เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Movie Walker : รีวิวหนังครอบจักรวาลNarawit Takame
Turn on the Write : Up in the air ชีวิตอันล่องลอย ของชายชอบบิน
    • เผื่อคุณผู้อ่านจะงงว่าทำไมต้องใส่ Turn on the Write นำหน้าชื่อหนังด้วย
    • ต้องบอกก่อนว่า Turn on the Write คือการเขียนตามธีมที่คณะกรรมการกรม minimore ตั้งไว้ โดยโจทย์จะเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์
    • ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะเขียนโจทย์นี่มานาน แต่ก็ได้แค่เล็ง (เล็งมาหลายสัปดาห์เลยทีเดียว)
    • ครั้งนี้โจทย์มาในธีม "หนังสิ้นคิด" คือเล่าเรื่องหนังที่เราชอบดูเวลาใดๆก็ตาม หรือคิดอะไรไม่ออกก็หยิบหนังเรื่องนั้นมาดู 
    • ชีวิตการดูหนังของผมมีหนังสิ้นคิดอยู่เยอะเหมือนกัน แต่เรื่องที่ติดหัวและใจมากๆมีไม่กี่เรื่อง รอบนี้ผมขอหยิบหนังเรื่อง Up in the air ซึ่งเป็นหนังสิ้นคิด อันดับต้นๆของเรา มาเล่าให้ทุกคนอ่านกันนะครับ
    • มันคือหนังดราม่า/โรแมนติก ดูสนุก ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ชาย ที่สละทิ้งความสัมพันธ์ทุกแบบ เพื่อตัวเองจะได้ ไปถึงจุดหมายที่ตัวเองฝันไว้เร็วๆ
    • ขอจบคำนำเพียงเท่านี้.
    • เนื้อหาด้านล่างนี้ อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ จริงๆเราไม่อยากเปิดเผยเลย แต่มันจะเล่าไม่สนุกนะซิ เอาไปว่ามาอ่านกันเถอะ



    Up in the Air

    " What's in your backpack ? "


    • "ชีวิตของพวกคุณหนักเท่าไหร่กัน ?"
    • "จินตนาการถึง กระเป๋าสัมภาระใบหนึง แล้วห้อยมันไว้ที่บ่าของคุณ"
    • "คุณจะต้องเดินอีกไกล ลองนึกถึงน้ำหนักของมัน"
    •  "ทีนี้ ลองยัดสิ่งของต่างๆในชีวิตของคุณ เข้าไปในกระเป๋า รูปถ่าย บ้าน ทีวี ของใช้ต่างๆ
    •  "เริ่มรู้สึกว่ามันหนัก กระเป๋าใบนี้เริ่มใหญ่ขึ้นแล้ว ใช่มั้ย ?"
    •  "แล้วผู้คนล่ะ ผมอยากให้คุณลองยัดความสัมพันธ์ต่างๆลงไปในกระเป๋าด้วย ทั้ง เพื่อน คู่รัก พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ยัดลงไปในกระเป๋าด้วย"
    • "มันหนักมากแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่คุณต้องเดินอีกเยอะนะ กระเป๋าใบนี้จะไม่เป็นภาระเกินไปใช่มั้ย"
    • "ในโลกใบนี้ ยิ่งเราเคลื่อนที่ช้าเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะตายเร็วมากขึ้นเท่านั้น"
    •  "และแน่นอน เราไม่ใช่เต่า เราเป็นฉลาม"
    •   นี่คือปรัชญาชีวิตของไรอัน บริงแฮม พระเอกของเรื่องนี้



               Up in the air คือหนังดราม่า/โรแมนติก ดูสนุก ที่ว่าด้วย ชีวิตที่แสนจะโดดเดี่ยวของไรอัน บริงแฮม(พระเอก) ชายที่ประกอบอาชีพ รับจ้างไล่(คนอื่น)ออก !!! ใช่ครับ อาชีพนี้มันมีอยู่จริงๆ ในหนังเป็นช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ บริษัทต่างๆเลยต้องพากันไล่พนักงานออก แต่เจ้านายไม่มีความกล้าพอที่จะทำมันด้วยตัวเอง หน้าที่นั้นเลยตกเป็นของพระเอก ที่ต้องบินไปบริษัทมากมาย ในหลายประเทศ


