัดกัน ส่วนจุลปกติแล้วจะต้องอยู่กับป๊าและกับแฟนเก่าของเขานั่นแหละ
หลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ได้ไม่กี่นาทีจุลชวนผมกลับเพราะเริ่มง่วงและคิดไม่ออกว่าควรไปไหน
“ขอนั่งอยู่ในนี้ต่อแป๊บนึงนะ”จุลหันมาบอกเบา ๆ
ใช่อย่างที่ผมคิดจริง ๆ ด้วย
“ทั้งคืนก็ได้” ผมไม่ได้ล้อเล่น
จุลนั่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่างไม่แน่ใจว่าเพราะอุณหภูมิในรถเย็นเกินไปหรือเปล่า มือเล็กนั่นถึงได้ลูบแขนไปมา
“หนาวเหรอ”
“นิดนึง”
หลังเอื้อมมือไปกดปุ่มปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น
ในความสลัวผมเห็นดาวพราวแพรวอยู่ตรงนั้น
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกว่าคราวนี้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
“จุล คบกับเรามั้ย”
“หมายถึงตอนนี้เราก็ไม่มีใครจุลก็ไม่มีใคร เราลองมาคุยกันดีมั้ย ถ้ามันใช่ ระ....”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรไปมากกว่านี้นั้นริมฝีปากสวยก็ยื่นมาประกบปากผม แค่ชั่วไม่กี่ลมหายใจคนกล้ารีบผละตัวออก เสมองไปนอกหน้าต่างรถ
“เขินเหรอ”ผมแซว
“ใครเขิน”
คนที่บอกว่าตัวเองไม่เขินกำลังแก้เขินด้วยการย่นจมูกที่โด่งเป็นสันใคร ๆ ต่างพากันชมว่าจมูกจุล สวยราวกับเทวดาทั้งสวรรค์มาสรรค์สร้าง เหมือนดั่งต้องมนต์ความน่ารักของจุลผมเผลอไผลใช้ปลายจมูกขยับเบา ๆ เข้าไปชนจมูกของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ถือวิสาสะหอมหน้าผากเลื่อนลงมาจนถึงแก้มป่อง
จูบแรกของเราช่างมีมนต์ขลังยิ่งกว่าอะไรมันทำให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว จุลเองก็คงจะเหมือน ๆ กันเนื้อประสานเนื้อทำให้ตัวของเราที่เย็นเพราะลมหนาวจากแอร์ในรถเปลี่ยนมาเป็นอุ่นขึ้นในชั่วพริบตาผมถอนริมฝีปากออกเพราะกลัวอีกคนจะหายใจไม่ทัน
พวกเรานั่งหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ในรถ มือยังคงประสานกันแน่น ต่างคนต่างไม่พูดอะไรเป็นความเงียบที่เสียงดังที่สุด
หัวใจของพวกเรากำลังเริงระบำ
“ว่าไงตกลงคบกับเดมั้ย”
“จ..จูบขนาดนี้แล้ว”
“แล้วไง”
“คบสิ!”
“งั้นขอจูบอีกทีได้มั้ย”
“ไม่เอาอะ”
“ใจร้าย”
“บนรถไม่ถนัด”
“หมายความว่า
“จูบดี...ดี ในที่ดี...ดี”
“เมื่อกี๊ไม่ดีเหรอ”
“ก็...ดี แต่บนรถจุลปวดหลังเกร็งไปหมด”
“โธ่จุล” ผมหัวเราะอย่างเอ็นดูก่อนคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดอีกครั้ง
“ไปเที่ยวกันเดอยากใช้เวลาอยู่กับจุลทั้งวันทั้งคืนเลยรู้มั้ย”
“เดล่ะก็ พูดอะไรไม่รู้”
“วาเลนไทน์นี้คนอย่างไอ้เดจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว”
“พูดยังกะที่ผ่านมาไม่เคยไปกะคนอื่นยังงั้นแหละ”
“ทำไม”
“ก็รอไปกับคนที่อยากไปด้วยจริง ๆ”
“........”
“เลือกมาจะไปไหนดีเดรู้จักรีสอร์ทดี ๆ หลายที่เลย ใช้เป็นที่จูบดี ๆ ได้เลยล่ะ”
“เด!!
“อ้าวจุลเป็นคนบอกเดเอง ให้หาที่...”
ยังไม่ทันจบประโยคจุลก็สวนขึ้นมาว่า
“พอได้แล้ว
จะพอได้ยังไงล่ะ กว่าจังหวะความรักของผมกับเขาจะลงตัวเป็นหนึ่งเดียวใช้เวลาตั้งหลายปี ขอบคุณตัวเองที่คืนนั้นตัดสินใจลากจุลลงไปเคลียร์ใจ ขอบคุณที่ผมเข้ากับไอ้เมย์ไม่ได้ขอบคุณจุลที่ไร้พันธะในช่วงเวลานี้พอดี นี่ใช่ไหมที่เขาบอกว่า คนที่ใช่ถ้ามาในเวลาที่ผิดมันก็ไม่ใช่
แต่ตอนนี้จุลคือคน
ถ้าหากจะมีอะไรที่มันยังไม่เข้าที่เข้าทางอยู่บ้างผมนึกออกแค่อย่างเดียวในตอนนี้ เป็นปัญหาที่ผมจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจุลอย่างสุดกำลังเพราะถึงจุลจะได้เกรดเอทุกวิชาสมัยเรียน
แต่วิชา
สงสัยต้องเรียกจุลมาติวเข้มบ่อย ๆ เสียแล้วล่ะ
------------ End
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in