D.P ซีรีส์เกาหลี Original Netflix
เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภายในค่ายทหารโดยเน้นไปที่ทหารถูกเกณฑ์มาเข้ากรมเพื่อ"รับใช้ชาติ" 2 ปี เป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแวะวิพากษ์ระบบชนชั้น หรือกระบวนการต่างๆในภาพของหน่วยที่อยู่เหนือทหารเกณฑ์ไปอีกด้วย โดยเล่าผ่านการทำงานของหน่วย D.P ที่ย่อมาจาก Deserter Pursuit แปลตรงตัวว่าหน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพมีระบบการทำงานเป็นคู่หูในการออกปฏิบัติการ
มาลองดูตัวอย่างกันหน่อยดีกว่าค่ะ
คือทหารเกณฑ์หน้าใหม่ที่เงียบขรึมและสุขุมเขาเป็นคนที่ทำได้ดีในหลาย ๆ ด้านเตะตาผู้ดูแลหน่วย D.P. กันเลยทีเดียวแต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด เด็กใหม่แล้วยังเก่งอีกเลยทำให้รุ่นพี่ในค่ายดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นักนอกจากนั้นแล้วด้วยความเป็นเด็กใหม่จะทำให้เขาทำหน้าที่อยากรู้อยากเห็นแทนคนดูได้ดีในการอยากเรียนรู้ หรือตั้งคำถามกับระบบที่ดูจะปกตินี้
เราว่าเขาสร้างคาแรคเตอร์จุนโฮออกมาได้น่าสนใจโดยให้ตัวจุนโฮรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้เฝ้ามองมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องครอบครัวที่เห็นพ่อทำร้ายแม่หรือเป็นในกรมที่เขาทำได้เพียงมองผู้คนเหล่านั้นถูกระบบในกองทัพทำร้ายการวางจุนโฮมาแบบนี้ ทำให้ยิ่งรีเลทกับการทำงานในหน่วย
ซึ่งบทนี้ได้จองแฮอินเจ้าชายแห่งวงการเล่นบทรันทดในละครชวนง่วง (
รุ่นพี่ในทีมที่ลูกล่อลูกชนเยอะมากเป็นตัวละครที่พราวเสน่ห์สุด ๆ ยิ่งได้กูคโยฮวานมาเล่นคือกินขาด ตัวขโมยซีนของจริง ด้วยความเป็นรุ่นพี่จึงดูเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคู่มือในการเรียนรู้เรื่องราวในกองทัพของอันจุนโฮเป็นคนที่เหมือนจะไม่ใส่ใจแต่ก็มีความใส่ใจมากกว่าที่เราเห็นเขาเป็นตัวละครที่มองทุกอย่างด้วยมุมของผู้เฝ้ามองมาตลอด
เราชอบพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ที่ถูกใส่มาอย่างน่าสนใจเลยแน่นอนว่าเพราะเขาดูจะเฝ้ามองมาตลอด และทำ D.P. เพียงเพราะอยากให้เวลาในกองทัพมันผ่านไปเร็ว ๆแต่เคสที่เขาได้เจอ ตั้งแต่แรกจนเคสสุดท้ายมันทำให้เรารู้สึกว่าตัวโฮยอลในตอนแรกที่ได้เจอกับตอนท้ายเรื่องค่อย ๆ มีมุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็รับรู้ และเข้าใจถึงว่าการเป็นผู้เฝ้ามองก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไร
เป็นตัวละครที่เราชอบมากที่สุดในเรื่องนี้เลยก้นบุหรี่มากมายที่กองอยู่ในที่เขี่ยบนโต๊ะเขาแปรผันตรงกับความเครียดที่เขาต้องจัดการในฐานะผู้ดูแลหน่วยD.P. และทหารที่ยศไม่ได้สูงแต่เห็นและรับรู้เรื่องทุกอย่างและยังเข้าใจถึงที่มาที่ไปแต่ตัวเขาก็ไม่สามารถที่จะคว่ำระบบได้เลยเป็นตัวละครที่ดำรงอยู่บนความอิหลักอิเหลื่อเราได้เห็นความพยายามในการที่เขาจะหยุดพฤติกรรมที่มันไม่ดีในกองทัพตั้งแต่ตอนแรกเพียงแต่ในขอบข่ายอำนาจมันเอื้อให้เขาทำได้เท่านี้
คุณคิมซองกยุนเขาถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ออกมาได้น่าสนใจมาก เป็นตัวละครที่เรารู้สึกถึงอาการน้ำท่วมปากไปหมดแบบเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่ได้เพราะขาดซึ่งอำนาจแต่ถอยหลังก็ไม่ได้แล้วเพราะเขารับรู้และมีความเข้าอกเข้าใจเกินกว่าจะปล่อยมันไปเลยเป็นตัวละครที่ทำให้สร้างบรรยากาศให้เรารู้สึกอึดอัดอยู่ตลอดแต่ก็ไม่ได้หนักจนเกินไป ชอบเขาเล่นมาก ๆ TT
ร้อยเอกที่เพิ่งย้ายมายังกองนี้แต่พราวด์ไปด้วยอำนาจและด้วยอีโก้ที่สูงลิบจนถ้ากระโดดลงมาจากเราคงเจ็บหนักทำให้เขาเป็นตัวละครน่าหมั่นไส้จนเราอยากจะเข้าไปในจอแล้วชกเขาสักครั้งนึงแต่เขาใช้ตัวละครตัวนี้เพื่อเล่าถึงเรื่องราวทหารบนโต๊ะในกองทัพได้น่าสนใจ
เพราะเป็นคนที่มีอำนาจอยู่เหนือหลายคน แต่ว่าก็ยังอยู่ใต้หลายคนอีกทั้งยังเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่จะไต่ขึ้นไปอยู่ยศสูง ๆเลยใช้เล่าถึงแนวคิดของพวกที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานในแวดวงนี้ได้เลยและซนซอกกูก็เล่นออกมาได้น่าเหยียบมาก สีหน้าท่าทางเขาในแต่ละซีนมันโอ๊ยน่าหมั่นไส้อะไรขนาดนี้ แค่นึกถึงหน้าเขาตอนพิมก็อยากเห็นเขาโดนรุมตีสักรอบอะ
อาจจะเป็นสิ่งที่ D.P. อยากให้เรารู้สึกอย่างที่ผู้กำกับได้บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาอยากให้เรารู้สึกว่าทหารในกองทัพอาจจะเป็นคนในชีวิตของเราสักคนและนั้นทำให้แม้ว่าเราไม่ใช่คนที่ถูกระบบกองทัพ abuse โดยตรงแต่ก็เป็นคนที่ต้องเจ็บปวดทางอ้อมอยู่ดี
ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราได้เห็นกันตั้งแต่ตอนแรกเรื่องราวของชินอูซอก (รับบทโดยพัคจองอู)ที่รู้สึกถูกกดมาตลอดตั้งแต่สังคมการทำงานที่เส็งเคร็งจนกระทั่งการโดนกลั่นแกล้งในกองทัพที่ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าและชีวิตไม่มีค่าจนนำทางไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตในที่สุดซึ่งแน่นอนว่าคนที่ยังอยู่ก็ยังต้องรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของการสูญเสียคนรักไปอย่างหาคำตอบไม่ได้ว่ากองทัพทำให้คนที่เขารักจากไปอย่างนี้ได้ยังไง
นอกจากนั้นแล้วก็ยังพูดถึงพริวิเลจต่าง ๆที่กองทัพมอบให้แก่พวกอภิสิทธิ์ชนในกองทัพอย่างพัคซังอู
ในตอนแรกนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกหนักจนไม่อยากไปต่อเช่นเดียวกับตัวจุนโฮที่มาเจอเคสแรกของการเริ่มทำงานในหน่วยนี้เขาไม่สามารถรักษาชีวิตของเหยื่อผู้ถูกทำร้ายในกองทัพเพียงเพราะความเลินเล่อของทั้งเขาและตัวคู่หูแต่ในตอนนี้ก็เป็นการพูดถึงความพยายามที่จะทำให้ D.P. ไม่ได้มีหน้าที่เพียงจับทหารให้กลับมาเข้าระเบียบของกองทัพแต่เป็นการช่วยให้เหล่าคนผู้ถูกกดขี่จากระบบไม่ตัดสินใจทำอะไรที่เราไม่คาดคิดอีกด้วยแต่เรื่องก็ยังย้ำอยู่เสมอว่าการแก้ปัญหาของเหล่าผู้เฝ้ามองนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุผ่านไดอะล็อคที่แต่ละตัวละครตั้งคำถามกับเคสต่าง ๆ
