เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LAKORNWATCHIES
D.P เพราะเรื่องเข้ากรมเป็นปัญหาของเราทุกคน




  • "ต่อจากนี้ไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องแน่เลยค่ะ 

    ใครที่อยากไปดูเองอาจจะต้องระวังหน่อยนะคะ หรือไม่ก็ปิดบทความนี้ก่อนเลย 

    เรากลัวจะทำให้หมดอรรถรสในการดูเหลือเกิน

    และมีการใส่ความคิดเห็นของเราเพิ่มเติมปะปนอยู่(เต็มไปหมด)นะคะ"


    D.P ซีรีส์เกาหลี Original Netflix ลำดับที่ 4 ในปีนี้ (Love Alarm, Move to Heaven, So not worth it) 

    เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภายในค่ายทหารโดยเน้นไปที่ทหารถูกเกณฑ์มาเข้ากรมเพื่อ"รับใช้ชาติ" 2 ปี เป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแวะวิพากษ์ระบบชนชั้น หรือกระบวนการต่างๆในภาพของหน่วยที่อยู่เหนือทหารเกณฑ์ไปอีกด้วย โดยเล่าผ่านการทำงานของหน่วย D.P ที่ย่อมาจาก Deserter Pursuit แปลตรงตัวว่าหน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพมีระบบการทำงานเป็นคู่หูในการออกปฏิบัติการ

    มาลองดูตัวอย่างกันหน่อยดีกว่าค่ะ



    D.P. เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวในรั้วค่ายทหารในส่วนของทหารเกณฑ์อย่างที่เราได้เห็นกันในทีเซอร์ โดยเล่าผ่านหน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพและสะท้อนให้เห็นว่ากองทัพส่งผลต่อพฤติกรรมและสภาพจิตใจของคนอย่างไรผ่านทหารแต่ละเคสที่ทั้งคู่ต้องออกไปไล่ตามหา และด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของเราเราคิดว่าคงเพราะเขาไม่อยากให้รู้สึกว่าเรื่องกองทัพและการต้องเข้ากรมเป็นเพียงเรื่องของเพศสภาพชาย เขาเลยอยากเล่าให้เรารู้สึกกับผู้คนในกองทัพว่าอาจจะเป็นเพื่อนคนรัก น้องหรือใครสักคนในชีวิตเราที่เรารักต้องเจอเรื่องอย่างนี้เหมือนกันและจุดประสงค์นั้นได้บอกเล่าผ่านตัว OPV เปิดเรื่องที่ทำเอาเราน้ำตาซึมตั้งแต่แรกราวกับว่าเรากำลังเฝ้าดูการเติบโตของคนสักคน ตั้งแต่วันแรกจนวันที่เขาต้องไปต่อแถวเพื่อเข้ารับใช้ชาติตามที่เขาว่า

     

     

     "อันจุนโฮ"


    คือทหารเกณฑ์หน้าใหม่ที่เงียบขรึมและสุขุมเขาเป็นคนที่ทำได้ดีในหลาย ๆ ด้านเตะตาผู้ดูแลหน่วย D.P. กันเลยทีเดียวแต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด เด็กใหม่แล้วยังเก่งอีกเลยทำให้รุ่นพี่ในค่ายดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นักนอกจากนั้นแล้วด้วยความเป็นเด็กใหม่จะทำให้เขาทำหน้าที่อยากรู้อยากเห็นแทนคนดูได้ดีในการอยากเรียนรู้ หรือตั้งคำถามกับระบบที่ดูจะปกตินี้


    เราว่าเขาสร้างคาแรคเตอร์จุนโฮออกมาได้น่าสนใจโดยให้ตัวจุนโฮรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้เฝ้ามองมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องครอบครัวที่เห็นพ่อทำร้ายแม่หรือเป็นในกรมที่เขาทำได้เพียงมองผู้คนเหล่านั้นถูกระบบในกองทัพทำร้ายการวางจุนโฮมาแบบนี้ ทำให้ยิ่งรีเลทกับการทำงานในหน่วย D.P. มากขึ้นด้วยในฐานะของคนที่ทำได้เพียงเฝ้ามองและคอยแก้ปัญหาหลังจากที่เกิดขึ้นไปแล้วแทนที่จะหยุดมัน

