เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการอ่านmenalin
ปมหลอนรางมรณะ (The Girl on the Train)
  • "ความว่างเปล่าคือสิ่งที่ฉันเข้าใจดี และเริ่มเชื่อว่าไม่มีทางเยียวยาได้ ฉันได้เรียนรู้จากการบำบัดว่ารูโหว่ในชีวิตคือสิ่งที่ถาวร
    คุณจะต้องเติบโตขึ้นรอบ ๆ มัน"
    - เมแกน (หน้า 114)



    "ปมหลอน รางมรณะ (The Girl on the Train)"

    Paula Hawkins เขียน
    นรา สุภัคโรจน์ แปล
    สนพ. โพสต์บุ๊กส์
    พิมพ์ครั้งที่ 1, กันยายน 2558

    ภาพ cover จาก popsugar.com
    ภาพปกจาก postbooksonline.com

              "...ฉันอยากนั่งมองบ้านชาวบ้านตามทางอยู่บนรถไฟมากกว่าที่ใดในโลก" (เรเชล, หน้า 15) 

              เรเชล วัตสันชอบนั่งรถไฟ เธอจะนั่งรถขบวนเวลาเดียวกันทุกวันเข้าลอนดอน เรเชลชอบมองผ่านหน้าต่างรถไฟออกไปยังบ้านที่อยู่ริมทาง บ้านหลังโปรดของเธอคือบ้านเลขที่ 15 ในเมืองวิทนีย์ บ้านของเจสและเจสัน คู่สามีภรรยาที่สมกันราวกิ่งทองใบหยก แต่พวกเขาไม่ใช่เจสและเจสัน และไม่ได้หวานชื่นเป็นคู่รักในอุดมคติอย่างที่เรเชลจินตนาการในทุกเมื่อเชื่อวัน เช้าวันหนึ่งขณะนั่งรถไฟเข้าเมืองตามปกติ เรเชลมองเห็นเจสจูบกับชายอื่น เธอมั่นใจว่าเขาไม่ใช่เจสัน เรเชลตื่นตะลึงกับภาพนั้น เธอโกรธเจสมาก ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะทรยศเจสันได้ลงคอ แต่แล้วเจสก็หายตัวไป เจสหรือที่จริงคือเมแกน ฮิพเวลล์หายตัวไปในวันเสาร์ วันเดียวกับที่เรเชลเดินทางไปเมืองวิทนีย์ และแน่นอนว่าเมาตามเคย เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์โดยจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ไม่ได้ เมื่อเธอเห็นข่าวของเมแกน เธอคิดว่าเธออาจจะรู้เบาะแสบางอย่าง บางอย่างที่เธอลืมไป เรเชลพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยเจสัน หรือสก็อต ฮิพเวลล์ เพราะรู้ว่าตำรวจต้องพุ่งเป้าไปที่สามี หรือคนรักของเหยื่อก่อนเป็นอันดับแรก เรเชลพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับคดีนี้ด้วยคำโกหกปนกับความจริง เธอถลำลึกเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เธอเองก็ยังสับสนกับภาพความทรงจำในคืนนั้นที่ผลุบโผล่ไปมาแต่คว้าจับไว้ไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับเมแกน เธอถูกทำร้ายจริงหรือ? ระหว่างจิตแพทย์หนุ่มที่ต้องสงสัยว่าเป็นชู้ สามีของเธอเอง หรือคนรักเก่า ใครคือคนร้ายตัวจริง

