แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านสีครีมที่ถูกแง้มไว้พอประมาณเข้ามาส่องสว่างในห้องสี่เหลี่ยมขนาด
“เพล้ง!!
เสียงแก้วใสที่ตกกระทบพื้นจนแหลกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยช่วยปลุกให้เซ็ทธ์ตื่นขึ้นจากภวังค์
แรงขยี้ตาเบาๆช่วยให้เขามองเตียงข้างๆชัดขึ้นห่างจากเตียงของเขาเพียงไม่กี่ก้าว มีอีกร่างนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่แม้เสียงแก้วกระทบพื้นที่เป็นสัญญาณปลุกแบบไม่ได้ตั้งใจของเซทธ์ก็เหมือนว่าจะ
“นาย..น้อย”
“นายน้อยครับ”
อากาศดูเหมือนจะอุ่นขึ้นเพียงบางเบาหลังมองออกไปนอกหน้าต่างดอกไม้สีชมพูนั่น...กลีบของใบบางกำลังลอยละลิ่วตามลมคว้างช่วยกระตุกความคิดบางอย่างที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจกลุ่มดาวสามดวงที่เรียงตัวกันเป็นกลุ่มก้อนบนใบหน้าซีกซ้ายเหมือนจะขยับไปตามแรงสั่นระริกบนใบหน้าแววตาวูบไหวและความเปล่าเปลี่ยวในหัวใจกำลังสำแดงออกมาเป็นหยาดน้ำใส
เขาเริ่มนึกถึงเรื่องราวต่างๆ
นึกถึง “
นึกถึงเหตุการณ์ที่นำพาเขาและ “เดฟ”ผู้กำลังหลงวนอยู่ในห้วงฝันจนไม่ยอมตื่นมานอนนิ่งอยู่ที่นี่
“ตื่นเถอะเดฟ”
ไร้การตอบรับจากร่างสูงหนาที่บัดนี้นอนเป็นมนุษย์ผักมีเพียงแรงหายใจหอบขัดที่แสดงให้รู้ว่าร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่
เขาเอื้อมมือไปจับมือของบุคคลสูงศักดิ์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายเดฟอายุห่างจากเขาเพียง 2 ปี ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันทั้งกิน เรียน นอนจนแทบจะกลายเป็นฝาแฝดกัน แม้ท่านนิค พ่อของเดฟจะบอกว่า
แต่ทุกสำนึกของเซ็ทธ์บอกเขาว่า “เดฟ”เป็นเจ้านาย
เป็น “นายน้อย” ที่เขาต้องปกป้องสุดชีวิตและหัวใจ
แน่นอนว่าการสืบสายเลือดของชนชั้น“ไอซ์” ช่วยให้เขามีศักดิ์และสิทธิ์อันสูงส่งในอาญาจักร
มือกร้านกระชับเข้ากับมือของชายที่มีศักดิ์ทั้งเป็น“นาย” และ “น้อง” เหมือนจะถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านกระแสสัมผัส ร่างสูงใหญ่ของเดฟเริ่มขยับเหมือนรู้สึกตัวเหมือนว่าสัมผัสจากเซ็ทธ์จะสัมฤทธิ์ผล ใบหน้าซีดเผือดของนายน้อยเดฟเริ่มขยับปากหนาเริ่มขมุบขมิบไปมา มีเสียงลอดออกมาเบาๆ
“เจ...เจเรมี่”
“เจ ข้าขอโทษ”
“นายน้อย ท่านฟื้นแล้ว”
“เซ็ทธ์”
“ท่านตื่นนานแล้วรึ”
“ครับ”
“เจเรมี่ล่ะ...ไปไหน”
“......”
“เซ็ทธ์ ข้าถามว่าเจไปไหน เจอยู่ไหน
“เจเรมี่...ไม่อยู่แล้วครับ”
“ท่านว่ายังไงนะ”
“เซ็ทธ์
“นายน้อย...”
“ท่านพี่
2.
เมืองกริลเดอร์วาลตั้งอยู่ในกำแพงเทือกเขาสูงซับซ้อนยันชั้นฟ้าสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,400 เมตรนอกจากขุนเขาที่งดงามจนเป็นที่เลื่องลือแล้ว ยังมีทะเลสาบแวลลีย์ล้อมรอบขุนเขาตรึงตาให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของอาณาจักรอื่นๆ
แม้จะเป็นอาณาจักรเล็กๆที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแต่ในฤดูร้อนที่อากาศยังคงความหนาวเย็นจากอิทธิพลเขาสูงที่ยังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะกับแสงแดดอุ่นที่ทาบทาลงมาที่ตัวเขาขณะนี้เดฟบอกได้ทันทีว่าที่นี่คือเมืองสวรรค์อย่างแท้จริง
“ท่านนี่ เล่นอะไรเหมือนเด็กๆเลยนะ”
“โธ่ ก็อากาศดีขนาดนี้ข้าขอสูดให้เต็มปอดเสียหน่อย” ว่าพลางก็วิ่งไปรอบๆ
“เดฟ อีกไม่กี่วันท่านจะออกเรือนแล้วนะ”
“พูดเหมือนคนแก่จริงๆเลยท่านพี่”
“หึ!