    ซึ่งบทนี้ได้จองแฮอินเจ้าชายแห่งวงการเล่นบทรันทดในละครชวนง่วง (?) ที่เราคุ้นชินกับเขาในงานสายโรแมนติกอบอุ่นหัวใจและเปื้อนน้ำตาเป็นส่วนใหญ่มาถ่ายทอดความเงียบลึกแต่แหลกสลายของจุนโฮออกมาซึ่งเขาเหมาะกับบทแนวนี้จริง ๆ 
     

    "ฮันโฮยอล"

    รุ่นพี่ในทีมที่ลูกล่อลูกชนเยอะมากเป็นตัวละครที่พราวเสน่ห์สุด ๆ ยิ่งได้กูคโยฮวานมาเล่นคือกินขาด ตัวขโมยซีนของจริง ด้วยความเป็นรุ่นพี่จึงดูเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคู่มือในการเรียนรู้เรื่องราวในกองทัพของอันจุนโฮเป็นคนที่เหมือนจะไม่ใส่ใจแต่ก็มีความใส่ใจมากกว่าที่เราเห็นเขาเป็นตัวละครที่มองทุกอย่างด้วยมุมของผู้เฝ้ามองมาตลอด

    เราชอบพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ที่ถูกใส่มาอย่างน่าสนใจเลยแน่นอนว่าเพราะเขาดูจะเฝ้ามองมาตลอด และทำ D.P. เพียงเพราะอยากให้เวลาในกองทัพมันผ่านไปเร็ว ๆแต่เคสที่เขาได้เจอ ตั้งแต่แรกจนเคสสุดท้ายมันทำให้เรารู้สึกว่าตัวโฮยอลในตอนแรกที่ได้เจอกับตอนท้ายเรื่องค่อย ๆ มีมุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็รับรู้ และเข้าใจถึงว่าการเป็นผู้เฝ้ามองก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไร

     

     

    "พัคบอมกู"

    เป็นตัวละครที่เราชอบมากที่สุดในเรื่องนี้เลยก้นบุหรี่มากมายที่กองอยู่ในที่เขี่ยบนโต๊ะเขาแปรผันตรงกับความเครียดที่เขาต้องจัดการในฐานะผู้ดูแลหน่วยD.P. และทหารที่ยศไม่ได้สูงแต่เห็นและรับรู้เรื่องทุกอย่างและยังเข้าใจถึงที่มาที่ไปแต่ตัวเขาก็ไม่สามารถที่จะคว่ำระบบได้เลยเป็นตัวละครที่ดำรงอยู่บนความอิหลักอิเหลื่อเราได้เห็นความพยายามในการที่เขาจะหยุดพฤติกรรมที่มันไม่ดีในกองทัพตั้งแต่ตอนแรกเพียงแต่ในขอบข่ายอำนาจมันเอื้อให้เขาทำได้เท่านี้

    คุณคิมซองกยุนเขาถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ออกมาได้น่าสนใจมาก เป็นตัวละครที่เรารู้สึกถึงอาการน้ำท่วมปากไปหมดแบบเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่ได้เพราะขาดซึ่งอำนาจแต่ถอยหลังก็ไม่ได้แล้วเพราะเขารับรู้และมีความเข้าอกเข้าใจเกินกว่าจะปล่อยมันไปเลยเป็นตัวละครที่ทำให้สร้างบรรยากาศให้เรารู้สึกอึดอัดอยู่ตลอดแต่ก็ไม่ได้หนักจนเกินไป ชอบเขาเล่นมาก ๆ TT

     


    "อิมจีซอบ"

    ร้อยเอกที่เพิ่งย้ายมายังกองนี้แต่พราวด์ไปด้วยอำนาจและด้วยอีโก้ที่สูงลิบจนถ้ากระโดดลงมาจากเราคงเจ็บหนักทำให้เขาเป็นตัวละครน่าหมั่นไส้จนเราอยากจะเข้าไปในจอแล้วชกเขาสักครั้งนึงแต่เขาใช้ตัวละครตัวนี้เพื่อเล่าถึงเรื่องราวทหารบนโต๊ะในกองทัพได้น่าสนใจ

    เพราะเป็นคนที่มีอำนาจอยู่เหนือหลายคน แต่ว่าก็ยังอยู่ใต้หลายคนอีกทั้งยังเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่จะไต่ขึ้นไปอยู่ยศสูง ๆเลยใช้เล่าถึงแนวคิดของพวกที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานในแวดวงนี้ได้เลยและซนซอกกูก็เล่นออกมาได้น่าเหยียบมาก สีหน้าท่าทางเขาในแต่ละซีนมันโอ๊ยน่าหมั่นไส้อะไรขนาดนี้ แค่นึกถึงหน้าเขาตอนพิมก็อยากเห็นเขาโดนรุมตีสักรอบอะ 55555



