เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ในหนึ่งวันrain_blablobly
บางส่วนของสติที่หายไป
  • ในเย็นวันพุธกลางสับดาห์ที่สองของเดือนธันวาคม
    เวลาประมาณหกโมงเย็นที่เราเตรียมจะพักผ่อนเบาๆ
    สายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทเข้ามาและก็รับสายได้ความว่า
    "วันนี้เบื่อ เพลียกับงานมากเลย ไปหาไรดื่มกัน"
    อ่ะ ตัวลิเบอโร่อย่างเรา ก็โอนเอนไหวตาม ได้หมด

    แน่นอนว่าบรรยากาศมันก็เต็มไปด้วยการระบายความรู้สึก
    จากการทำงาน ความเหนื่อยหน่าย อ่อนล้าใจกายของวันนี้
    ผลัดกันพูด คุย แชร์เรื่องนั้นเรื่องนี้ ขำขัน ยิ้มแย้ม ซีเรียส
    คุยไป ทานข้าวไป ดื่มไป เสียงรถข้างทางก็ดังสวนทางตลอดเวลา
    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความธรรมดาของวัยทำงานที่ต้องพบเจอ
    การได้นั่งคุย พบปะ กับคนที่ไว้ใจ สบายใจ มันผ่อนแรงเหนื่อยลงได้
    ถ้าวันนั้นคุณเก็บบางสิ่งอย่างที่ไม่สบายใจเข้ามาในเม็มโมรี่ของคุณ
    ทั้งโดยตั้งใจและมันซึมซับมาเอง ก็อยากให้หาวิธีระบายออกไป
    ระบายออกในวันนั้นเลยยิ่งดี แม้เพียงเล็กน้อยมันก็ดีต่อจิตใจในวันต่อไป
    วิธีการที่เราใช้บ่อย นอกจากการพูดคุยกับเพื่อนสนิม เช่น

    การเขียนสิ่งที่อยู่ในหัว ในใจ ที่มันให้ความรู้สึกไม่สบายใจออกมา
    เขียนทั้งในไอจีส่วนตัวแต่ระบายในส่วนที่เปิดเผยได้ ไม่ทั้งหมด 
    เขียนลงสมุดบันทึกของตัวเอง ที่มีแต่เราที่รู้เรื่องราวในนั้น
    ฟังเพลงที่ชอบ ที่น่าจะคลายความรู้สึกไม่สบายใจนั้นออกไปได้
    นอนหลับ พักผ่อน การนอนหลับแม้อาจไม่ช่วยให้เรื่องไม่ดีทั้งหมด
    หายไปได้ เมื่อเวลาตื่นขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่เราได้นอนพักผ่อนนั้น
    มันจะเบรคความรู้สึกเราไว้ ไม่ให้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เมื่อตื่นขึ้นมา
    เรื่องนั้นก็ยังคงอยู่แหละ แต่มันจะเย็นขึ้น ใจ ความรู้สึกเราจะเบา คลี่คลายได้กว่า
    ดังนั้น การนอนหลับพักผ่อนได้ทั้งกาย ใจ สมอง ทุกระบบของร่างกาย ให้หยุดทำงาน
    ในบางช่วงเวลา ขณะนั้น

    สามย่อหน้านี้คือการเขียนหลังจากตื่นขึ้นมาตอนเช้า ที่ร่างกายไม่อนุญาตให้ตื่นสาย
    แม้ใจนั้นอยากนอนอืดอยู่บนที่นอนมากขนาดไหนก็ตาม กายมันเป็นนาย
    เป็นการเขียนในช่วงที่สติไม่ได้หายไป เป็นเราในแบบสติ 100% 
    การเขียนก็จะมีบรรยากาศของเหตุและผลชัดเจน และค่อนข้างเข้มข้น
    ซึ่งก่อนนี้ ก็คือเมื่อคืนหลังจากดื่มมานิดหน่อย แอลกอฮอล์เข้าเส้นให้เบลอเล็กน้อย
    อยากเขียนในช่วงที่สติหายไปบางส่วน เล็กน้อยเท่านั้น เล็กน้อยจริงๆ ค่ะ
    เชื่อว่าเราจะเขียนในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่อย่างสามย่อหน้าแรกแน่นอน
    มันอาจจะออกมาในรูปแบบของการเวิ่นเว้อ สาธยายนี่นั่น ระบายความรู้สึกอึดอัด
    ความหน่วงๆ ในใจกับช่วงเวลานั้นที่สติหายไปบางส่วน (เล็กน้อย)
    และเราต้องการเขียนในช่วงเวลานั้น เพียงแต่เราง่วงมาก เราไม่ไหว ปัดโถ่!!
    ก็เลยไม่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองเวิ่นเว้อออกมา ซึ่งมันไม่ดีหรอก ฮ่า