“ทำไมท่านว่าอย่างนั้นเล่า”
“ข้าต้องแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รักแต่ต้องทำเสมือนว่ารักมันตลกไหมล่ะ”
“ท่านรักกับจู๊ซไม่ได้เพราะอะไรท่านน่าจะรู้ดี”
“ไม่ใช่แค่ข้า
“อืมมม”
“เราแก้ไขอะไรได้บ้างหรือไม่ ข้าต้องแต่งกับเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกนั่นจริงรึ
“จู๊ซให้พลังกับเราได้และเด็กนั่น....ก็เป็นคนที่จะให้พลังกับท่านได้”
“ข้าถึงบอกไงว่าที่นี่เป็นเมืองต้องคำสาป”
“ถ้าท่านไม่อยากแต่งกับเด็กนั่นท่านก็ต้องหาชาวไอซ์ด้วยกัน”
“แต่ท่านก็รู้ ไอซ์ให้พลังที่พวกเราต้องการไม่ได้”
“นั่นไง....”
“ข้าถึงบอกว่าที่นี่”
“เป็นเมืองต้องคำสาป”
เซ็ทธ์ขยับฝีเท้าเดินห่างออกไปใบหน้าหล่อคมเสมองออกไปทางทะเลสาบแวลลีย์ที่ประกายน้ำต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายวาวงามจนยากจะถอนสายตาเวลาพูดถึง “เด็กนั่น” เขาไม่อยากอยู่ใกล้เดฟเท่าไรนัก
“เด็กคนนั้น เป็นยังไงบ้าง”
“ก็น่ารักดี”
“ท่านชมแบบนี้ แสดงว่า...ท่านต้องระวังนะ” เซ็ทธ์เตือน
“ก็แค่ชมว่าน่ารักท่านพี่คิดมากไปได้”
เซ็ทธ์ผละออกพลางคิดในใจเจ้าเด็กคนนี้เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลยก่อนจะถามต่อว่า
“เด็กนั่นจะย้ายเข้ามาอยู่กับท่านเมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้า”
“ช่างเร็วเสียจริง”
“ร่างกายของข้าต้องการพลังข้าต้องให้เด็กนั่นช่วย”
“อายุ
“ตอนนั้นท่านผ่านมาได้อย่างไรกันนะ”เดฟกะพริบตาทำหน้าครุ่นคิด
“ต้องขอบคุณเขาถ้าไม่มีเขาข้าคงผ่านช่วงเวลานั้นมาไม่ได้”
“ท่านพี่...ข้าขอโทษข้าไม่ได้ตั้งใจ” เดฟน้ำเสียงอ่อยอย่างคนรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ ท่านพูดถึงมันได้นะเดฟตอนนี้ข้า...ทำใจได้แล้ว”
ความมืดเข้ามาโรยตัวในหัวใจของชายหนุ่มผู้พี่อีกครา
ขัดกับที่เพิ่งพูดไปว่าทำใจได้แล้วแท้ๆ
3.
“นี่ห้องของเจ้า ขาดเหลืออะไรก็บอกเรียกข้าหรือเซ็ทธ์ก็ได้” ร่างสูงเอ่ยขึ้นหลังจากช่วยหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ของคนตัวเล็กวางไว้ที่ห้องชั้นสองของคฤหาสถ์ที่จัดไว้เป็น“ห้องหอ” ระหว่างเขากับ “เจเรมี่” หนุ่มน้อยสายเลือดจู๊ซ
“ส่วนพิธีต่างๆ ต้องรอท่านพ่อข้ากลับมาก่อน”
“ท่านจะไปไหน”
“ทำไมรึ นี่ยังไม่ใช่ตอนกลางคืนเลยหรือว่าท่านต้องการ...”
“หยาบคาย
“ท่านกล้าว่าว่าที่สามีเช่นนี้เลยรึ”
วันนี้เขาอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกนับตั้งแต่ไปรับเจเรมี่ที่บ้านหลังน้อยตรงเนินเขาลูกเล็กนั่น
เจเรมี่รู้สึกอึดอัดแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกการที่ชาวจู๊ซอย่างเขาได้รับเลือกให้เข้ามาอยู่กับ “ไอซ์ตัวท็อป”อย่างเดฟเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองกริลเดอร์วาล ญาติผู้น้องของเขาคนหนึ่งถึงกับบอกว่าถ้าได้อยู่กับเดฟ“ต่อให้ถูกดูดพลังหมดร่าง” ก็ยอม ยิ่งคิดถึงวิธีการมอบพลังให้กับ “ว่าที่สามี”อยู่ๆหน้าใสก็ขึ้นสีชาดอย่างปิดไม่มิด
“พี่เจคืนนี้ท่านก็รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆล่ะ” เจเด็นกระเซ้า
“เลีย”
“จูบ”
“กัด”
“ท่านเดฟอาจจะทำทั้ง
“บ้าหน่า” เจเรมี่แว้ดใส่เจเด็นญาติผู้น้องกลบเกลื่อนอาการสะเทิ้น
“คิดอะไรอยู่เหรอ หน้าแดงเชียว”
แม้จะอยู่ใน “สถานการณ์คับขัน”แต่เจเรมี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบสำรวจวงหน้าของว่าที่สามีแบบใกล้ๆอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
อันที่จริงเจเรมี่อายุไล่เลี่ยกับเดฟแต่ขนาดร่างกลับต่างกันลิบลับ ร่างสูงของเดฟยืนค้ำเขาแทบมิดบริเวณช่วงไหล่กว้างแข็งแกร่งคล้ายนักกีฬา ใครๆก็รู้ว่าฝีมือพายเรือคายัคของเดฟคือที่หนึ่งในเมืองนี้ไม่นับฝีมือการเล่นสกีบนภูเขาที่เลื่องชื่อไปทั่วอาณาจักรผิวขาวที่แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอมแดงระเรื่อจากการออกกำลังกลางแดดขับใบหน้าหล่อใสให้ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
รอยยิ้มพรายของเดฟทำเอาหัวใจเจเรมี่ปั่นป่วนเขาบอกไม่ถูกว่ารอยยิ้มนี้มาจาก “ใจจริง” หรือ “แกล้งทำ” กันแน่
ยิ่งตอนที่เดฟก้มหน้ามาชิดผิวปลั่งของตนเองหัวใจเจเรมี่ยิ่งเต้นระรัว “แทบบ้า”
“ท่าน...บังอาจนัก”
เจเรมี่เตือนตัวเอง เขาต้องอยู่ให้ไกลจากเดฟมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เจ้าหนีข้าไปไม่ได้หรอก คืนนี้ข้าจะ...จัดให้เจ้าหนำใจ”
“เมื่อกี๊น่ะ แค่น้ำจิ้ม”
“ท่านนี่มันหยาบคายชั่วช้าที่สุด”
“ก็ไม่เห็นขัดขืนอะไรนี่ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ”
“ข้าต้องการพลังจากเจ้า”
“ส่วนข้าต้องการเงินและอำนาจจากท่าน”
“หึ เจ้ามันก็แค่ไอ้หน้าเงิน ดีง่ายดี!!!” ดวงหน้าของเดฟกระด้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเขาหยุดต่อ ความยาวสาวความยืดก่อนจะลงน้ำหนักที่ฝีเท้าปิดประตูห้องหอดังปัง
4.