    "พวกเราต่างได้รับความเจ็บปวด

    จากการเข้ากรมของกองทัพด้วยกันทั้งนั้น"


    อาจจะเป็นสิ่งที่ D.P. อยากให้เรารู้สึกอย่างที่ผู้กำกับได้บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาอยากให้เรารู้สึกว่าทหารในกองทัพอาจจะเป็นคนในชีวิตของเราสักคนและนั้นทำให้แม้ว่าเราไม่ใช่คนที่ถูกระบบกองทัพ abuse โดยตรงแต่ก็เป็นคนที่ต้องเจ็บปวดทางอ้อมอยู่ดี 


    ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราได้เห็นกันตั้งแต่ตอนแรกเรื่องราวของชินอูซอก (รับบทโดยพัคจองอู)ที่รู้สึกถูกกดมาตลอดตั้งแต่สังคมการทำงานที่เส็งเคร็งจนกระทั่งการโดนกลั่นแกล้งในกองทัพที่ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าและชีวิตไม่มีค่าจนนำทางไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตในที่สุดซึ่งแน่นอนว่าคนที่ยังอยู่ก็ยังต้องรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของการสูญเสียคนรักไปอย่างหาคำตอบไม่ได้ว่ากองทัพทำให้คนที่เขารักจากไปอย่างนี้ได้ยังไง 

     

     

    นอกจากนั้นแล้วก็ยังพูดถึงพริวิเลจต่าง ๆที่กองทัพมอบให้แก่พวกอภิสิทธิ์ชนในกองทัพอย่างพัคซังอู  (ที่รับบทโดยโกคยองพโย) ที่เป็นลูกชายรัฐมนตรีทำให้เขาได้รับเลือกมาอยู่หน่วยงานที่มีอภิสิทธิ์แบบ D.P. มีชีวิตที่สบายกว่าหลายคนหรือแม้กระทั่งกลุ่มเพื่อนเขาที่ได้รับการยกเว้นการเข้ากรมเพราะที่บ้านเป็นผู้มีอิทธิพล มีอำนาจเลยสามารถสร้างเรื่องเพื่อเลี่ยงการเข้ากรมได้



    ในตอนแรกนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกหนักจนไม่อยากไปต่อเช่นเดียวกับตัวจุนโฮที่มาเจอเคสแรกของการเริ่มทำงานในหน่วยนี้เขาไม่สามารถรักษาชีวิตของเหยื่อผู้ถูกทำร้ายในกองทัพเพียงเพราะความเลินเล่อของทั้งเขาและตัวคู่หูแต่ในตอนนี้ก็เป็นการพูดถึงความพยายามที่จะทำให้ D.P. ไม่ได้มีหน้าที่เพียงจับทหารให้กลับมาเข้าระเบียบของกองทัพแต่เป็นการช่วยให้เหล่าคนผู้ถูกกดขี่จากระบบไม่ตัดสินใจทำอะไรที่เราไม่คาดคิดอีกด้วยแต่เรื่องก็ยังย้ำอยู่เสมอว่าการแก้ปัญหาของเหล่าผู้เฝ้ามองนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุผ่านไดอะล็อคที่แต่ละตัวละครตั้งคำถามกับเคสต่าง ๆ


     

    และคงเพราะในเคสแรกหนักมากจนเราหายใจไม่ออกเลยอาจจะเป็นเหตุผลทำให้เรื่องราวในเคสที่ ดูเบาลงเพื่อให้ทั้งเราและตัวละครได้หายใจหายคอขึ้นหน่อยเราว่าน่าสนใจดีที่หยิบเรื่องราวของการที่ "ชเวจุนมก" (รับบทโดย คิมดงยอง)โดนกลั่นแกล้งจนไม่สามารถนอนหลับดี ๆ มาเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหนีทหาร ราวกับว่าเขาแค่หนีเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสหลับดี ๆ สักหน่อย

    เรื่องที่ดูเหมือนจะเล็กแต่ก็ถูกหยิบมาเล่าด้วยความใส่ใจและฉายให้เห็นภาพของคนที่โดนสวมหน้ากากตอนนอนแล้วเทน้ำใส่เพื่อให้เขาหายใจไม่ออกจนต้องตื่นมันแย่แค่ไหนไม่ว่ายังไงมันก็คือผลจากการกลั่นแกล้งของกองทัพที่หลายคนแกล้งปิดตาข้างเดียวมาตลอด