และคงเพราะในเคสแรกหนักมากจนเราหายใจไม่ออกเลยอาจจะเป็นเหตุผลทำให้เรื่องราวในเคสที่ 2 ดูเบาลงเพื่อให้ทั้งเราและตัวละครได้หายใจหายคอขึ้นหน่อยเราว่าน่าสนใจดีที่หยิบเรื่องราวของการที่ "ชเวจุนมก" (รับบทโดย คิมดงยอง)โดนกลั่นแกล้งจนไม่สามารถนอนหลับดี ๆ มาเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหนีทหาร ราวกับว่าเขาแค่หนีเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสหลับดี ๆ สักหน่อย
เรื่องที่ดูเหมือนจะเล็กแต่ก็ถูกหยิบมาเล่าด้วยความใส่ใจและฉายให้เห็นภาพของคนที่โดนสวมหน้ากากตอนนอนแล้วเทน้ำใส่เพื่อให้เขาหายใจไม่ออกจนต้องตื่นมันแย่แค่ไหนไม่ว่ายังไงมันก็คือผลจากการกลั่นแกล้งของกองทัพที่หลายคนแกล้งปิดตาข้างเดียวมาตลอด
และแน่นอนว่าเมื่อตามกลับมาได้ ในตอนที่
เรื่องการใช้งานพลทหารเพื่อตอบสนองความต้องการของทหารชั้นผู้ใหญ่ก็จะถูกหยิบยกมาให้เราได้เห็นเรื่อยๆ ตั้งแต่การที่นึกครึ้มอยากย้ายต้นไม้กลางดึกไปจนถึงการที่อยากได้หน้าจากนายทหารชั้นสูงจนต้องสั่งทหารชั้นผู้น้อยออกไปช่วยงานในเวลาวันหยุดพิเศษอย่างการไล่จับอันธพาลหนีทหารอย่างจองฮยอนมิน (รับบทโดยอีจุนยอง)ในช่วงพักร้อนของกองอื่นเพียงเพราะอยากเอาใจทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นตอนที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารที่ยศน้อยกว่ากับทหารที่ยศสูงกว่าได้น่าสนใจดี
ในเคสนี้น่าสนใจมากการหนีทหารของนักเรียนตัวท๊อปเพราะเป็นห่วงยายที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวข้างนอก
แต่ทว่าพอเข้ามาแล้วกลับมีปัญหาเรื่องการเวนคืนไล่ที่ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของครอบครัวของเขาซึ่งก้คือคุณย่าเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่สวัสดิการที่รัฐมีต่อคนแก่มันไม่ได้ดีจนเขาจะฝากฝังยายไว้ได้ มีคนแวะมาดูเป็นครั้งคราวการเข้าสถานพักคนชราต้องใช้เงิน แต่การไล่ที่ก็รัดตัวเหลือเกินเลยทำให้เขาตัดสินใจหนีทหารเพื่อให้สามารถหาเงินไปและแวะไปดูแลยายที่อยู่คนเดียวท่ามกลางการไล่ที่ได้ด้วย
จึงเป็นเคสที่วิพากษ์ตั้งแต่ความโสมมเน่าเฟะในกองทัพไปจนถึงรัฐได้น่าสนใจมากในแง่ของการที่ต้องการใช้แรงงานทหารฟรีจากการบังคับให้พลเรือนต้องเกณฑ์ทหารก็เป็นการจัดโอกาสในการใช้ชีวิตเพื่อหากินข้างนอกอยู่แล้วยังไม่สามารถมีสวัสดิการที่ดูแลคนแก่ได้อย่างทั่วถึงเหมือนว่าถ้าจะอยากได้แรงงานตรงนี้ฟรีด้วยการบังคับผ่านกฎหมายแล้ว ทำไมถึงไม่สามารถบริการสวัสดิการตรงนี้ให้มันดีได้เขาจะได้ไม่มีเหตุให้ต้องหนีทหารออกมา
แล้วก็เช่นเคยตามสไตล์หนังเกาหลีคือภาพลักษณ์การไล่ที่การเวนคืนเป็นเรื่องราวที่ขัดแย้งและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในชุมชนตัวเล็ก ๆ เสมอยิ่งพอมาในรูปแบบที่คนแก่อยู่บ้านคนเดยวไม่มีคนเหลียวแลด้วยแล้วยิ่งทำให้ส่วนตัวแล้วเราตั้งคำถามเยอะถึงการพัฒนาพื้นที่ในแง่มุมของรัฐ