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบในยามเย็นกว่าสี่ชั่วโมงที่เจ้าตัวหมกตัวอยู่ในห้องนี้ ไม่ยอมเคลื่อนกายออกไปไหนเหมือนจะกลัวการเผชิญหน้ากับ “ใครบางคน” เจเรมี่ละสายตาจากวิวทะเลสาบแวลลีย์ที่อยู่นอกหน้าต่าง แสงสีแดงอมส้มพาดผ่านเข้ามาในห้องฉาบผนังสีขาวจนกลายเป็นสีอิฐละมุนตา
ตะวันเพิ่งจะจมลงก้นทะเลสาบไปเมื่อครู่นี้มันคงจะสวยกว่านี้ถ้าที่ที่ยืนอยู่เป็น “บ้าน” ของเขาจริงๆ
“ก๊อกๆ ก๊อกๆ ”
เจเรมี่อ้อยอิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้าวเนิบไปเปิดประตู
มุมเฉียง
“ถึงเวลาอาหารค่ำแล้วครับ”
“ข้ายังไม่หิว”
“ยังไม่หิวแต่ถึงเวลาก็ต้องกินครับ” สายตาคมมองเข้าไปบนโต๊ะเล็กที่อยู่มุมห้องจานผลไม้และขนมปังยังวางอยู่ที่เดิมและดูเหมือนจะไม่พร่องไปเลยสักนิด
“ท่านยังไม่ทานของว่างเลยเดี๋ยวจะเป็นลมเอานะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนของเซ็ทธ์ทำให้เจเรมี่ฉงนเล็กๆถ้าเขาฟังไม่ผิด มันเหมือนมีความห่วงใยอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“เอ่อ...ขอบคุณครับ แต่ข้ายังไม่หิวจริงๆ”เจเรมี่ยิ้มจืด
“ท่านก็รู้ว่าขัดเดฟไม่ได้ลงไปเถอะครับ เดี๋ยวคนนั้นรอนานแล้วจะโมโหเอานะ”
“ตกลง เดี๋ยวข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะว่าแต่มีแต่ข้ากับนายของท่านเหรอ ท่านล่ะกินด้วยมั้ย”
“ถ้าข้าอยู่ด้วย เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมังครับ”
“อืม ว่าแต่ท่านชื่ออะไรนะ”
“เซ็ทธ์
“ข้าเจเรมี่
“ครับ ยินดีต้อนรับสู่ที่นี่”
“ท่านกับข้า...เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่านะ”
ถ้าเจเรมี่มีตาทิพย์ก็จะเห็นเซ็ทธ์ที่ยืนหันหลังให้ยิ้มน้อยๆแทนคำตอบก่อนจะเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เจ้าของคำถามครุ่นคิดเป็นปริศนาต่อไป
5.