     


    และแน่นอนว่าเมื่อตามกลับมาได้ ในตอนที่ 4 ของเรื่องก็ได้ตอกย้ำถึงความละเลยและเพิกเฉยต่อเรื่องราวพวกนี้ของกองทัพราวกับการคาดหวังว่าคนพวกนั้นควรจะได้รับโทษกลับเป็นเพียงคำสั่งย้าย ไร้ซึ่งความผิดติดตัวไป และในฐานะแม่ที่เชื่อว่ากองทัพจะจัดการอย่างยุติธรรมเมื่อได้รับฟังความจริงจากปากลูกชายก็เต็มไปด้วยคำถามที่แม้แต่คนที่อยู่ในระบบไม่ว่าจะเป็นจ่าพัคหรือผู้กองอิมก็ให้คำตอบกับเธอไม่ได้และยิ่งตอกย้ำผ่านไดอะล็อคที่คุยกันระหว่างมื้อเย็นของเหล่าทหารข้างบนถึงการตั้งใจละเลยซุกปัญหาทั้งหมดไว้ใต้พรมเพียงเพราะว่าต้องการที่จะรักษาหน้าของพวกนายพลระดับสูงในหน่วยเท่านั้น





    เรื่องการใช้งานพลทหารเพื่อตอบสนองความต้องการของทหารชั้นผู้ใหญ่ก็จะถูกหยิบยกมาให้เราได้เห็นเรื่อยๆ ตั้งแต่การที่นึกครึ้มอยากย้ายต้นไม้กลางดึกไปจนถึงการที่อยากได้หน้าจากนายทหารชั้นสูงจนต้องสั่งทหารชั้นผู้น้อยออกไปช่วยงานในเวลาวันหยุดพิเศษอย่างการไล่จับอันธพาลหนีทหารอย่างจองฮยอนมิน (รับบทโดยอีจุนยอง)ในช่วงพักร้อนของกองอื่นเพียงเพราะอยากเอาใจทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นตอนที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารที่ยศน้อยกว่ากับทหารที่ยศสูงกว่าได้น่าสนใจดี




    ในเคสนี้น่าสนใจมากการหนีทหารของนักเรียนตัวท๊อปเพราะเป็นห่วงยายที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวข้างนอก  ทำให้เขาได้ใช้ทฤษฎีที่เรียนมาเพื่อสร้างแผนการการหลบหนีครั้งใหญ่จากกองทัพเราค่อนข้างประทับใจประเด็นในตอนนี้มากเพราะเขาเปิดด้วยการพูดถึงเรื่องโสมมในกองทัพก่อนเลยทั้งเรื่องการหาเงินด้วยวิธีผิดกฎหมายต่าง ๆถูกเล่าออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดแผกอะไรและจากไดอะล็อคในช่วงท้ายเราคิดว่าเพราะอย่างนี้แหละเลยทำให้ตัวพลทหารฮอชีโดของเราตัดสินใจที่จะเข้ากรมมาเพื่อหาเงินจากเรื่องไม่ดีตรงนี้

     


    แต่ทว่าพอเข้ามาแล้วกลับมีปัญหาเรื่องการเวนคืนไล่ที่ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของครอบครัวของเขาซึ่งก้คือคุณย่าเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่สวัสดิการที่รัฐมีต่อคนแก่มันไม่ได้ดีจนเขาจะฝากฝังยายไว้ได้ มีคนแวะมาดูเป็นครั้งคราวการเข้าสถานพักคนชราต้องใช้เงิน แต่การไล่ที่ก็รัดตัวเหลือเกินเลยทำให้เขาตัดสินใจหนีทหารเพื่อให้สามารถหาเงินไปและแวะไปดูแลยายที่อยู่คนเดียวท่ามกลางการไล่ที่ได้ด้วย



    จึงเป็นเคสที่วิพากษ์ตั้งแต่ความโสมมเน่าเฟะในกองทัพไปจนถึงรัฐได้น่าสนใจมากในแง่ของการที่ต้องการใช้แรงงานทหารฟรีจากการบังคับให้พลเรือนต้องเกณฑ์ทหารก็เป็นการจัดโอกาสในการใช้ชีวิตเพื่อหากินข้างนอกอยู่แล้วยังไม่สามารถมีสวัสดิการที่ดูแลคนแก่ได้อย่างทั่วถึงเหมือนว่าถ้าจะอยากได้แรงงานตรงนี้ฟรีด้วยการบังคับผ่านกฎหมายแล้ว ทำไมถึงไม่สามารถบริการสวัสดิการตรงนี้ให้มันดีได้เขาจะได้ไม่มีเหตุให้ต้องหนีทหารออกมา