    ถ้าสติหายไป 25% เราก็จะเขียนเรื่องราวในอีกแบบหนึ่ง
    ถ้าสติหายไป 50% เราก็จะได้เรื่องราวในอีกแบบหนึ่ง
    ถ้าสติหายไปมากกว่า 50% เราอาจจะไม่ได้เรื่องราวอะไรเลย
    เพราะเราจะง่วงและหลับไปเลย แต่อาจจะมือลั่นไปโซเชียลของคนที่ส่องอยู่บ้าง
    อันเนี่ย เดือดร้อน ได้เรื่องแน่ๆ ฮ่า
    แน่นอนว่าเราคอนโทรลการดื่มตัวเองไม่ให้สติหายไปเกิน 50%
    ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพราะไม่ชอบสภาพของความขาดสติแบบภาพตัด
    แม้จะอยากลองมีภาพตัดอย่างที่เพื่อนเคยเป็นและเล่าให้ฟังบ้าง
    แต่สมองมันจะคอนโทรลเองว่าเริ่มแขนล้าละนะ ต้องเพลาลง โดยอัตโนมัติ
    เพราะถ้าภาพตัดคือตื่นมาอีกทีจำอะไรไม่ได้ใช่มั้ย อันนี้จากที่เพื่อนเล่า
    แต่เราดันจำได้ทุกอย่าง อะไรที่ทำแล้วน่าอายก็ยังจำได้ มันภาพตัดไม่จริงไง

    บางส่วนของสติที่หายไปของเมื่อคืน ไม่ถูกเขียนออกมา เพราะง่วงและหลับไปเลย
    ซึ่งก็ดีแล้วใช่ไหม ดีในแบบที่ไม่ต้องทำอะไรตอนสติไม่เต็มร้อย
    แต่ในอีกมุมหนึ่งของเรา มันเหมือนได้ทดลองทำงาน "เขียน" หรืองานศิลปะอื่นๆ ก็ได้
    คืออย่างที่บอกไว้ ทำงานตอนมีสติเต็มกับสติหายไปบางส่วน มันจะได้งานที่ไม่เหมือนกันแน่นอน
    ซึ่งมันน่าลองทำนะตอนไม่มีสติอ่ะ เคยอ่านบทความที่มีศิลปินใช้สารเสพติดแต่ละชนิด
    แล้ววาดภาพออกมา แต่ต้องได้รับการควบคุม ดูแลจากแพทย์ด้วยนะ
    คือมันจะเข้าฟีลนี้ นี่โยงสิ่งดีเพื่อซับพอร์ตแนวคิดตัวเองล้วนๆ ฮ่าๆ
    ถ้าทำในเชิงงานศิลปะมันก็น่าสนใจนะคะ ช่วงที่ขาดสติไปบางส่วน
    งานที่ออกมามันคงถ้าไม่ขาดก็เกิน บางเวลาลดใช้สติบ้างก็น่าจะดี
    ปล่อยเบลอๆ ลอยๆ ไปในตอนผลิตงานแล้วมาดูว่ามันจะออกมาแบบไหน
    หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วแบบสติเต็มร้อย เราอาจจะขำ สงสาร สมเพช ตัวเองก็เป็นได้
    อย่างว่า ทำงานศิลปะความรู้สึกก็คงขาดไม่ได้ อาจจะไม่นำทางและมันก็คงเป็นองค์ประกอบหลัก

    เอาเถอะเขียนลากยาวแบบไม่มีเนื้อมาขนาดนี้ จับอะไรได้บ้างไหมค่ะ
    เขียนตอนเช้าแบบมีสติมันคงไม่ตรงกับคอนเทนต์หรือความรู้สึกของเมื่อคืนแน่นอน
    แต่ก็เป็นอีกแบบหนึ่งที่ตัวแปรในตัวเราต่างออกไป งานมันก็แตกต่างไปในอีกทิศทาง
    ขอแปะเพลงนี้ไว้ เพราะเราใช้ตัดประกอบซีนหนึ่งในเหตุการณ์ของที่เกิดขึ้นแล้ว
    แบบให้ใจไหวและมัวเมาสับสนว่ามันคืออะไร มันมีความหมายอยู่ในนั้นไหม
    รวมทั้งหน้าของบารัค โอบามา ไอดอลด้านไลฟ์สไตล์และความสามารถที่เราชื่นชอบ


    อ่านมาถึงตรงนี้ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้อะไรในนี้ ก็ฟังเพลงเพราะๆ ไปแทนละกันค่ะ
    หวังว่าจะได้ feeling pastel แทน feeling blue นะคะ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in