บนลานหน้าคฤหาสน์ในยามค่ำคืนมีเพียงไฟส่องสว่างตามทางเดินเป็นเพื่อนร่วมดื่มด่ำลมเย็นในยามรัตติกาลหลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ เดฟปล่อยให้คนหน้าบึ้งที่แตะข้าวเหมือนแมวดมขึ้นห้องก่อน
นึกสนุกอย่างไรไม่รู้
“นายน้อย ไม่ขึ้นไปพักผ่อนล่ะครับดึกแล้ว” เสียงเข้มของเซ็ทธ์ดูเหมือนจะไม่ทำให้เดฟ
“ท่านพี่เซ็ทธ์ มาเล่นด้วยกัน”
“ข้าเล่นไม่เป็นหรอก ท่านลืมแล้วรึ”
“หมดกัน ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าสอนให้จริงๆข้าอยากสอนท่านเล่นมาตั้งนานแล้วนะ ”
“วันหลังเถอะ
“คนของข้า
“ใช่ครับ ท่านไปรับเขามาแล้ว ท่านจะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไปไม่ได้”
“อืม ข้าเข้าใจว่าแต่ตอนนี้ท่านพี่ได้รับข่าวจากพ่อของข้าหรือไม่”
“อย่างที่บอกไปครับท่านนิคจะกลับมาเดือนหน้า นายน้อยอย่าเป็นห่วงไปเลย”
เซ็ทธ์ผู้รู้สถานการณ์ทุกอย่างดีพยายามจะปลอบขวัญบุตรชายคนเดียวของ“ท่านนิค” ประมุขสูงสุดของอาณาจักรกริลเดอร์วาลหลังจากนำทัพจำนวนหนึ่งออกไป“จัดการ” กับเจอร์ราดน้องชายแท้ๆที่เมื่อสัปดาห์ก่อนส่งคนเข้ามาขโมย “หัวใจน้ำแข็ง”สัญลักษณ์สูงสุดของชาว “ชาวไอซ์” ที่ท่านนิค
“หัวใจน้ำแข็ง”
“ท่านอาเจอร์ราดก็เหลือเกิน
“ข้าก็หวังว่าทั้งสองท่านนั้นจะ“คุย” เพื่อจบปัญหากันได้”
“ข้าก็หวังเยี่ยงนั้น”
“ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงข้าเตรียมกำลังคุ้มกันเรียบร้อย เชิญท่านเถอะ”
“ดูท่านพี่เป็นห่วงคนข้างบนเหลือเกินนะกลัวเขาเหงาเหรอ” เดฟกระเซ้าองครักษ์คนสนิท
“ข้าเป็นห่วงมากกว่า ห่วงทั้งคู่”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่าข้าไปก่อนนะ”
“เดฟ”
“เหอะน่าบอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“ท่านได้โปรดอย่ารุนแรงกับเจเรมี่มากเกินไป
6.
อาทิตย์โผล่พ้นเงาภูเขาสูงที่ปลายยอดปกคลุมไปด้วยหิมะทะเลสาบแวลลีย์ยามอรุณรุ่งช่างวิจิตรตระการตา รังสีสีส้มอ่อนกระจายไปทั่วทิศตะวันออกลมเย็นที่ยังพอมีในช่วงฤดูร้อนของอาณาจักร กริลเดอร์วาลละมุนกว่าที่เคย เจเรมี่กับร่างเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนุ่มสีครีมตะแคงซ้ายมอง
เจเรมี่นอนมองใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างๆมานานเท่าไรไม่รู้รู้แต่เพียงว่าอยากจะมองไปนานแสนนาน รู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีวันที่จะได้ “ดวงใจ”ของไอซ์หนุ่มที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นเดฟมาครองเป็นแน่
เจเรมี่มั่นใจว่าเดฟทำไปตาม”หน้าที่”หากแต่ความอ่อนหวานจาก “จังหวะรัก” ที่สัมผัสได้ ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าในหน้าที่นั้นจะมีสักเสี้ยวหนึ่งที่มาจาก“หัวใจ” บ้างหรือเปล่า ตัวเขานั้นแม้ไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้แต่หัวใจที่เต้นแรงและความรู้สึกแช่มชื่นและเต็มอิ่มกับบทรักมันช่างฟ้องอาการของตัวเองได้ดีเหลือเกิน
“เจ้าแอบมองข้ามานานขนาดนี้เมื่อยรึยัง” พูดจบปุ๊บเจ้าตัวก็คว้าคนตัวเล็กแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเข้ามากอดแน่นๆก่อนจะซุกไซ้ลงตรงอกเล็กนั่นอย่างคนเอาแต่ใจ
“อ๊ะ!
“ชอบไหม”
“ท่าน...ท่านทำอะไรเนี่ย”
“แล้วชอบรึเปล่าล่ะ”
“.....”
“ยังเขินอยู่รึ”
สัมผัสเนิบช้าแต่ให้ความรู้สึกร้อนแรงเดฟทำได้อย่างไรกันนะ เนิ่นนานเท่าที่กายและใจจะปล่อยให้เป็นไป
“ทำไมต้องเป็นข้า”
“เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว”
“แล้วรู้ได้อย่างไรว่าต้องเป็นข้า”
“หัวใจน้ำแข็ง...บอกเจ้าอย่าถามอะไรอีกเลย” เดฟตัดบทก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำทิ้งให้ร่างเล็กงุนงง
“เจ้ารู้ตัวรึเปล่า เมื่อคืนเจ้าละเมออะไรทั้งคืน”
“อะไรรึ ข้า...ข้าไม่รู้ตัวเลย”
“หึ!!
“ห๊ะ ชายอื่นยังงั้นรึข้า...ไม่เข้าใจ”
“ตลกสิ้นดี ในขณะที่นอนกับข้าลิ้มรสรักจากข้า แต่กลับคิดถึงคนอื่น”
“คืออะไร ข้างงไปหมดแล้ว ข้า...ขอโทษ”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องขอโทษข้าไม่รู้สึกอะไรหรอก”
“....ทำไม”
“เพราะข้าไม่ได้รักเจ้ายังไงล่ะ”
7.
