เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
KAT-SAN DIARY 4 - Long Time No SeeVuttiphong Mahasamut
Osaka - Day 2 - Nambayasaka Shrine / America Mura / Shinsaibashi-suji / Dotonbori



  • วันที่สองของโอซาก้าเริ่มต้นด้วยแบตกล้องถ่ายรูปกำลังจะหมด (ใส่แบตผิดอัน) เราเดินออกมาได้ซักพักและขี้เกียจที่จะเดินกลับไป ตัดสินใจได้ ผมคิดจะถ่ายรูปเท่าที่ถ่ายได้ 

    สถานที่แรกที่ได้คือศาลเจ้าที่แคทซังอยากไปเพื่อไปไหว้ขอพร (ในโชคลาภและปัดเป่าความโชคร้าย) ด้วยความที่มันอยู่ไม่ไกลมากจากที่พักเลยเปิด GPS พากันเดินไป ระหว่างทางก็เจอกับกลุ่มคนไทย 3 คนกำลังเดินไปที่ไหนซักแห่ง ผมแอบคิดว่าต้องไปที่เดียวกันแน่ๆ (แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง) สภาพอากาศวันนี้ครื้มแต่ก็มีแดดออกเป็นบางช่วง 

    (ระหว่างกำลังเดินไปศาลเจ้า)


    (ทางเข้าศาลเจ้า)
    (คนก็มากันเยอะอยู่ มีทั้งคนจีนและคนไทย)


    (อ่านข้อมูลเครื่องราง มีเป็นภาษาอังกฤษ)

  • America-Mura หมู่บ้านอเมริกันของวัยรุ่นโอซาก้า


    สถานที่ที่จะไปกันต่อคือ ย่านที่เขาเรียกว่า America-Mura หรือหมู่บ้านอเมริกัน ตอนแรกที่แคทซังบอกว่าอยากไปย่านนี้ผมก็แอบคิดว่าควรไปดีไหม (เพราะผมเจออะไรอเมริกันมาเยอะแล้ว) แต่พอไปมันรู้สึกเหมือนกับย่านฮาราจูกุของโตเกียว เป็นเหมือนที่รวมพลของเหล่าวัยรุ่นโอซาก้าเขา

    เด็กวัยรุ่นแต่งตัวมีสไตล์ก็จะมารวมตัวกัน บางแกงค์ก็แต่งเป็นแนววินเทจ บางแกงค์เป็นแนวพังก์ แกงค์หญิงล้วนผมทอง ตัวคล้ำ ๆ ก็มี (สไตล์ Gal) พอลองเดินไปรอบ ๆ ก็รู้สึกว่าแถวนี้มีร้านวินเทจเยอะ ถ้าสังเกตุตามถนน สักพักจะมีคนแต่งตัวเท่ เดินลากถุงไปมา (คาดว่าจะเอาเสื้อผ้ามาขาย หรือเพิ่งไปรับเสื้อมือสองมา) และแน่นอน ร้านของกินจำพวกเบอร์เกอร์ และพิซซ่า และพับบาร์ก็มีเยอะ รวมไปถึงร้านขนมเอาใจเด็กวัยรุ่น แต่ร้านแรกที่แคทซังตั้งใจจะมากินคือร้าน Kogaryo Takoyaki ตั้งอยู่ตรงทำเลทอง ใจกลางย่าน Ameica-mura นี้เลย ซึ่งมีเมนูเด็ดคือ Tako-sen 

    Tako-sen คือการเอาทาโกยากิมาวางลงบนเซนเบ้ (Senbei) ซึ่งรสชาติก็อร่อยเข้ากันมาก และพอสั่งจากร้านนี้ คนก็จะมานั่งกินกันตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างสบายใจ (มารู้ที่หลังว่าตรงข้ามเป็น landmark ของย่านนี้ เรียกว่า Triangle Park เป็นสวนเล็กๆ รูปทรงสามเหลี่ยม)



    (แคทซังสั่งแบบมีหอม)

    (แคทซัง ณ Triangle Park)
  • พอกินเสร็จก็ไปเดินเล่นดูร้านมือสอง (ใช้คำว่า “ดู” เพราะเราไปดูจริง ๆ มีร้านที่เธอไม่กล้าเข้าเพราะกลัวจะเสียเงินเยอะอยู่ด้วย) แถวนี้มาร้านขายเสื้อผ้ามือสองหรือวินเทจเยอะ มีร้านดัง ๆ เช่น ร้าน JAM ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าวินเทจที่ใหญ่มากในญี่ปุ่น แค่ในย่านนี้ก็มีตั้งสองสาขา มีร้านที่ผมจำชื่อไม่ได้ ขายของที่เป็นสไตล์อเมริกันอย่างเดียว จำพวก ยูนิฟอร์ม เครื่องประกับต่าง ๆ และร้านที่ขายเสื้อผ้าวินเทจแบบคัดมาอย่างดี ทั้งยี่ห้อ สภาพโดยรวม และสไตล์ แต่ราคาก็จะพรีเมี่ยมตามกันไป

