...
"บันทึกมึนๆ ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับกีฬา 'ปากัวร์' กีฬาที่ไม่ทำอะไรนอกจากกระโดด เเละปีน
เเละก็กลับมากระโดดใหม่ ถามว่าฝึกไปเเล้วได้อะไร ได้เยอะเลยเเหละ"
...
ตอนที่ 02 : กระโดดครั้งเเรก
โคตรเหนื่อย
เป็นสองคำสั้นๆ ที่อธิบายความรู้สึกแรกเมื่อผมเล่นปากัวร์ได้ดีทีเดียว
ไม่ใช่ว่าผมหากีฬาที่อยากเล่นไม่ได้แล้วจะปล่อยตัวเองไม่ออกกำลังกายเลยจนคิดว่ามันเหนื่อยหรอกนะครับ ตอนเรียนผมก็ยังเล่นกีฬาทั่วไปที่สอนในคาบพละและเล่นกับเพื่อนตามปกติ แค่ไม่ได้รู้สึกสนุกก็แค่นั้น
กีฬานี้ฉีกแนวการออกกำลังกายของผมอย่างมาก
ผมปวดกล้ามเนื้อแทบทุกส่วน แขน ไหล่ สีข้าง ต้นขา เท้า เรียกว่าล้าแทบทั้งตัว คุณจะไม่รู้สึกอะไรมากหรอกในวันที่คุณซ้อม ความจริงจะปรากฏในเช้าวันรุ่งขึ้นเสมอ ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยร่างกายที่หนักอึ้ง ส่วนที่ไม่เคยคิดว่าจะปวดมาก่อนดันปวดเป็นบ้าเป็นหลัง
แต่คุณเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม?
“แรกๆ ก็ปวดแบบนี้แหละ ต้องไปซ้ำ!”
......
“คิดว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว”
พี่บุช วัยรุ่นชายร่างผอมสูง ผิวขาว หน้าตี๋ อาจารย์คนแรกของผมกล่าวทักในวันต่อมา เขาคงคิดว่าพวกผมสามคนไม่มาแน่ในวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อวาน ถ้าคุณคิดว่าพวกผมสามคนเป็นฝ่ายเดินเข้าไปขอให้พี่ๆ ที่เล่นอยู่ตรงหน้าสอนล่ะก็ คุณคิดผิด พี่บุชนี่แหละที่เดินเข้ามาหาพวกผมสามคนที่เอาแต่นั่งกระจุกตัวอัดกันแน่นอยู่บนม้านั่ง ได้เเต่มองดูเขาเล่นกันอย่างหวาดๆ
“จะเอาแต่ดูรึไง ลุกขึ้นมาเล่นนี่ เดี๋ยวสอน”
พี่บุชเดินเข้ามาเมื่อไรผมไม่ทันสังเกต แต่คงรู้ว่าพวกผมอยากเล่น เอาจริงเป็นผมก็รู้ นี่วันที่สองแล้วนะที่มานั่งดูเขาเล่นกัน ใครล่ะจะไม่รู้ พวกผมมองหน้ากันไปมาประมาณว่าจะเอาอย่างไรดี ไม่มีใครคิดว่าพี่เขาจะเดินมาชวนถึงที่แบบนี้
แต่โอกาสไม่ได้มีกันบ่อยๆ ถ้าผมไม่เริ่มตอนนี้แล้วจะเริ่มเมื่อไร จริงไหม เหมือนผมนอนตื่นสายมาตลอดแล้วคิดว่าพรุ่งนี้จะตื่นเช้าบ้าง แล้วก็ทำได้แต่คิด ยังคงตื่นเช้าไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นมันต้องเริ่มตั้งเเต่ตอนที่คิดได้นี่เเหละ
ผมกับเพื่อนตัดสินใจแบบไม่ลังเล เอาสิ เป็นไงเป็นกัน ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กกำลังจะได้ลองของเล่นใหม่เอ่อขึ้นมาจากข้างในตัวลึกๆ
พวกเราต่างแนะนำตัวให้ทุกคนในกลุ่มรู้จัก มีทั้งอายุน้อยกว่าและมากกว่า รุ่นเดียวกันก็มี รวมกันเกือบสิบคนได้ ซ้อมกันอยู่บริเวณแท่นปูนทรงโค้งเหมือนปลายร่ม ปลายทางสองด้านเป็นขั้นบันไดเล็กๆ ให้เดินขึ้นมาด้านบนได้
ส่วนตรงเว้าวงกลมด้านในมีราวเหล็กเหมือนขั้นบันไดลิงให้ไต่โหนไปตามทางยาว และมีราวสูงตั้งเป็นแนวทแยงยึดติดกับแท่นปูนอีกจุด สูงขึ้นไปเกือบสามเมตร ด้านในฝั่งเว้าของแท่นปูนพื้นจะเตี้ยกว่าอีกฝั่ง ทำให้แท่นปูนของฝั่งด้านในสูงประมาณหน้าอก
ทุกคนฝึกกันต่อตามปกติ เหลือก็แต่พวกผมสามคนที่พี่เขาบอกว่าวันนี้เอาแค่พื้นฐานก็พอ ซึ่งก็เป็นท่าที่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ ง่ายซะจนไม่คิดว่าจะทำให้ร่างกายน่วมได้ขนาดนี้
......