“เขาไม่ได้รักข้า”
เป็นระยะเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วที่เจเรมี่เฝ้าบอกตัวเอง
“เขาทำไปเพราะต้องการพลังเจ้าอย่าได้หลงระเริงว่าเขาจะรักเลย”
เหมือนยิ่งตอกย้ำหัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเจ็บ
“ดีแล้วที่เขาไม่ได้รักท่านเพราะดูเหมือนท่านจะรักเขาเต็มหัวใจเสียแล้ว”
ระหว่างคิดอะไรเพลินๆที่สวนสวยหลังคฤหาสน์ อยู่ๆเสียงทุ้มก็แหวกความเงียบเข้ามา
“ข้าคิดเสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“น่าจะยังงั้น”
อันที่จริงเขาเคยสบตาเจเรมี่มาก่อนหน้านี้
“ท่าน...ท่านเซ็ทธ์คิดอะไรอยู่เหรอ” เจเรมี่เห็นเซ็ทธ์นิ่งไปนาน
“อ่อ ข้าขอโทษ พอดีคิดอะไรเพลินๆ”
“ที่ท่านบอกว่าดีแล้วที่เขาเอ่อ...เดฟน่ะ ดีแล้วที่เขาไม่ได้รักข้า มันหมายความว่ายังไง”
“ท่านอย่าทำเป็นไร้เดียงสาไปเลยเจเรมี่” เซ็ทธ์ทำหน้าขึงขัง
“ถึงข้ารู้แล้วก็อยากรู้ความคิดเห็นจากท่านอีก ไม่ได้หรือ” เจเรมี่ยิ้มเจื่อน
“อืม”
“ข้ารู้มาก็เพียงแต่คำบอกเล่าจากคนอื่นยังไม่เคยได้เจอกับตัวเอง”
“อย่าบอกว่าท่านอยากเจอกับตัวเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ข้าคงห้ามท่านไม่ได้แล้ว เพราะดูท่านจะหลงรักเดฟเกินกว่าที่ใครจะรั้งไว้ได้”สายตาของเซ็ทธ์
“ข้า...ไม่ได้ตั้งใจ”
“ความรักที่ไหนเกิดจากความตั้งใจบ้าง”เหมือนเซ็ทธ์รำพึงกับตัวเอง
“แล้วถ้าเดฟรักข้า มันจะเกิดอะไรขึ้น”ร่างเล็กขยับเข้ามาถามใกล้ๆ
“ในเมื่อท่านรักเดฟแล้ว
“ท่านช่วยพูดให้เข้าใจง่ายๆหน่อยซี”
เย็นเฉียบ
“ไม่นะ ไม่จริง”
“มันคือเรื่องจริงเพราะนี่คือเมืองแห่งคำสาป” เน้นเสียงเป็นเชิงสำทับว่านี่คือเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้กับความจริงของอาณาจักรกริลเดอร์วาลแห่งนี้
“แล้วท่านล่ะท่านเคยรักใครที่เป็นจู๊ซบ้างมั้ย”
“เหมือนจะใกล้เคียงกับคำว่ารักที่สุดแต่เราไม่ได้เป็นคู่แท้กัน และเขาก็...ตายไปแล้ว” เซ็ทธ์ตอบเสียงนิ่ง
“ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้เลย”
“ไม่เป็นไร
“หา...”
“ท่านท่านรู้มั้ยว่าข้าก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย แต่ข้ารอดชีวิตมาได้จากการช่วยเหลือของใคร
“ดีแล้วที่เจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่าชายผู้มีบุญคุณต่อข้าเป็นใครรับรู้ก็แต่คำบอกเล่าของชาวบ้าน ชายผู้กล้าหาญคนนั้นโดดลงเรือว่ายน้ำไปช่วยชีวิตหลายคนทั้งที่น้ำอุณหภูมิเย็นเฉียบขนาดนั้น”
“มันเป็นหน้าที่”
“ไม่ใช่แค่หน้าที่ ข้ามั่นใจใครๆก็รักชีวิต ข้าเป็นเพียงลูกจ้างสายเลือดจู๊ซบนเรือนั่นชีวิตช่างไร้ค่ายิ่งนัก แต่เขาก็เลือกที่จะช่วยข้า
“อ่า” เซ็ทธ์ขยับตัวออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาชักจะอยู่ใกล้ผู้ประสบภัยเสียงแจ้วคนนี้มากเกินไปแล้ว
“ข้าอยากเจอเขาสักครั้ง”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าอยากขอบคุณเขาจากหัวใจอีกครั้งเพราะเขาแท้ๆ ข้าถึงได้มานั่งคุยกับท่านอยู่ตรงนี้ได้
เซ็ทธ์หันกลับมามองเจเรมี่อย่างเต็มตาจับไหล่บางอย่างทะนุถนอมให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง
“ถ้าเขารู้เขาคงดีใจที่ท่านสำนึกบุญคุณเขาขนาดนี้”
“ท่านช่วยข้าคิดหน่อยเขาทำแบบนี้ไปเพราะอะไร ทำไมถึงไม่เปิดเผยตัว”
“คงทำไปเพราะความปรารถนาดี”
“ความปรารถนาดี
“อืม ไม่รู้สิเจ้าก็รอถามเขาเองละกัน”
“จะมีโอกาสนั้นไหม”
“ที่น่าขันก็คืออะไรรู้ไหมท่าน ข้าละเมอถึงชายคนนั้นเกือบทุกคืน”
“......”
“ข้านี่แย่เสียจริง
“เดี๋ยวนะ ท่านละเมอถึงชายคนนั้น”
“ใช่” เจเรมี่ตอบหนักแน่น
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำ”
“การละเมอหาเขา หรือการสำนึกบุญคุณเขาล่ะ”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ไม่ยิ้มทำเอาเจเรมี่ทำตัวไม่ถูก มีเพียงสีหน้าที่ยากจะอธิบายเป็นคำตอบ
8.