และเรื่องก็วกกลับมาพูดถึงระบบอำนาจนิยมอันแสนเข้มข้นในกองทัพผ่านการที่ตัวละครโจซอกบง (รับบทโดย โจฮยอนชอล) หนุ่มโอตาคุ บุคลิกเงียบ ๆ ที่ไม่ค่อยจะอะไรกับใคร แต่โดนแกล้งมาตลอด เพราะบุคลิกและความชื่นชอบของเขาก็ได้พัฒนาจากคนโดนแกล้งเป็นคนที่เริ่มจะเปลี่ยนจากตำแหน่งผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำเสียเองและการที่เรื่องปูตัวละครตัวนี้มาตั้งแต่แรก ทำให้คนดูอย่างเราเหมือนได้รู้จักเขาการเฝ้ามองเขาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ยิ่งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจมากว่าระบบในกองทัพมันเปลี่ยนคนดี ๆ คนนึงไปได้ไกลขนาดนี้ได้ยังไงกัน
นอกจากนั้นแล้วยังแสดงให้เห็นถึงการเป็นลูซเซอร์ที่แท้จริงของฮวังจางซู (รับบทโดย ชินซึงโฮ) เอาจริงเราว่าเป็นมุมมองที่ถ้าคนดูรู้สึกว่าแอบเป็นการสเตอริโอไทป์เบา ๆ สำหรับเราเราว่าก็ไม่แปลกนะราวกับเขาจะบอกเราว่าคนอย่างไหนกันละที่จะชอบและพราวด์กับการอยู่ในกองทัพก็คือคนแบบนี้ไงละที่ข้างนอกไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างแต่ในกองทัพภายใต้ระบบอำนาจนิยม และความอาวุโส เขาสามารถแสดงถึงอำนาจได้รู้สึกว่าควบคุมทุกอย่างได้ แต่ชีวิตข้างนอกกองทัพก็เป็นเพียงคนไม่มีอะไรคนนึงเป็นเพียงคนที่โดนโลกทุนนิยมข้างนอกกดอีกทีนึง
การแก้แค้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความเจ็บช้ำเพื่อจบองค์สุดท้ายก็เริ่มขึ้นจากการที่โดน Sexual Harassment
มันเป็นการไล่ล่าที่แสนเจ็บปวด ตลอดการที่ตัวเขาค่อย ๆหาจางซูหรือซัฟเฟอร์มากขึ้น เรื่องก็จะเล่าให้เห็นถึงอดีต และชีวิตโลกภายนอกของเขาว่าเขาเป็นคนที่น่ารักขนาดไหน เป็นครูที่นักเรียนรักมากแค่ไหน บงธีเซมครูสอนวาดรูปของเด็ก ๆ คนที่พาเด็ก ๆ ไปถึงฝั่งฝันจนสอบติดมหาลัยชายที่เลิกเล่นยูโดทั้งที่อนาคตไกลเพียงเพราะว่าเขาไม่อยากทำร้ายคนอื่นแต่เพราะค่ายทหาร เพราะการเข้ากรมที่เปลี่ยนคนคนนึงได้ถึงขนาดนี้ก็น่าตั้งคำถามเหมือนกันว่ากองทัพมันเส็งเคร็งขนาดนี้ได้ยังไงกัน
หลังจากที่ได้แก้แค้นและหนีไปแล้วเรื่องก็เล่าให้เห็นถึงวิธีการจัดการโง่ ๆของคนใหญ่คนโตอย่างการสั่งยกเลิกการขอความช่วยเหลือหน่วยอื่นในการตามจับทหารหนีทัพของร้อยเอกอิมจีซอบเพราะกลัวจะเสียหน้า และนั่นส่งผลให้เกิดเรื่องราวที่ไม่คาดคิดตามมาหรือจะเป็นการที่ขนคนทั้งหน่วยไปเพื่อจับคนหนีทหารคนเดียวจนทำให้ร้อยเอกอิมจีซอบที่ไม่ได้จะเป็นคนดีอะไรมากมายนักก็รู้สึกว่ามันเกินไปแล้วในหลายแง่ต้องเอ่ยปากยุติความบ้าบอทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองเขาแสดงให้เห็นอีโก้ของทหารในกองทัพได้ตรงไปตรงมามากจนเห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าทหารที่ไหนมันก็เส็งเคร็งเหมือนกันหมดสินะ
และตอนจบที่แสนโหดร้ายจนเราพิมพ์ไปยังน้ำตาซึมอยู่เลยแม้ว่าจะดูจบมาเป็นเดือนแล้ว(แต่ตอนนี้กำลังไล่ ๆ ย้อนเพื่อมาเขียนอยู่) เราชอบมาก คือใน
ในทีแรกที่เห็นพล็อตเราค่อนข้างกังวลว่าเขาจะเล่าเรื่องราวในกองทัพผ่านการไล่จับคนหนีทหารอย่างไรแต่เรื่องที่ถูกเล่าออกมาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงชนชั้นและอำนาจนิยมในกองทัพตั้งแต่บนโต๊ะผู้บัญชาการจนถึงทหารเกณฑ์ที่เฝ้ายามหน้าประตูคือเขาพูดถึงเหล่าผู้มีอำนาจที่ทระนงและบ้าในอำนาจที่ตัวเองมีจนนำไปสู่การกระทำที่ไม่คาดคิด พฤติกรรมการเพิกเฉยของกองทัพหรือการทำทุกอย่างเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายได้เลื่อนขั้นที่ถูกเล่าผ่านตัวร้อยเอกอิมจีซอบที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทหารชั้นสูงพึงพอใจในขณะที่คนแบบพัคบอมกูถูกเลื่อนการเลื่อนขึ้นแล้ว เลื่อนอีก