    แล้วก็เช่นเคยตามสไตล์หนังเกาหลีคือภาพลักษณ์การไล่ที่การเวนคืนเป็นเรื่องราวที่ขัดแย้งและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในชุมชนตัวเล็ก ๆ เสมอยิ่งพอมาในรูปแบบที่คนแก่อยู่บ้านคนเดยวไม่มีคนเหลียวแลด้วยแล้วยิ่งทำให้ส่วนตัวแล้วเราตั้งคำถามเยอะถึงการพัฒนาพื้นที่ในแง่มุมของรัฐ



    และเรื่องก็วกกลับมาพูดถึงระบบอำนาจนิยมอันแสนเข้มข้นในกองทัพผ่านการที่ตัวละครโจซอกบง (รับบทโดย โจฮยอนชอล) หนุ่มโอตาคุ บุคลิกเงียบ ๆ ที่ไม่ค่อยจะอะไรกับใคร แต่โดนแกล้งมาตลอด เพราะบุคลิกและความชื่นชอบของเขาก็ได้พัฒนาจากคนโดนแกล้งเป็นคนที่เริ่มจะเปลี่ยนจากตำแหน่งผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำเสียเองและการที่เรื่องปูตัวละครตัวนี้มาตั้งแต่แรก ทำให้คนดูอย่างเราเหมือนได้รู้จักเขาการเฝ้ามองเขาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ยิ่งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจมากว่าระบบในกองทัพมันเปลี่ยนคนดี ๆ คนนึงไปได้ไกลขนาดนี้ได้ยังไงกัน  



    นอกจากนั้นแล้วยังแสดงให้เห็นถึงการเป็นลูซเซอร์ที่แท้จริงของฮวังจางซู (รับบทโดย ชินซึงโฮ) เอาจริงเราว่าเป็นมุมมองที่ถ้าคนดูรู้สึกว่าแอบเป็นการสเตอริโอไทป์เบา ๆ สำหรับเราเราว่าก็ไม่แปลกนะราวกับเขาจะบอกเราว่าคนอย่างไหนกันละที่จะชอบและพราวด์กับการอยู่ในกองทัพก็คือคนแบบนี้ไงละที่ข้างนอกไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างแต่ในกองทัพภายใต้ระบบอำนาจนิยม และความอาวุโส เขาสามารถแสดงถึงอำนาจได้รู้สึกว่าควบคุมทุกอย่างได้ แต่ชีวิตข้างนอกกองทัพก็เป็นเพียงคนไม่มีอะไรคนนึงเป็นเพียงคนที่โดนโลกทุนนิยมข้างนอกกดอีกทีนึง



    การแก้แค้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความเจ็บช้ำเพื่อจบองค์สุดท้ายก็เริ่มขึ้นจากการที่โดน Sexual Harassment ในกองทัพ มันยิ่งตอกย้ำคำพูดที่ตัวฮันโฮยอลได้ทิ้งไว้ในตอนที่ 4 มากว่า จะไล่จับทหารหนีทัพไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะระบบมันยังเป็นแบบนี้ยังทำกันแบบนี้แล้วใครจะทนไม่หนีไหวกันและเส้นอดทนสุดท้ายของเขาคงขาดลงและการไล่ล่าหาตัวจางซูชายผู้เป็นแกนนำในการ abuse เขามาตลอดก็เริ่มต้นขึ้น




    มันเป็นการไล่ล่าที่แสนเจ็บปวด ตลอดการที่ตัวเขาค่อย ๆหาจางซูหรือซัฟเฟอร์มากขึ้น เรื่องก็จะเล่าให้เห็นถึงอดีต และชีวิตโลกภายนอกของเขาว่าเขาเป็นคนที่น่ารักขนาดไหน เป็นครูที่นักเรียนรักมากแค่ไหน บงธีเซมครูสอนวาดรูปของเด็ก ๆ คนที่พาเด็ก ๆ ไปถึงฝั่งฝันจนสอบติดมหาลัยชายที่เลิกเล่นยูโดทั้งที่อนาคตไกลเพียงเพราะว่าเขาไม่อยากทำร้ายคนอื่นแต่เพราะค่ายทหาร เพราะการเข้ากรมที่เปลี่ยนคนคนนึงได้ถึงขนาดนี้ก็น่าตั้งคำถามเหมือนกันว่ากองทัพมันเส็งเคร็งขนาดนี้ได้ยังไงกัน