คฤหาสน์หลังใหญ่ริมทะเลสาบแวลลีย์ตกเข้าสู่ภาวะเครียดขมึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจาเร็ดสนิทคนของ“ท่านนิค” ส่งข่าวมาบอกว่า ท่านนิคได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเจอร์ราดหลังจากคุยอย่างเคร่งเครียดนานนับชั่วโมง เดฟค่อยมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อคนของท่านพ่อยืนยันว่าอาการของประมุขของ
“เราต้องวางกองกำลังให้มากกว่านี้ไม่รู้ว่าท่านเจอร์ราดจะลอบเข้ามาเล่นงานนายน้อยเมื่อไหร่”
“ท่านพี่ จัดการได้เลยตอนนี้ข้าไม่ห่วงชีวิตตัวเองเท่าชีวิตท่านพ่อข้าอยากออกจากเมืองไปเยี่ยมท่านเหลือเกิน”
“ไม่ได้
“ข้าให้คนเตรียมอาหารว่างมาให้พวกท่านรับประทานก่อนเสียเถิด” เจเรมี่เดินเข้ามาในห้องโถงของบ้านที่ใช้เป็นห้องประชุมชั่วคราว
“ข้าไม่มีอารมณ์กิน
“เดฟ”
“ขอบคุณ วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวข้ากับท่านเดฟจะจัดการเอง”
“ขอโทษที่เข้ามากวนพอดีเห็นว่าตั้งแต่เที่ยงพวกท่านประชุมเครียด ยังไม่แตะข้าวปลาอาหารเลย”
“ยังไงก็...ขอบใจละกันเจ้าออกไปก่อนเถอะ แล้วก็คืนนี้ระวังตัวให้ดีๆทางที่ดีข้าว่าเจ้ากลับไปนอนบ้านพ่อบ้านแม่เจ้าดีกว่าไหม ท่านพี่ว่าไง”
“ข้าว่าก็ดีนะ เดี๋ยวข้าไปส่งท่านเจเรมี่เองข้าจะส่งทหารไปคุ้มกันด้วยส่วนหนึ่ง” เซ็ทธ์วางแผน
“ไม่ ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้า...เอ่อเป็นคนของท่านแล้ว ข้าจะทิ้งท่านไปได้อย่างไร” เจเรมี่แสดงจุดยืน
“เจ อย่าดื้อนักเลยถ้าเจ้าคิดว่าเป็นคนของข้าก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า!
เดฟจ้องเจเรมี่เขม็งภายในใจรู้สึกห่วงใยคนร่างเล็กตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก บอบบางเช่นนี้ หากคนของเจอร์ราดบุกมาเข้ามาทำอันตรายคืนนี้เขาคงทนไม่ได้ที่จะเห็น “คนของเขา” เป็นอะไรไป
9.
ค่ำคืนนี้เยือกเย็นกว่าที่เคยชาวกรินเดอร์วาลที่ปกติในฤดูร้อนจะออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งนานกว่าฤดูกาลอื่นๆต่างเงียบไปกว่าปกติ แม้จะเลยเวลาพระอาทิตย์ตกมาไม่นาน แต่ดูเหมือนร้านรวงและบ้านเรือนต่างๆจะปิดเร็วกว่าที่เคยกิ่งก้านต้นไม้ตามทางเดินเหมือนจะไหวตามลมวูบหนึ่ง
ทางเดินลงเนินจากคฤหาสน์ของเดฟมาที่บ้านหลังเก่าดูทอดยาวมากกว่าไปกว่าทุกวันเจเรมี่กระชับเสื้อคลุมเข้ากับร่างคล้ายปกป้องตัวเองจากความหนาว จนคนข้างๆอดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วงใย
“หนาวรึ เอาเสื้อข้าไปใส่ทับอีกไหม”
“ไม่ต้องหรอก แค่รู้สึกเย็นหน่อยๆอีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านข้าแล้ว” ปฏิเสธเสียงอ่อนทว่ามีความเด็ดเดี่ยวอยู่ในที
“ทำไมเขาถึงดูผลักไสข้าเหลือเกิน”
“ที่เดฟให้ท่านกลับมานอนบ้านเพราะเป็นห่วงท่านต่างหากหาใช่การผลักไสไม่” เซ็ทธ์อธิบายเสียงนุ่ม และก็เป็นทุกครั้งที่ชายผู้นี้ทำหน้าที่ปลอบประโลมใจยามที่เจเรมี่เครียดหรือไม่สบายใจตั้งแต่ไป“อาศัย” ที่คฤหาสน์หลังนั้น
วันนี้ก็เช่นกัน
“ข้าไม่ยักรู้เลยว่านี่คือการแสดงความเป็นห่วง”
“ที่คฤหาสน์ซ่อน
ระหว่างก้าวต่อ โดยไม่ทันระวังตัวเจเรมี่สะดุดกับก้อนหินขนาดย่อมจนเซถลาไปข้างหน้าเซ็ทธ์รีบใช้มือแกร่งดึงเอาไว้ได้ทัน หันมาอีกทีร่างเล็กก็อยู่ในอ้อมกอดของชายชาติทหารร่างสูงโปร่งเข้าให้เสียแล้วเจเรมี่เงยหน้าสบตาคมของเซ็ทธ์ หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าที่เคย
“ขอบคุณ...”