               ปีนี้ ไรอันเลยยุ่งหน่อย ใน 1 ปี เค้าต้องออกบิน กว่า 322 วัน มีเวลาอยู่บ้านแค่ 42 ว้นเท่านั้น แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข เพราะความฝันและเป้าหมายชีวิตอย่างเดียวของเขา คือการเก็บไมล์บิน ครบ 10 ล้านไมล์ (ระยะทางไปกลับ จากโลกไปดวงจันทร์ ยังแค่ 500,000 ไมล์) ในโลกนี้ มีอยู่ไม่กี่คนที่ทำได้

              ผมคิดว่าผมเข้าใจ ไรอัน บริงแฮมนะ เวลาที่เรามียอดเขา หรือมีจุดหมายที่เราใฝ่ฝันอยากจะเดินให้ถึง สัมภาระที่เราแบกไว้ มันเลยกลายเป็น "ภาระ" แทน ยิ่งเราไม่ต้องพึ่งพาสัมภาระนั้น หรือไม่เคยเห็นประโยชน์ของมันแล้วด้วย สิ่งเดียวที่เราสัมผัสได้ ก็คงจะมีแต่น้ำหนักของมัน และการบรรจุสิ่งของลงไปในกระเป๋าสัมภาระของเรา มันก็เป็นเรื่องไร้สาระที่จะทำให้เราปีนถึงยอดเขาได้ช้าลงเท่านั้น และถ้ามันหนักเกินไป มันอาจผูกมัดเรา จนบางทีอาจฉุดเราตกจากภูเขาลูกนั้นเลยก็ได้

    "คุณเคยมีโมเม้นต์ เวลาจ้องไปในดวงตาของใครบางคน
    มันเหมือนคุณได้จ้องมองไปในจิตใจ และโลกทั้งใบหยุดนิ่งไปซักพักมั้ย ?"
    "นั่นแหล่ะ ผมไม่เคย"
             นอกจากรับจ้างไล่คนออก ไรอัน ยังเป็นนักพูด ให้แรงบรรดาลใจ หมายถึงปรัชญาชีวิตโดดเดี่ยวและแสนสันโดษที่เค้าเชื่อแหล่ะครับ เขาบอกเล่ากับพนักงานตามบริษัทต่างๆมามากมาย ณ จุดนี้ผมคิดว่ารู้จักกับ ไรอัน บริงแฮมดีแล้ว สำหรับผม เขาคือนักเดินทางที่อยากจะพิชิตภูเขาลูกหนึง ภูเขาลูกที่สูงมากๆ จนมีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่พิชิตได้ และเค้าต้องการเป็นหนึ่งในนั้น เค้าไม่ใส่สัมภาระอะไรลงไปในกระเป๋าเลย ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน และแน่นอนสิ่งที่จะผูกมัดเขาที่สุด "คนรัก" เค้าเลือกที่จะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆทั้งนั้น ตอนนี้ตัวของเขาเบาจนแทบจะลอยขึ้นไปในอากาศได้แล้ว

              และวันหนึ่ง นักเดินทางก็ได้พบกับคนๆหนึงที่เขารู้สึกว่า เธอคนนี้แหล่ะ คือนักเดินทางเหมือนกับตัวเขา เธอชื่อ อเล็กซ์ สาวใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกับเค้า ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแบบไม่ผูกมัด เรียกได้ว่าทั้งคู่เป็น friend with benefit กัน นับวันไปความสัมพันธ์ก็ยิ่งพัฒนาและซับซ้อน คล้ายกับเชือกที่พันกันอย่างแก้ไม่ออก ไม่นาน ชายหนุ่มผู้ล่องลอย ก็มีความรู้สึกที่เค้าทิ้งไปนานแล้ว นั่นคือ "ความรัก" เธอหลงรักผู้หญิงคนนี้เข้าอย่างจัง จากกระเป๋าสัมภาระที่ว่างเปล่า ตอนนี้เค้าพร้อมจะใส่คนบางคนเข้าไป เขาพร้อมจะแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เขาพร้อมจะให้สิ่งๆนั้นผูกมัดตัวเขาแล้ว


             ปกติเขาจะสนใจแต่ตัวเอง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเปิดใจรับคนอื่นเข้ามาบ้าง เค้าหลงเธอถึงขั้นให้กุญแจบ้านตัวเอง , เขาไม่สามารถเล่าปรัชญาอันโดดเดี่ยวที่ตัวเองเชื่อ ให้คนอื่นฟังได้อีกแล้ว , ชวนเธอไปเป็นเพื่อน ในงานแต่งของน้องสาวตัวเอง (ซึ่งปกติถ้าไม่มีเธอ เขาก็คงไม่ไป) , เขายังพูดแนะนำว่าที่น้องสะใภ้ (คนที่จะมาแต่งงานกับน้องสาวตัวเอง) ผู้ที่เกิดความสับสนก่อนพิธีแต่งงาน ว่าคนเราทุกคนต้องการคู่หูกันทั้งนั้นแหล่ะ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเห็นว่าทัศนคติของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เขาไม่อยากโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว 