    (ย่านนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะต้องใช้มือถือถ่าย และที่สำคัญ ผมไม่อยากเข้าไปในร้านพร้อมกับกล้องคล้องคอ มันทำให้ดูสะดุดตา และเลือก-ลองเสื้อผ้าไม่ค่อยสะดวก)



    ------


    CAFE 02 - Strawberry Fetish



    ร้านที่แคทซังเดิน ๆ อยู่เจอก็เข้ามาเลย (มีอยู่ในลิสต์) เป็นร้านขายผลไม้จำพวกองุ่นหรือสตรอว์เบอร์รี เสียบไม้ แล้วนำไปเคลือบน้ำตาล ผมกินแล้วก็อร่อยดีนะ จะกลัวในตอนกัดครั้งแรกเพราะมันจะแข็ง ๆ หน่อย แต่พอกัดเข้าแล้วเคี้ยวพร้อมกับผลไม้ มันก็เข้ากันอย่างน่าตกใจเหมือนกัน หวานกันคนละแบบแต่ไม่เกินไป (ที่ญี่ปุ่น ผมสังเกตุว่าจะทำของกินทุกอย่างหวานไม่มาก) น้ำตาลที่เคลือบก็เพิ่มรสสัมผัสให้การกินสนุกขึ้นไป ตอนไปต่อแถวก็มีเด็ก ๆ มาต่อ เช่นกัน


  • แต่เริ่มเดิมที จุดหมายแห่งแรกของวัน ที่ผมบอกแคทซังไว้คือ การหาร้านกาแฟ ผมอาจจะเหมือนกับอีกหลาย ๆ คนคือ ต้องการดื่มกาแฟเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ ก่อนหน้านี้ดูร้านที่เป็นร้านแพนเค้กเอาไว้ แต่สุดท้ายตัดสินใจว่าจะมาเดินหาเอาที่ America-mura นี่ และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ คือ ทุกครั้งที่จะมาหาร้านเอาภายภาคหน้า มักจะไม่ประสบผมสำเร็จ สุดท้าย ผมได้ไปกินกาแฟในร้านที่อยู่ห่างออกมา ซึ่งกาแฟก็ไม่ได้อร่อยมาก (แต่ของที่ไม่อร่อย ถ้ากินในเวลาที่เหมาะสมก็กลายเป็นของอร่อยได้) 

    อีกข้อดีของการนั่งดื่มกาแฟ คือ การได้นั่งพัก ชมสิ่งต่าง ๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง


    ---------

    SHOP 02  - PAD ทั้งใจอุทิศให้แม็กซิโก


    ก่อนที่จะออกจากย่านนี้ ยังมีอีกหนึ่งร้านที่เป็นเป้าหมาย คือ ร้าน PAD เป็นร้านที่น่าสนใจมาก ตรงที่ เขาจะขายของที่เกี่ยวกับแม็กซิโกหรือวัฒนธรรมของอเมริกาใต้ เช่น เทียน เครื่องราง เครื่องประดับ รูปปั้น หรือ สิ่งของที่ทำขึ้นเพื่อบูชา พระเยซู (Jesus) พระแม่มารี (Virgin Mary) ของที่เกี่ยวกับวัน Day of the Death เสื้อยืด หน้ากากมวยปล้ำ ฯลฯ 


    ภายในและภายนอกประดับและตกแต่งได้น่ารักและสวยงามมาก ตามความคิดของผม เหตุผลที่แคทซังชอบอะไรแบบนี้เพราะส่วนใหญ่เป็นของทำมือ และเป็นอะไรที่มีสีสันสวยงาม และบางอันทำออกมาน่ารัก น่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่น่าสนใจดี







  • Dotonbori ฉาคหลังป้ายกูลิโกะ


    แพลนในช่วงวันสุดท้ายของโอซาก้า เราคุยกันซักพักว่า ควรจะมาถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะไหม คำตอบคือ ไปก็ได้!  ในเมื่อเราไม่เคยมา ก็อยากมาเห็นเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง และอีกความคิดหนึ่งคือ แถวนั้นน่าจะมีของกินขายเยอะ ซึ่งเราสองคนก็ยังไม่ได้กินอาหารเป็นชิ้นเป็นอัน 

