อาจจะแปลกจากตอนอื่นๆที่เคยเขียนอยู่สักหน่อย แต่ช่วงนี้ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังคลั่งรัก
ไม่ได้หมายถึงในเชิงคนรัก แต่ฉันกำลังหมายถึงการตกหลุมรักในสเน่ห์ความเป็นตัวเองของใครหลายๆคน ปกติแล้วฉันมักรู้สึกอยากรู้จักและถูกดึงดูดด้วยคนที่ให้ความรู้สึกบางอย่างที่ตรงใจ ซึ่งมันออกจะหายากเป็นพิเศษ
เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้พบกับบุคคลหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับฝน ซึ่งถ้าบอกกันตามตรงแล้วฉันไม่ค่อยจะชอบฝนเท่าไหร่นัก
แต่บุคคลนี้กลับโอบอุ้มอารมณ์ของฝนทั้งหมดที่ฉันรู้สึกรักเอาไว้
เป็นเรื่องที่ดูขี้โกง แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่ฤดูฝนนี้พาให้เรามาพบกัน
ฉันแทบไม่อยากเชื่อในการมีตัวตนอยู่ของคนๆนี้เสียด้วยซ้ำ ในวินาทีที่ได้พบเจอนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังกว้างใหญ่เกินกว่าที่คาดคิดไว้
เวลาหลายสิบปีที่ฉันเติบโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ โลกทำให้ฉันรู้สึกว่าผู้คนที่เป็นเหมือนสายรุ้งและแสงแดดนั้น คงไม่มีอยู่จริง
ที่แห่งนี้โหดร้ายเกินกว่าที่ความอบอุ่นและสดใสจะคงอยู่ได้ตลอดไป สุดท้ายไม่นานพายุที่โหมกระหน่ำจะเข้ามาเยือน ฉันเชื่อแบบนั้น
เมื่อฝนตก ท้องฟ้าจะมืดมิดไม่สดใส ความรู้สึกชื้นและเหนียวตัวจะเกิดขึ้นตามมาเพราะมวลน้ำที่มีมากเกินไปในที่แห่งนั้น
แต่กลับกัน บางครั้งมันก็ทำให้ผู้คนได้ใกล้กันมากขึ้น
การเดินในร่มคันเดียวกันหรือการจับมือเพื่อวิ่งฝ่าสายฝนที่โปรยลงมาจากฟ้านั้น ทำให้วันที่แสนมืดครึ้มดูเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้น
และเมื่อฝนหยุดตก ท้องฟ้าที่สดใสจะทำให้เรารู้สึกเบิกบานได้อีกครั้งไม่ต่างกับฤดูร้อนบนชายหาด
บางทีนี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองของฉันที่มีต่อฤดูฝนก็เป็นได้
ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจและอมยิ้มให้กับคำที่ว่านักเขียนมักมีแรงบันดาลใจมาจากความรัก
เพราะในครั้งนี้ ฉันสัมผัสได้ว่าตัวเองเขียนเรื่องราวด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไป
ไม่มีหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ที่ติดๆดับๆ หรือข้าวผัดที่ราดซอสมากจนเกินไปเหมือนกับบทที่ผ่านมา ตอนนี้นอกต่างเป็นเวลากลางคืนที่ท้องฟ้าไร้เมฆครึ้ม
แต่ฝนที่อบอุ่นกำลังตกอยู่ภายในใจของฉัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in