              และสุดท้ายเขา เดินออกจากงานสัมมนาของตัวเองดื้อๆ เพื่อไปหาเธอที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่สามารถบอกให้คนอื่นมีชีวิตที่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่อยากโดดเดี่ยวเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เขาลุงทุน แต่สิ่งที่เขาได้รับเมื่อถึงหน้าบ้านเธอคือ ภาพของเธอที่อยู่ในบ้านพร้อมกับลูกๆ และสามีของเธอ
              "คุณมาทำอะไรที่นี่ ?" เธอบอก
              "ผมคิดว่าผมเป็นส่วนหนึงของชีวิตคุณ" เขาตอบกลับพร้อมเดินจากไป พร้อมกับความเจ็บช้ำ

             ตอนนี้ดูเหมือนว่า สัมภาระที่เขาแบกไว้ จะทำร้ายตัวของเขาเองแล้วซิ ถึงเขาจะไม่บาดเจ็บทางกายภาพ แต่ทางจิตใจ อาการที่ผมเห็นตอนนี้เราเรียกกันว่า "อกหัก" สัมภาระเพียงอย่างเดียวที่เขายอมใส่ไว้ในกระเป๋าของเขา กำลังหล่นหายไปในอากาศ ทัศนคติและหัวใจของเขาถูกทำลายอย่างย่อยยับ ผมไม่รู้ว่าเค้าจะเคยรับมือกับอาการนี้มาบ่อยแค่ไหน แต่เท่าที่เห็น เขารับมือมันไม่เก่งเลย

              แต่วันนั้น ขณะนั่งเครื่องกลับมายังบ้าน เหนือมหาสมุทรแห่งหนึ่ง เสียงประกาศจากกัปตัน พร้อมแก้วเชมเปญ ก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนในตัวเครื่อง ซักพักกัปตันก็เดินมาหาเขา พร้อมแสดงความดีใจ
    วันนี้เขาทำสำเร็จแล้ว เขาพิชิตยอดเขา ที่หวังมาหลายปีได้แล้ว กัปตันมอบการ์ดสีดำ ที่สลักชื่อ ไรอัน บริงแฮม ให้กับเขา พร้อมเริ่มบนสนทนา
              "บ้านของคุณอยู่ที่ไหน ?" กัปตัน
              "บ้านของผม อยู่ที่นี่" ไรอัน


             ผมรู้สึกแปลกใจที่เขาไม่แสดงความดีใจแม้แต่นิดเดียวเลย นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันไว้ไม่ใช่หรอ ? 
    นี่คือเป้าหมายชีวิตไม่ใช่หรอ ? ทำไม ดูเหมือนเขาได้แต่อึ้ง และเฉยๆกับมันจัง
    เป็นเพราะจิตใจของเขาพึ่งถูกทำลายมารึเปล่า ? หรือสัมภาระที่อยู่ในกระเป๋าของเขา ระหว่างปีนป่ายไม่อยู่แล้ว ? แม้ผมจะดูหนังเรื่องนี้หลายรอบแต่ก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดี ว่าจริงๆแล้วทำไมเขาไม่รู้สึกดีใจกับสิ่งนี้เลย ผมรู้แต่ว่าทำไมเขาถึงเสียใจ

               

              ในตอนจบ ไรอัน กลับมาใช้ชีวิตอันโดดเดี่ยว พร้อมออกบินไปตามประเทศต่างๆเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ดูเขาแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เขาดูเหงา โดดเดี่ยว และช่างไร้เป้าหมาย ทุกครั้งที่หนังเดินทางมาถึงตรงนี้ ผมจะคิดตลอดว่า สรุปแล้ว ในการเดินทางพิชิตยอดเขา อะไรมันจะดีกว่ากัน ระหว่างการที่เราเดินพิชิตยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว อย่างโดดเดี่ยว ไร้สัมภาระ หรีือเอนจอยไปกับการปีนป่าย และสัมภาระที่เราแบกไว้ อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าแบบแรกหน่อย สัมภาระบางชิ้นมันอาจจะหนักจนฉุดให้เราตกลงไปบ้าง แต่อย่างน้อยระหว่างทางเราก็ไม่ต้องโดดเดี่ยว อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทนเหงาอยู่คนเดียว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน ว่าแต่ " ชีวิตของพวกคุณหนักเท่าไหร่กัน ?"



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in