ท่าแรกที่ผมได้ลองคือกระโดดจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งโดยใช้ก้อนหินแถวนั้นมากำหนดจุดบนพื้น ครั้งแรกก็ลองกระโดดให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยเพิ่มระยะไปเรื่อยๆ (กีฬานี้วัดระยะด้วยการนับก้าวนะ)
ดูเหมือนจะง่ายใช่ไหมครับ
แต่ยังมีรายละเอียดยิบย่อยมากๆ กับแค่ท่ากระโดดไปข้างหน้า
ตอนคุณกระโดดต้องเหวี่ยงแขนสองข้างไปข้างหน้าพร้อมตัวคุณด้วย แรงเหวี่ยงจะช่วยส่งให้คุณไปได้ไกลขึ้น และขณะที่กระโดดก็ต้องพยายามยกเข่าขึ้นสูงเท่าที่จะทำได้ อย่าโดดแล้วขาลอยจากพื้นแค่ไม่กี่เซ็น เข่าต้องสูงขึ้นถึงช่วงเอว
และพอปลายเท้าคุณแตะพื้นตรงที่เล็งไว้ มือที่เหวี่ยงไปข้างหน้าตอนแรกต้องเหวี่ยงกลับมาด้านหลังเพื่อทำให้เกิดสมดุลของแรงที่เคลื่อนที่ไปด้านหน้าตอนแรก เพราะถ้าคุณไม่เหวี่ยงกลับ แรงส่งจะเยอะเกินไปจนทำให้คุณพุ่งต่อและไม่หยุดอยู่กับที่ เเละอาจล้มได้
ครั้งแรกผมกระโดดได้ไกลแค่ระยะสี่เท้าตัวเองต่อกัน แถมยังยกเข่าไม่ขึ้นเท่าไร เพื่อนผมอีกคนขาแทบเหยียดลอยไปกับพื้นเป็นเส้นตรงตอนกระโดด
ถ้าอยากรู้ว่ายากไหมลองลุกขึ้นหาที่ว่างๆ ใกล้ตัวลองกระโดดดูเลยครับ สำหรับคนมีพื้นฐานทางกีฬาอาจไม่ใช่เรื่องยากเท่าไร
ซึ่งวันนั้นพวกผมก็ทำกันได้ไม่ดีนัก แน่ล่ะ วันแรก
แต่เหมือนพี่เขากลัวพวกผมจะเบื่อ ถัดไปจากบริเวณนั้นมีเนินสูงที่ด้านบนเป็นสนามหญ้าสีเขียวสวย มีก้อนหินน้อยใหญ่ตั้งวางอยู่ทั่วทิศ สิ่งที่ผมต้องทำคือกระโดดจากอีกก้อนไปอีกก้อนหนึ่ง
อันนี้สนุกกว่าอันแรกเยอะ เหมือนกลับไปเป็นเด็กที่กระโดดไปมาตามก้อนหิน ซึ่งสวนสาทรที่ผมเล่นระยะก้อนหินแต่ละก้อนไม่ได้ไกลกันมาก ประมาณสี่ถึงห้าก้าว มากสุดก็แค่หกหรือเจ็ดก้าวเท่านั้น
เมื่อพี่เขาเห็นว่าคล่องขึ้นก็ให้ลองเปลี่ยนมากระโดดขึ้นที่สูงดู โดยยืนอยู่กับที่ ท่านี้เหมือนง่ายแต่ยากมาก ความสูงแรกคือหัวเข่า อันนี้ผมยังกระโดดขึ้นไปยืนได้อยู่ แต่พอระดับเอวนี่เริ่มหืดขึ้นคอ
เชื่อไหมครับ?