    เดินจากตรงนั้นมาไม่ไกล ก็เริ่มสังเกตุได้ถึงฝูงชนที่เดินไปในทิศทางเดียวกัน พอเดินเข้าไปในตรอกที่มีหลังคา (คิดว่าเป็น Shinsaibashi-suji) ก็เจอกับร้านค้ามากมายสองข้างทาง พร้อมกับคนที่เดินกันขวักไขว่ แต่ร้านที่เราแวะเข้าไปนานที่สุดเห็นจะเป็น ร้านกด Gachapon ที่มีถึงสองชั้น เรียกว่าแลกเหรียญกันจนหนักมือ เดินวนเวียนหาตู้ที่อยากจะกดกัน อันที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็นตู้กด มะม่วงจัง ซึ่งกดสองครั้งก็ได้อันที่อยากได้มาครบเลย ดีจัง


    เดินมาซักพักก็มาถึงที่หมาย 


    (ป้ายกูลิโกะ ดูใหม่มาก น่าจะซ่อมแซมอยู่เรื่อย ๆ )

    พอเดินไปถึงตรงป้ายกูลิโกะก็เป็นไปตามคาด ผู้คนต่างพากันยืนโพสท่าถ่ายรูปโดยมีป้ายนั้นเป็นฉาคหลัง พยายามจะเดินลงไปด้านล่างที่เป็นแม่น้ำ ก็ยังมีคนมายืนถ่ายรูปอยู่ตรงแทบทุกจุด เดินเลาะริมน้ำไปเรื่อย ๆ แคทซังมุ่งไปหาร้านอาหารที่สามารถจะกินได้ เธอบอกว่าอยากกินปู สุดท้ายก็ได้มากินร้านที่มีปู แต่เป็นร้านที่คนดูน้อยที่สุด (แต่ก็ยังเห็นวิวน้ำ) อาหารโดยรวมอร่อยดี พวกเราไม่ได้สั่งกันเยอะเพราะอยากจะไปลองอย่างอื่นด้วย

    พอเดินออกมาที่ซอยที่อยู่ด้านหลัง ก็เต็มไปด้วยร้านข้างทางที่ส่วนใหญ่ขายทาโกยากิ ของปิ้ง ของทอด และเบียร์!! ตัดสินใจซื้อของมานั่งกินกัน โดยรวมก็อร่อยดี ไก่ทอดอร่อย (แต่เยอะ) และปูอัดกับไก่ย่าง (แคทซังไม่ชอบของชุดแป้งทอด ผมเลยอดกินไปด้วย) นอกจากของกินแล้วยังมีร้านขายของฝาก หนึ่งในร้านที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์คือร้านที่มีกลองตีอยู่ด้านหน้า(ฟังไปนาน ๆ ก็รำคาญเล็กน้อย) ร้านมีคาแรคเตอร์เป็นตัวผู้ชายใส่ชุดตัวตลกหรือละครสัตว์อะไรทำนองนั้น (ถึงหน้าตาเขาจะไม่ค่อยเข้ากันกับชุดที่เขาใส่ก็ตาม) เข้าไปด้านในก็ซื้อของฝากกันมาให้คนอื่นบ้าง ให้ตัวเองบ้าง 


    (ในร้านปู)

    (เซ็ทก้ามปูทอด)
    (ไก่ทอดและเบียร์)
    (มีแอบซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลร้านอื่นด้วย)
    (ชอบตรงที่มีที่ทิ้งแบบแยกไม้ให้)

    (ตัวละครที่บอก ไม่รู้ว่าชื่อตัวอะไร)


  • TOHO CINEMAS  ไปดูหนังสืบสวนที่แปลไม่ออกกัน

    (ภาพไม่เกี่ยว แต่ชอบเลยถ่ายมาเฉย ๆ )

    แพลนช่วงเย็นของวัน คือ การไปดูหนัง จริง ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องไปดูหนังที่ญี่ปุ่น ตอนไปโตเกียวรอบที่แล้ว ผมก็ต้องไปนั่งดูหนัง Gintama (ที่เล่นมุขสไตล์ญี่ปุ่น) แน่นอนว่าผมหลับในโรง ก็เดินมาทั้งวัน บวกกับแอร์เย็น ๆ และฟังไม่ออก ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่มีโอกาสได้ไป เหตุผลเผื่อสนับสนุน Suda Masaki นักแสดงที่แคทซังชื่นชอบ


    (โปสเตอร์ สุดะ มาซากิ ที่แสดงเป็นนักเรียน/นักสืบในเรื่องนี้ (พร้อมลายเซ็นต์))

    อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า ครั้งนี้เราพักที่ Hotel Granvia Osaka ซึ่งอยู่ในสถานีโอซาก้าเลย ทำให้การไปไหนมาไหนสะดวกมาก เพราะมันใกล้กับหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า และครั้งนี้มันก็ใกล้กับโรงหนังที่เราจะไปกันด้วย กด GPS และเดินไปประมาณ 10 นาที 

    (ครั้งนี้เดินผ่านทางที่ไม่เคยมา เป็นอีกห้างหนึ่ง)

    ก่อนจะไปที่โรงหนัง เรายังมีเวลาเหลือเลยตัดสินใจเดินเล่นที่ห้าง Parco อีกรอบ ระหว่างที่เดินไป แถวนั้นเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายวัย คนวัยทำงานที่กำลังกลับบ้าน หรือแวะห้างเพื่อซื้อของก่อนกลับบ้าน เหล่าวัยรุ่นที่ต่างพากันออกมาเที่ยว นัดเจอกันกับเพื่อนหรือนัดเดทกันกับแฟน ผมแอบคิด ว่าเป็นวัยรุ่นที่ญี่ปุ่นน่าจะสนุกว่าตอนผมเป็นวัยรุ่นที่ไทยเยอะมาก แถวนี้เปรียบเหมือนย่านสยามของเมืองไทย แต่ใหญ่กว่า มีร้านค้าน่าสนใจเยอะกว่า และมีกิจกรรมและสิ่งบันเทิงหลากหลายประเภทให้เลือกทำได้แทบทุกอย่าง

    แต่ถึงอย่างนั้น เป็นวัยรุ่นที่ญี่ปุ่นก็อาจจะเครียดกว่าในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการเรียน การแข่งขัน และขนบธรรมเนียมที่เคร่งครัด (ถึงแม้ว่าเด็กรุ่นใหม่จะเริ่มมีความเป็นอเมริกันเยอะขึ้นก็ตาม) สมัยก่อนผมเคยคิด ว่าถ้าผมได้โตมาในสังคมที่เจริญแบบนี้จะเป็นยังไง จะเป็นคนที่ดีกว่านี้หรือได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้หรือเปล่า แต่มาคิดอีกที ชีวิตวัยรุ่นที่ผ่านมาก็ถือว่าโชคดีและสนุกมากแล้ว

    ถึงตอนเรียนจะไม่ได้ทำอะไรที่หลากหลายมาก (แต่การมีตัวเลือกน้อยก็ดีกว่าในบางที ทำให้ไม่ต้องลังเล) คาเฟ่ที่ไปนั่งไม่สวยเท่าแต่ก็มีความสุขอยู่ดี ได้เจอเส่งและแกงค์หมู่บ้านเข็มเพชร (เพื่อนวัยเด็กที่อยู่ในซอยเดียวกัน) ได้เจอเพื่อนมัธยมที่ปัจจุบันก็ยังติดต่อกัน ได้เตะบอล และที่สำคัญ ได้หัดเล่นกีตาร์และทำเพลง ซึ่งเป็นผลผวงให้ได้มาเจอคนอีกหลายคนที่รักในดนตรีและศิลปะเหมือนกัน 

    พอมองย้อนกลับไป เป็นวัยรุ่นไทยก็ดีไม่แพ้กัน

    (อีกหนึ่งไฮไลท์ของโรงหนังที่ญี่ปุ่นคือ เราสามารถเอาเบียร์เข้าไปกินได้ "I Love" แคทซังบอกระหว่างดื่ม)


    เรื่องนักสืบนี้ดูจนจบแล้วเข้าใจประมาณ 70% และผมไม่หลับครั้งนี้ (เพราะมีเบียร์และอาหารกินอย่างดี) ออกมาจากโรงหนังและพากันเดินกลับบ้าน นอนพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวตื่นเช้าไปขึ้นรถไฟ ไปไหนน่ะเหรอ ไปเกียวโต ดินแดนแห่งวัดเซ็น

  • Side Note 

    กลับมาถึงที่พัก ห้องพักที่ญี่ปุ่นเขาจะเข้ามาทำความสะอาดให้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แขวนป้ายขอไว้ก็ตาม (ยกเว่นแต่เราจะแขวนป้ายว่า "ห้ามเข้าทำความสะอาด") 

    อีกหนึ่งความใส่ใจของเขาที่ผมสังเกตุ คือ เขาเก็บขยะทิ้งให้ทุกอย่าง ยกเว้นกระป๋องเบียร์ที่ยังไม่หมดอันนี้ (ประมาณว่าลูกค้ายังกินไม่หมด ก็จะไม่ไปแตะต้อง ประมาณนั้นหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ผมคิดเอาเอง) 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in