    หลังจากที่ได้แก้แค้นและหนีไปแล้วเรื่องก็เล่าให้เห็นถึงวิธีการจัดการโง่ ๆของคนใหญ่คนโตอย่างการสั่งยกเลิกการขอความช่วยเหลือหน่วยอื่นในการตามจับทหารหนีทัพของร้อยเอกอิมจีซอบเพราะกลัวจะเสียหน้า และนั่นส่งผลให้เกิดเรื่องราวที่ไม่คาดคิดตามมาหรือจะเป็นการที่ขนคนทั้งหน่วยไปเพื่อจับคนหนีทหารคนเดียวจนทำให้ร้อยเอกอิมจีซอบที่ไม่ได้จะเป็นคนดีอะไรมากมายนักก็รู้สึกว่ามันเกินไปแล้วในหลายแง่ต้องเอ่ยปากยุติความบ้าบอทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองเขาแสดงให้เห็นอีโก้ของทหารในกองทัพได้ตรงไปตรงมามากจนเห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าทหารที่ไหนมันก็เส็งเคร็งเหมือนกันหมดสินะ



    และตอนจบที่แสนโหดร้ายจนเราพิมพ์ไปยังน้ำตาซึมอยู่เลยแม้ว่าจะดูจบมาเป็นเดือนแล้ว(แต่ตอนนี้กำลังไล่ ๆ ย้อนเพื่อมาเขียนอยู่) เราชอบมาก คือใน 6ตอนที่ดูจะไม่มากมายนัก แต่เขาค่อย ๆ ทำให้เราคุ้นเคยและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครตัวนี้ทีละนิด ก่อนจะจบด้วยสถานการณ์ชวนใจสลายในเมื่อกองทัพทำร้ายเขาจนไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมในก่อนหน้านี้ได้แล้วชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการโดนกลั่นแกล้งสารพัด

    โดยมีหน่วยที่ดูเหมือนจะพยายามช่วยอย่าง D.P. เฝ้ามองให้ระบบในกองทัพเป็นไปและสร้างแผลให้กับเขาถึงขนาดนี้ และยังตอกย้ำด้วยไดอะล็อคเล็กๆอย่างการพูดถึงขวดน้ำที่ใช้มาตั้งแต่ 1953 ยุคช่วงสงครามเกาหลีราวกับจะบอกว่า ระบบในกองทัพมันจะไม่มีวันเปลี่ยนหรอกและความจริงนั่นมันยิ่งทำให้เราในฐานะคนดูหดหู่ยิ่งนักเมื่อคิดว่าคนที่ถูกเปลี่ยนไปเพราะค่ายทหารจะมีเยอะแค่ไหนในสังคมที่อุดมไปด้วยการที่เกณฑ์พลเรือนไปเป็นแรงงานทหารฟรีของรัฐแบบนี้

      








    ในทีแรกที่เห็นพล็อตเราค่อนข้างกังวลว่าเขาจะเล่าเรื่องราวในกองทัพผ่านการไล่จับคนหนีทหารอย่างไรแต่เรื่องที่ถูกเล่าออกมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงชนชั้นและอำนาจนิยมในกองทัพตั้งแต่บนโต๊ะผู้บัญชาการจนถึงทหารเกณฑ์ที่เฝ้ายามหน้าประตูคือเขาพูดถึงเหล่าผู้มีอำนาจที่ทระนงและบ้าในอำนาจที่ตัวเองมีจนนำไปสู่การกระทำที่ไม่คาดคิด พฤติกรรมการเพิกเฉยของกองทัพหรือการทำทุกอย่างเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายได้เลื่อนขั้นที่ถูกเล่าผ่านตัวร้อยเอกอิมจีซอบที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทหารชั้นสูงพึงพอใจในขณะที่คนแบบพัคบอมกูถูกเลื่อนการเลื่อนขึ้นแล้ว เลื่อนอีก