ตลอดสองชั่วโมงหลังเลิกเรียนวันนั้นผมกับเพื่อนทำอยู่สามอย่าง
กระโดดบนพื้นเท่าที่จะไกลได้ และพยายามเก็บเข่า
กระโดดไปมาบนหินเพื่อฝึกความคล่องตัวและการวางเท้า อันนี้สนุกดี แต่ต้องระวังพอตัว ถ้าพลาดข้อเท้าอาจส้นหรือพลิกได้ง่ายๆ
กระโดดขึ้นที่สูงโดยยืนอยู่กับที่
แค่ 3 อย่างนี้ นับคร่าวๆ สองชั่วโมงผมกระโดดไปมากกว่า 200 ครั้ง ตื่นเช้ามาอีกวันนี่ทั้งปวดหน้าท้อง ปวดแขน ต้นขา มาหมด แค่บิดตัวความเจ็บก็พุ่งขึ้นมาแล้ว
......
สามอย่างนี้คือสิ่งที่ผมและเพื่อนทำตลอดเกือบหนึ่งเดือน
ถ้าถามว่าทำไมต้องทำอะไรซ้ำๆ แบบนี้เกือบเดือนด้วย ก็เพราะกีฬานี้มีกฎที่แข็งแรงมากอยู่ข้อหนึ่งน่ะสิครับ และไม่มีใครสามารถเลี่ยงได้ด้วย
กฎนี้ไม่ได้มีมนุษย์เป็นผู้สร้าง แต่เป็นธรรมชาติต่างหากที่บัญญัติขึ้น
กฎที่ว่า "ร่างกายไม่มีคีย์ลัด"
ถ้าคุณอยากระบายสีน้ำเก่งๆ แต่คุณไม่รู้ทฤษฏีสีก็คงเป็นไปไม่ได้ ปากัวร์ก็ทำนองเดียวกัน เป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานติดตัวมนุษย์ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องเลือกหาสถานที่เล่นมากมาย ฝึกได้ทุกที่ทุกเวลาตามแต่สะดวก ทุกอย่างดูง่ายก็จริง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ 'ความมุมานะ'
ถ้าคุณมีไม่มากพอ คุณจะล้มเลิกออกไปก่อนใครเพื่อน ไม่ใช่แค่กับกีฬานี้ แต่เป็นทุกอย่างที่ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญผ่านทักษะร่างกาย
ช่วงหลังเพื่อนผมสองคนเริ่มหันเหกลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองเหมือนจะชอบมากกว่า นั่นคือเล่นบาสเกตบอลและกลับไปเล่นกล้ามเหมือนเดิม สงสัยฤทธิ์การปลุกปั่นของผมจะหมดลงซะแล้ว
ส่วนผมน่ะเหรอ
ผมเดินมาไกลมากแล้ว ตั้งหนึ่งเดือนที่ผมทุ่มอยู่กับมันมา ผมกระโดดได้ไกลขึ้นมากกว่าเดิม พัฒนาการดีขึ้นจนรู้สึกได้ ร่างกายแข็งแรงเต็มเปี่ยมแบบที่ไม่เคยเป็น และเพิ่งรู้ว่าอยากมีหน้าท้องสวยๆ ไร้พุงกีฬานี้ช่วยได้มากทีเดียว ผมไม่ได้มีพุงหรอกนะ แต่การกระโดดขึ้นลงและไปกลับเรื่อยๆ เป็นการบริหารหน้าท้องที่ดีมากๆ ไม่เชื่อมาเล่นกับผมสิ หนึ่งเดือนรับรองเห็นผล(ฮา)
ผมไม่หยุดง่ายๆ ตรงนี้แน่นอน ของจริงเริ่มต้นหลังจากนี้ต่างหาก
เริ่มต้นตอนร่างกายผมพร้อมที่จะไปทำสิ่งที่เหนือกว่าอีกขั้น
......
จากผู้เขียน :
ไอจีที่จะมีรูปเเละคลิปสั้นๆ เกี่ยวกับการกระโดด สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้เเล้วเกิดความสนใจขึ้น อนาคตข้างหน้าอาจมีการมาสอนเทคนิคการกระโดด หรือท่าทางต่างๆ ครับ
......
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in