“ถึงแล้ว
“นี่คือเสบียงน่าจะพอได้กินถึงพรุ่งนี้ ข้าจะส่งคนเอามาให้อีก สองสามวันนี้ถ้าไม่มีอะไร เดฟคงจะมารับท่านกลับ”
ชายหนุ่มหลุดปากออกมาเบาๆเมื่อเห็นก้อนขนมปังนุ่มคุ้นตา
“ขนมปัง
“ท่านมีอะไรปิดบังข้าหรือไม่”
“เปล่านี่”
“ท่านเข้าบ้านเถิดข้าจะให้คนของข้าเฝ้าไว้ หากมีอะไรก็ส่งเสียงเรียกได้เลย”
“ข้า...ข้ากลัวท่านไม่ไปไม่ได้รึ”
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป ทหารพวกนี้มือดีข้าสัญญา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามีรอยขีดข่วนแม้แต่ปลายเล็บเลย”
“ขอบคุณท่านมาก”
“ข้าทำตามหน้าที่”
“เหมือนที่ท่านเคยช่วยข้าที่ทะเลสาบแวลลีย์เมื่อสองปีที่แล้วน่ะรึ”
10.
“บอกข้ามา หัวใจน้ำแข็งอยู่ที่ใด
“จะมีประโยชน์อันใดล่ะท่านอาในเมื่อได้ไปท่านก็ใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้” เดฟเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับความตายอย่างไม่ยี่หระ
“แกนี่มันเลวเหมือนพ่อไม่มีผิด
“หนีไป ทางนี้ข้าจัดการเองลูกน้องมันข้างนอกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ท่านพี่”
“ไป!!!!
ระหว่างที่เดฟละล้าละลังและดูเหมือนเซ็ทธ์จะเสียสมาธิไปเล็กน้อยทำให้เจอร์ราดสบโอกาสใช้จังหวะนี้ดิ้นหลุดออกจากการล็อคของเซ็ทธ์
“เซ็ทธ์เจ้ามันก็เหมือนหมารับใช้ข้างถนนในเมื่อช้าชวนอย่างไรเจ้าก็ไม่เปลี่ยนใจ งั้นเจ้าก็ตาย ซะเถอะ”
“ฉึก
เซ็ทธ์พยายามกอบกู้เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายเข้าสู้
วินานี้เขาหวนนึกถึงใบหน้าของเจเรมี่
คู่หมายของเขาจมน้ำลึกโดยไม่อาจช่วยไว้ได้ระหว่างที่ให้กำลังพลค้นหาในน้ำยามรัตติกาล เขาก็ได้พบกับเจ้าของดวงหน้าสวยที่เกาะเศษไม้อยู่กลางทะเลสาบเขาจำได้ว่าตัวเองว่ายน้ำสุดกำลังเข้าไปช่วย และเมื่อนำร่างขึ้นฝั่งเขาก็ยังให้อ้อมกอดเพื่อมอบความอบอุ่นแก่ร่างเ
คงจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต...สังหรณ์บางอย่างบอกเขาเช่นนั้น
ใบหน้าของเจเรมี่เลือนหายออกไปทุกทีพร้อมๆกับคมกริชของเจอร์ราดที่จ้วงแทงเข้าที่ท้อง
11.
“เจ...เจ้าจะร้องไห้ทำไมข้ายังไม่ตาย” เดฟผู้ซึ่งบอบช้ำจากการต่อสู้กับเจอร์ราดและโดนกริชบาดเข้าที่คอ แม้จะไม่ลึกมากหากแต่ทำเอาเสียเลือดไปไม่น้อย
“ข้าเป็นห่วงนี่นา”
“ข้ามอบให้เจ้าดูแล”
“มันคืออะไรรึท่าน”
“มันคือหัวใจน้ำแข็งสัญลักษณ์ประจำตระกูลข้า”
เจเรมี่ที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในมือถึงกับอึ้งมองหน้าเดฟ เหมือนจะพูดว่า ทำไมท่านถึงมอบสิ่งที่เกินเอื้อมขนาดนี้ให้ข้า
“เพราะเจ้าเป็นคนของข้า...ยังไงล่ะ”
เกิดภาวะเงียบงันไปชั่วขณะก่อนที่เดฟจะชั่งใจแล้วพูดบางอย่างออกมา
“โปรดอย่าเข้าใจผิดยังไงข้าก็ไม่ได้รักท่าน ข้าไม่ได้รักเลยสักนิด”
เจเรมี่อึ้งไปครู่หนึ่ง
“นั่นล่ะคือคำขอของข้า ได้โปรดท่านอย่าได้รักข้าเลย”
ไปมากกว่านั้น
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยท่านตัวร้อนเป็นไฟแล้ว พักผ่อนเสียเถิด คืนนี้อยู่กับข้า ข้าจะมอบพลังให้ท่านเอง”
“เจเรมี่....ข้าว่า”
ไม่ปล่อยให้เขาพูดจบประโยคเสียงเจเรมี่เริ่มเครือน้อยๆ
“ข้าต้องทำเพราะข้าเป็นคนของท่าน”
12.
นานหลายชั่วโมงที่เดฟอยู่ในอ้อมกอดของเจเรมี่
หลังจากจัดแจงให้เดฟได้นอนพักอย่างสบายตัวแล้ว
“เซ็ทธ์
“ใช่ ข้าเอง”
“ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เจเรมี่ปราดเข้ามาจับไหล่องครักษ์หนุ่มอย่าง
“ก็...เจ็บนิดหน่อยว่าแต่นายน้อยเป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้ว ข้าเอ่อ...ให้พลังทั้งคืนแล้ว” เสียงเขาดูเหมือนขัดเขินเล็กน้อย
“ดี ดีมาก”
เจเรมี่เดินไปเปิดม่านมองไปข้างนอกเห็นทหารนับได้กว่าสิบชีวิตกำลังยืนคุ้มกันอยู่รอบบ้าน
“ทำไมท่านหน้าซีดขนาดนี้”
ใช้เวลาอยู่นานกว่าดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเซ็ทธ์
“ข้าไม่เป็นไร”
“หะ นี่เลือด เลือดทั้งนั้น”
“ข้าจะไปเรียกหมอ”
“เจ้า....”