    และผลสรุปในตอนสุดท้ายที่อิมจีซอบโดนสั่งย้ายแต่ตัวพัคบอมกูต้องรับการลงโทษในขณะนายทหารชั้นสูงกว่านี้ไม่ได้รับโทษอะไรทั้งนั้นทั้งที่เป็นคนนำพลทหารออกไปเป็นกองร้อย เพื่อไล่จับทหารคนเดียว และไม่สำเร็จด้วยยิ่งสะท้อนถึงความอภิสิทธิ์ที่ได้รับ เมื่อมีตำแหน่งที่สูงขึ้นไป


     

    อีกทั้งเขายังพูดถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในกองทัพไม่ว่าจะเป็นการกรอกน้ำให้นอนไม่ได้การทุบตี รุมทำร้าย Sexual Harassment และอีกหลายอย่างที่ได้เห็นตลอดทั้งเรื่องนี่ทำให้เรารู้สึกจุกอกไปหมดมันคือการกระทำที่คงไม่มีคนทั่วไปที่ไหนทำกับเราแน่ๆถ้าไม่ได้อยู่ในกรอบของระบบที่มันเอื้อและสนับสนุนต่อการกระทำแบบนี้ 



    นอกจากวิพากษ์ระบบกองทัพแล้วเรื่องยังไม่ลืมที่จะวิพากษ์ความเป็นอภิสิทธิ์ชนในกองทัพของหน่วยD.P. ด้วย ซึ่งค่อย ๆทำให้เราเห็นถึงความมีอภิสิทธิ์เหนือทหารหน่วยอื่น ๆ มาตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไว้ผมยาว การได้ออกไปใช้ชีวิตนอกองทัพ (แม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติภารกิจก็ตาม) หรือการที่ตัวอันจุนโฮก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโจซอกบงรุ่นพี่แสนใจดีในกองทัพของเขาถึงมาไกลขนาดนี้เพราะตัวเขาไม่ได้ถูกกดขี่เหมือนกับที่ซอกบงโดน ด้วยเพราะเขามี D.P. เป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา ในขณะที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนั้น



    เลยทำให้เราชอบตอนสุดท้ายของเรื่องอย่าง Onlooker มากเพราะเป็นการที่ตบหน้าหน่วย D.P. ด้วยการชี้ว่าพวกคุณทำหน้าที่เป็นเพียงผู้เฝ้ามองมาตลอดรอให้เกิดปัญหาจึงเริ่มแก้ไข แทนที่จะเริ่มหยุดมันแต่แรกทั้งที่ตัวคุณก็รู้ดีแก่ใจ ทำไมถึงต้องเฝ้ามองเพื่อให้เรื่องมันเดินทางมาถึงจุดนี้

    และยังคงตอกย้ำถึงผลของการเพิกเฉยผ่านไดอะล็อคสุดท้ายที่พี่สาวของเหยื่อในคดีแรกตั้งคำถามกับอันจุนโฮหน้าที่เก็บอัฐิของน้องชายเขาว่าถ้าเขาเป็นคนดี ทำไมถึงไม่มีใครช่วยคนดีคนนั้นละสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ได้สร้างปัญหา แต่เพิกเฉยปล่อยให้ปัญหาผ่านหน้าไปก็เป็นการสนับสนุนการเกิดปัญหานั้นด้วยไหมนะ



    เราค่อนข้างชอบวิธีการที่เขาเล่าถึงกระบวนการสืบสวนของ D.P. มากเลยนะ มันคือการค่อย ๆทำให้เรารู้จักกับเหยื่อในเคสนั้น ไปพร้อม ๆ กับอันจุนโฮและฮันโฮยอลได้เห็นคนรอบตัวเขาเราชอบมากที่ในเคสที่สองหยิบยกเรื่องแม่ที่เป็นห่วงไม่รู้ว่าลูกชายจะหนีไปไหนหรือพ่อที่ตามลูกกลับเข้ากรมในเคสสาม หรือแม่ของตัวอันจุนโฮเองก็ดีเขาพยายามเล่าให้เราเห็นถึงครอบครัว คนรัก ของเหยื่อเล่านั้นได้ดีมากเลย เป็นการย้ำสิ่งที่เรื่องต้องการเล่าให้เรารู้สึกสัมพันธ์กับตัวทหารที่ถูกทำร้ายในเรื่องด้วย ว่าเขาอาจจะเป็นใครสักคนที่เรารัก 

    และด้วยวิธีการเล่าแบบนี้ทำให้ในเคสสุดท้าย ที่เล่าถึงตัวเหยื่อคือทำให้เราใจสลายจริง ๆ ในตอนที่พิมพ์อยู่ นึกถึงก็อยากร้องไห้อีกแล้วด้วยซ้ำประทับใจมากเลย นอกจากนั้นแล้วการที่เขาสร้างคาแรคเตอร์ของคนหนีทหารออกมาให้หลากหลายมีจุดประสงค์ในการหนีทหารที่แตกต่างกัน ทำให้เรื่องมันดูกลมกล่อมมากด้วย 