              สิ่งที่อัศจรรย์และซับซ้อนอย่างที่สุดในร่างกายมนุษย์ก็คงเป็นกลไกการทำงานของสมอง อาการเจ็บป่วยทางใจหรือทางจิตเป็นเรื่องซับซ้อนและบอบบางในการดูแลรักษา เราไม่สามารถดูออกจากภายนอกได้ว่าใครกำลังป่วย แม้แต่ตัวคนป่วยเองก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือ คนที่หน้าใส ๆ ดูอบอุ่น อาจเป็นฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นจนเหลือเชื่อ ในทางกลับกันคนที่ดูดุดัน ดุร้ายภายนอก แต่ในใจอาจเต็มไปด้วยความใจดี และพร้อมจะปกป้องผู้อื่น แล้วอย่างนี้เราจะเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเห็นได้แค่ไหน บางทีสิ่งที่เรา "คิด" ว่าเราเห็น หรือเชื่อมั่นว่าคือความจริง อาจเป็นเรื่องโกหกที่เราสร้างขึ้นมาเพียงเพราะเราอยากจะเชื่อแบบนั้น หรือกลายเป็นเรื่องที่คนอื่นสร้างขึ้นเพื่อกลับสิ่งผิดให้กลายเป็นถูกได้อย่างน่าตกใจ ส่วนคนที่เราไว้ใจก็อาจเป็นคนที่ทำร้ายเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

              เรเชลนั้นใช้ชีวิตแบบยึดติดกับอดีต เห็นได้ชัดจากการที่เธอไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลทั้ง ๆ ที่เลิกกับสามีมาตั้ง 2 ปีแล้ว เธอจ่อมจมอยู่ในความทุกข์ของความล้มเหลวในชีวิตสมรส และความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเขาอาจจะกลับมาหาเธออีก เรเชลทำลายตัวเองจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ติดเหล้า ปล่อยตัว และไม่มีความสุข เธอโทษตัวเองอยู่ตลอด แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่มากพอในความคิดของเธอ ทุกครั้งที่ดื่ม จะจบลงที่เธอเมามายไม่ได้สติ และทำเรื่องน่าละอาย อย่างการโทรไปหาสามีเก่ากลางดึกเพื่อคร่ำครวญหรือด่าทอเขา แล้วก็ตื่นขึ้นมาทรมานกับความละอายนั้นแม้ว่าจะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม สุดท้ายก็จะวนกลับเข้าสู่วงจรเดิมแบบนี้เสมอ เรเชลสร้างจินตนาการในแบบที่เรียกได้ว่ามโนแจ่มตัวจริงจากการเฝ้ามองบ้านเลขที่ 15 สร้างเจสและเจสันขึ้นมาจากคู่รักที่เธอเชื่อว่าเป็นคู่รักในอุดมคติ หรือจริง ๆ แล้วคือคู่รักแบบที่เธออยากมี (หรือเคยมี) แต่เมื่อพบว่าเจสนอกใจเจสัน โลกของเธอก็เหมือนพังทลายลงอีกครั้ง

              เมื่อเจสหรือจริง ๆ คือเมแกน ฮิพเวลล์หายตัวไป ด้วยความหวังดีที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และความผูกพันจากการเฝ้ามองคู่รักคู่นี้จากบนรถไฟ เรเชลพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่เธอไม่ควรจะยุ่ง ถือวิสาสะแทรกเข้าไปในคดี ด้วยเพราะเธออยากทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเจสันหรือสก็อต ฮิพเวลล์ เพราะเธอเชื่อว่าเธอเข้าใจเขา และไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนร้าย เธอเชื่อในตัวเจสันที่เธอเห็นว่าเขาไม่มีวันทำร้ายเจส เจสต่างหากที่เป็นฝ่ายทรยศ

              เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกฮิพเวลล์มันเหมือนจิ๊กซอว์ที่มีรอยต่อทาบทับลงบนชีวิตของเรเชลได้พอดี เพียงแต่สลับด้านกัน ทำให้เธอยิ่งผูกพันกับพวกเขามากขึ้น โดยเฉพาะกับสก็อต มันอาจจะเป็นความรู้สึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดภายในตัวของเรเชล ว่าปัญหาในชีวิตแต่งงานของเธอและสามีเก่าจริง ๆ แล้วอาจไม่ได้เป็นความผิดของเธอเพียงฝ่ายเดียวก็เป็นได้ อาจรวมถึงความรู้สึกอยากเป็นที่ยอมรับที่สั่งสมจากความอ้างว้างมานาน และแรงผลักดันจากความทรงจำที่อยากเปิดเผยตัวออกมาจากหลุมดำในสมอง บวกกับนิสัยยึดติด เหล่านี้อาจเป็นแรงขับที่ทำให้เรเชลไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องของเมแกนเสียที