และผลสรุปในตอนสุดท้ายที่อิมจีซอบโดนสั่งย้ายแต่ตัวพัคบอมกูต้องรับการลงโทษในขณะนายทหารชั้นสูงกว่านี้ไม่ได้รับโทษอะไรทั้งนั้นทั้งที่เป็นคนนำพลทหารออกไปเป็นกองร้อย เพื่อไล่จับทหารคนเดียว และไม่สำเร็จด้วยยิ่งสะท้อนถึงความอภิสิทธิ์ที่ได้รับ เมื่อมีตำแหน่งที่สูงขึ้นไป
อีกทั้งเขายังพูดถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในกองทัพไม่ว่าจะเป็นการกรอกน้ำให้นอนไม่ได้การทุบตี รุมทำร้าย Sexual Harassment
นอกจากวิพากษ์ระบบกองทัพแล้วเรื่องยังไม่ลืมที่จะวิพากษ์ความเป็นอภิสิทธิ์ชนในกองทัพของหน่วย
เลยทำให้เราชอบตอนสุดท้ายของเรื่องอย่าง
เราค่อนข้างชอบวิธีการที่เขาเล่าถึงกระบวนการสืบสวนของ
พูดถึงเนื้อหาไปเยอะมากแล้วเราต้องขออวยนักแสดงกันหน่อย เอาจริง ๆเราว่าเขาแคสนักแสดงมาดีมากเลยนะ ทั้งนักแสดงนำที่รับผิดชอบบทของตัวเองกันได้ดีมากหรือเหยื่อในแต่ละเคสที่สุดยอดมาก คนที่ทำเราอิมเพรสมากคือชินซึงโฮเพราะเราเห็นเขาเล่นเป็นพระเอกในหนังอินดี้เล็ก ๆ อย่าง
และในท้ายที่สุดแล้ว D.P. เป็นเพียงหน่วยงานอภิสิทธิ์ชนที่อ้างเรื่องการไล่ตามจับทหารหนีทัพทำเพียงเฝ้ามองถึงเหตุการณ์ที่ (ไม่ควร) เกิดขึ้นเป็นปกติของกองทัพและรอแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นแทนที่จะหยุดการเกิดปัญหานั้นตั้งแต่แรกก็คงเหมือนกับที่อันจุนโฮเคยตั้งคำถามแต่แรกว่าถ้าไม่มีการเข้ากรมก็คงไม่มีการหนีทหารแล้วหรือเปล่า
และยังทำให้ส่วนตัวเราฉุกคิดถึงการมีทหารเกณฑ์ไว้เพื่อปกป้องประเทศจริงหรอหรือมีเพียงไว้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ตอบสนองต่อระบบอำนาจนิยมในกองทัพเท่านั้นเอง และนี่อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาของเพียงคนเพศสภาพชายเพียงกลุ่มเดียว ในเมื่อเขาก็เป็นที่รักของใครสักคนนึง รวมถึงเราด้วยเช่นกัน
------------------------------------------
จบแล้วนะคะกับ D.P เย้ !
ขอบคุณมากนะคะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ใครที่อ่านตอนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ได้ดูก็อยากให้เปิดกันได้เลยค่ะใน Netflix ละครดี ๆ ที่จะรีเลทกับเราในฐานะประเทศที่ต้องเกณฑ์ทหารและผูกพันกับอำนาจทางทหารมาตลอดหลายสิบปีไม่มากก็น้อย
เป็น NETFLIX ORIGNAL KOREAN DRAMA ที่เราน่าจะชอบสุดในปีนี้ (เว้นอีกที่ไว้ให้ Hellbound ข้าง ๆ กันค่ะ)
ถ้าผิดหรือตกหล่นอะไรไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ใครมีอะไรเพิ่มเติมอยากคุยกัน ทิ้งคอมเม้นไว้ได้เลยนะคะ
ปีนี้จะพลาดซีรีส์เรื่องอะไรก็ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่กับ D.P.
ปล. แวะมาแก้บรรทัดนิดหน่อยเลยอยากมาอัพเดตว่ามีข่าว Season 2 แล้วนะคะ รอดูได้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in