    พูดถึงเนื้อหาไปเยอะมากแล้วเราต้องขออวยนักแสดงกันหน่อย เอาจริง ๆเราว่าเขาแคสนักแสดงมาดีมากเลยนะ ทั้งนักแสดงนำที่รับผิดชอบบทของตัวเองกันได้ดีมากหรือเหยื่อในแต่ละเคสที่สุดยอดมาก คนที่ทำเราอิมเพรสมากคือชินซึงโฮเพราะเราเห็นเขาเล่นเป็นพระเอกในหนังอินดี้เล็ก ๆ อย่าง double patty มาก่อนเรื่องนี้คือเปลี่ยนลุคมาก เป็นคนทำร้ายคนอื่นที่เหี้ยมาก เขาร้ายจนเราอึ้งสุดยอดเลยไปได้สุดมาก หรือโจฮยอนชอลที่ถ่ายทอดโจซอกบงออกมาได้ทำเราคนดูใจสลายอย่างที่บอกว่าด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เล่าถึงตัวละครตัวนี้หยอดมาเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้เราเหมือนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ และเขาในฉากสุดท้ายยังคงประทับใจเรามาก ๆ 

    นอกจากนักแสดงแล้วงานโปรดักชั่นเขาก็ดีอะ ภาพสวยมาก แล้วยิ่ง OPV เปิดเรื่องคือทำเราประทับใจจริงๆ เหมือนที่ได้บอกไปในตอนต้น มันเล่าง่าย ๆ แต่เป็นการเล่าง่ายๆที่มันอิมแพคหัวใจคนดูเป็นอย่างมาก สกอร์ก็ดีมาก โอ๊ยเป็นซีรีส์ที่เราชอบที่สุดในปีนี้เลยตั้งแต่ดูมา 


     

    และในท้ายที่สุดแล้ว D.P. เป็นเพียงหน่วยงานอภิสิทธิ์ชนที่อ้างเรื่องการไล่ตามจับทหารหนีทัพทำเพียงเฝ้ามองถึงเหตุการณ์ที่ (ไม่ควร) เกิดขึ้นเป็นปกติของกองทัพและรอแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นแทนที่จะหยุดการเกิดปัญหานั้นตั้งแต่แรกก็คงเหมือนกับที่อันจุนโฮเคยตั้งคำถามแต่แรกว่าถ้าไม่มีการเข้ากรมก็คงไม่มีการหนีทหารแล้วหรือเปล่า 

    และยังทำให้ส่วนตัวเราฉุกคิดถึงการมีทหารเกณฑ์ไว้เพื่อปกป้องประเทศจริงหรอหรือมีเพียงไว้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ตอบสนองต่อระบบอำนาจนิยมในกองทัพเท่านั้นเอง และนี่อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาของเพียงคนเพศสภาพชายเพียงกลุ่มเดียว ในเมื่อเขาก็เป็นที่รักของใครสักคนนึง รวมถึงเราด้วยเช่นกัน

    ------------------------------------------

    จบแล้วนะคะกับ D.P เย้ !

    ขอบคุณมากนะคะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้

    ใครที่อ่านตอนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ได้ดูก็อยากให้เปิดกันได้เลยค่ะใน Netflix ละครดี ๆ ที่จะรีเลทกับเราในฐานะประเทศที่ต้องเกณฑ์ทหารและผูกพันกับอำนาจทางทหารมาตลอดหลายสิบปีไม่มากก็น้อย

    เป็น NETFLIX ORIGNAL KOREAN DRAMA ที่เราน่าจะชอบสุดในปีนี้ (เว้นอีกที่ไว้ให้ Hellbound ข้าง ๆ กันค่ะ)

    ถ้าผิดหรือตกหล่นอะไรไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    ใครมีอะไรเพิ่มเติมอยากคุยกัน ทิ้งคอมเม้นไว้ได้เลยนะคะ 

    ปีนี้จะพลาดซีรีส์เรื่องอะไรก็ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่กับ D.P.

    ปล. แวะมาแก้บรรทัดนิดหน่อยเลยอยากมาอัพเดตว่ามีข่าว Season 2 แล้วนะคะ รอดูได้เลย

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in