              Paula Hawkins เล่าเรื่องด้วยสไตล์ที่แปลกดี สลับให้ตัวละครผู้หญิงตัวหลัก 3 ตัวผลัดกันเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพวกเธอ เรเชล, เมแกน, และแอนนา ความท้าทายในการอ่านเรื่องนี้อยู่ที่ลำดับเวลา เพราะช่วงเวลาจะสลับเดินหน้า แล้วย้อนหลัง เรเชลกับแอนนาจะเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน ส่วนตอนที่เมแกนเล่าจะเป็นเรื่องที่ย้อนไปก่อนหน้านั้น ช่วงแรกที่อ่านจะสับสนนิดหน่อย พอปรับตัวได้แล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้น 3 สาวนี้เหมือนจะไม่มีความสุขกับชีวิตครอบครัวเท่าไร เรเชลมีปัญหาที่เธอไม่รู้จะจัดการอย่างไร และเลือกที่จะหันไปหาเหล้า ส่วนเมแกนก็ไม่สามารถควบคุมตนเองจากสิ่งเร้า และไม่สามารถทนต่อความโดดเดี่ยวยามอยู่บ้านเพียงลำพังในขณะที่สก็อตไปทำงานได้ เธอจึงเลือกที่จะกลบฝังความไม่มั่นคงนั้นโดยหันเข้าหาผู้ชายอื่น แอนนาแม้ภายนอกเธอจะดูมีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่ใครหลายคนคงอิจฉา แต่เธอต้องทนอยู่ในบ้านที่สามีเคยอยู่กับภรรยาเก่า แถมแม่นั่นยังป้วนเปี้ยนไม่ยอมไปไหนเสียที แล้วก็มีบางครั้งที่เธอโหยหาชีวิตแบบในอดีต อยากแต่งหน้าแต่งตัวสวย ๆ ออกไปนอกบ้าน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของลูก เธอก็จะปัดความคิดพวกนั้นทิ้ง และทุ่มเทกับการเป็นแม่ต่อไป เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่นิยายที่ตัวละครฝ่ายดีก็ดี๊ดีอะแก ทุกคนมีด้านมืด บรรยากาศในเรื่องออกโทนเทา ๆ อึน ๆ เหมือนวันฝนตก

              การเดินเรื่องเป็นไปแบบเรียบ ๆ เน้นบทบรรยาย ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านสมุดบันทึก เป็นหนังสือที่อ่านแล้วให้อารมณ์หลากหลายมาก ทั้งสงสัย สะเทือนใจ และหงุดหงิด แต่ที่โดดเด่นจริง ๆ คือความเศร้าและความเหงาที่ตัวละครสื่อออกมา ปมต่าง ๆ จะค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิดทีละหน่อย ตรึงให้เราอ่านอย่างต่อเนื่อง มันสนุกตรงที่ต้องคอยลุ้นให้ยัยเรเชลมันนึกเรื่องวันนั้นออกสักทีเนี่ยแหละ และเมื่อปริศนาเริ่มคลี่คลายในจุดที่เดาตัวคนร้ายได้ ก็เหมือนถูกตีแสกหน้า แบบเดียวกับที่เรเชลคงรู้สึกเมื่อเธอตระหนักรู้ในที่สุด แต่แล้วก็ต้องอึ้งอีกครั้งเมื่อมาถึงบทสรุป ซึ่งเราไม่ชอบที่จบแบบนั้นเท่าไร เพราะมันยังไม่สะใจเราอะ 55 แล้วก็รู้สึกว่ายังมีคนที่สมควรได้รู้ความจริงอีกคน

              ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนตุลาคม ดูตัวอย่างแล้วน่าดูมาก ๆ ก็เลยหาฉบับนิยายมาอ่านก่อนเพราะทนรอดูหนังไม่ไหว ต้องขอบคุณยัยเด็กแสบที่ให้ยืมมาอ่านด้วยไมตรีจิต ทีนี้ก็รอดูหนังได้อย่างสบายใจ เหลือแต่ไปลุ้นเอาวันฉายว่าจะสร้างออกมาได้สนุกแค่ไหน หวังว่าจะไม่โดนหนังตัวอย่างลวงตาเอานะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in