“ข้าจะให้พลังท่านเอง
“ไม่ได้ จะทำได้อย่างไร ลืมข้อจำกัดของตนเองแล้วหรือถ้าให้พลังเกินกว่าร่างกายจะ
“ไม่
“ดูสภาพเจ้าสิ เจ้าไม่ไหวแล้วอีกอย่างมัน... ไม่สมควรเลย” น้ำเสียงของเขาแสนเข้มงวด
“ทำไมล่ะทำไมข้าจะช่วยคนที่มีบุญคุณต่อข้าไม่ได้” เจเรมี่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นแต่ยัง ไม่วายสั่นเขารู้สึกน้อยใจคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ทำไมล่ะ ทำไมถึงจะช่วยไม่ได้
เหมือนน้ำแข็งในร่างจะละลายหลังได้ยินเจเรมี่ตัดพ้อ
“ถ้าเป็นเหตุผลนี้ ก็จงปล่อยข้าไปเสียเถอะ”
“ท่าน....”
“เซ็ทธ์ มันไม่ใช่แค่นั้น...”
“พอเถอะ”
พยายามจะอธิบาย แต่เหมือนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมฟังเจเรมี่ถอยตัวออกห่างเหมือนจะเรียกสติตัวเองคืนมา
“ข้ามาเพื่อบอกลาข้ารู้ตัวว่าคงอยู่ได้ไม่นาน อาการข้าเกินเยียวยาแล้ว ฝากดูแลนายน้อยด้วย”
“เซ็ทธ์ ข้าปล่อยให้ท่านตายไม่ได้”
“แต่ถ้าให้พลังข้าคนที่ต้องตายก็คือเจ้า” เสียงหัวใจเซ็ทธ์เต้นระทึกพร้อมๆกับแนบสัมผัสอบอุ่นลงไปที่แก้มนิ่มของเจเรมี่
ความรู้สึกผะผ่าวบนแก้มกับเสียงหัวใจที่ทั้งสองเต้นแทบเป็นจังหวะเดียวกันทำให้เจเรมี่ตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด
“ต่อให้ตายข้าก็ยอม”
.
.
.
“อย่างนั้นรึ
เสียงแหบโหยระคนเศร้าลึกของใครบางคนดังออกจากห้องนอนที่บานประตูถูกแง้มออกเมื่อไร..ไม่รู้
13.
แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านสีครีมที่ถูกแง้มไว้พอประมาณเข้ามาส่องสว่างในห้องสี่เหลี่ยมขนาด78 ตารางเมตร ลำแสงที่จับม่านฝุ่นดูว่อนวุ่นวิบไหวกระทบกับเจ้าของเปลือกตาสีมุกที่เพิ่งตื่นจากการตกอยู่ในห้วงนิทรามานานกว่าเจ็ดสิบสองชั่วโมง
“ท่านพี่ตอบข้ามา
“เจเรมี่ไม่อยู่แล้วนั่นคือคำตอบของข้า”
คำตอบของเซ็ทธ์เหมือนแว่วมาจากที่ไกล
“ตอนนี้ก็เป็นข้าที่ไม่ควรอยู่
“เซ็ทธ์
“ข้ารู้ เมื่อใดที่เราชาวไอซ์ยอมรับด้วยใจบริสุทธิ์ว่าเรารักจู๊ซและจู๊ซก็รักเราจากใจบริสุทธ์ด้วยกัน”
เซ็ทธ์พยายามฝืนยิ้มจนมองเห็นฟันขาวตัดกับไรหนวดเขียวครึ้ม
“เราจะละลาย ตาย และ...หายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล”
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว
“ท่านพี่ ทำไมท่านทำแบบนี้เจเรมี่ให้พลังเพื่อให้ท่านมีชีวิตกลับคืนมาแท้ๆ” ประกายตาสีน้ำตาลเข้มดูร้าวรานกว่าที่เคยและอีกชั่วขณะหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวราวกับมีกลุ่มเมฆฝนดำทะมึนเข้าครอบครอง
“ทำไมคนที่ข้า...ทั้งสองคนจะต้องมาหนีข้าไปแบบนี้”ริมฝีปากเดฟสั่น
“โกรธข้าไหม”
คำถามของเซ็ทธ์แสนสั้นแต่ยากจะตอบเหลือเกิน
เดฟให้ความเงียบเป็นคำตอบ
“ถึงเวลาที่ข้าจะต้อง
อ้อมกอดสุดท้ายของพี่น้องสายเลือดไอซ์ช่างหนาวเหน็บเหลือทน
“สัญญากับข้าได้ไหมว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เซ็ทธ์เอ่ยถามก่อนจะเดินไปผลักประตูห้องร่างสูงยืนอยู่หน้าประตู มือข้างหนึ่งดันบานประตูไว้ก่อนจะหันมามองหน้าชายผู้เป็นทั้งน้องชายแสนรักเพื่อนที่แสนดี เจ้านายผู้เปี่ยมเมตตา และศัตรูหัวใจ...เป็นครั้งสุดท้าย
ใบหน้าที่เคยสดใสเหมือนสีรุ้งบนฟ้าครามของเดฟในยามนี้เหมือนถูกระบายด้วยสีน้ำตาล
บานประตูสีเทาขุ่นปิดลงเบาๆพร้อมกับคำตอบที่เลือนรางและว่างโหวงของนายน้อย
- The End
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in