...
"บันทึกมึนๆ ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับกีฬา 'ปากัวร์' กีฬาที่ไม่ทำอะไรนอกจากกระโดด 
เเละปีน เเละก็กลับมากระโดดใหม่ ถามว่าฝึกไปเเล้วได้อะไร ได้เยอะเลยเเหละ"
...
          ตอนที่ 03 : คุณเคยลังเลไหม?
          หนึ่งในข้อคิดที่ผมได้จากกีฬาปากัวร์ก็คือ
          ไม่สำคัญว่าผมจะล้มไปกี่รอบหรือพลาดไปกี่ครั้ง แต่สำคัญที่ว่าผมรับมือกับความผิดพลาดนั้นอย่างไร 
          ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งเจ็บตัว เกิดแผลถลอกอยู่บ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมนึกย้อนทบทวนกับตัวเองอยู่หลายรอบว่าทำไมผมถึงยังทนเล่นกีฬานี้ต่อ
          ......
          ความผิดพลาดครั้งแรกของผมคือ  "ความลังเล"
          ภาพช่วงเวลานั้นยังชัดเจนอยู่ในหัวไม่มีวันลืม วันนั้นเป็นวันที่ผมพร้อมแล้วสำหรับการเอาท่าที่ฝึกปรืออยู่นานไปใช้จริง เป็นท่าที่เอาไว้ใช้ข้ามช่องว่างระหว่างกำแพง 
พยายามถ่ายจังหวะที่ลอยอยู่ตรงกลางเเล้ว เเต่ไม่ทันจริงๆ T  T 
          ผมวิ่งจากระยะที่พอดีเข้าไปใกล้กำแพงที่สูงประมาณเอว ใช้สองมือยื่นออกไปตบลงบนขอบกำแพงยันตัวเองขึ้นพร้อมกระโดดเก็บเข่าทั้งสองชิดตัว แรงกระโดดและแรงยันจากมือที่ตบลงบนขอบกำแพงส่งผมกระโจนไปข้างหน้า ผ่านช่องว่างตรงกลางจนไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงสำเร็จ
          นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น 
          แต่ความเป็นจริงคือผมดันชะงักตรงหน้ากำแพง และผมก็ออกแรงวิ่งมากเกินกว่าจะหยุดตัวเองทัน เข่าที่กระโดดขึ้นไปครึ่งทางหยุดตามสมองที่บ้าตั้งคำถามขึ้นมาในช่วงเสี้ยววินาทีสำคัญว่า
          “จะข้ามไปได้จริงๆ เหรอวะ?”
          เสียง ปึ้ก ของหัวเข่าที่กระแทกเต็มแรงกับขอบปูนสร้างรอยแผลเล็กๆ แต่เจ็บลึกเข้าไปถึงด้านใน ผมรีบพาตัวเองกลับมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ วันนั้นผมหยุดเล่นทันทีและกลับบ้านเร็วกว่าปกติ เย็นวันนั้นอาการยังไม่มาก แค่ปวดลูกสะบ้าเฉยๆ
          แต่ก็เหมือนที่ผมเคยบอกเอาไว้
          "ความเจ็บปวดที่แท้จริงจะมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเสมอ" 
          ผมปวดชนิดที่ว่าไม่อยากงอขา เมื่องอก็จะเจ็บร้าวไปทั้งเข่า พองอก็ไม่อยากจะยืด โชคดีที่ห้องนอนผมอยู่ชั้นล่างไม่ต้องเดินขึ้นบันได ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าผมต้องก้าวขึ้นบันไดในสภาพนี้จะเป็นอย่างไร 
          การขยับหัวเข่าแม้เพียงนิดสร้างความเจ็บที่ผมไม่เคยเจอกับตัวที่ไหนมาก่อน โชคดีอีกต่อคือตอนนั้นเป็นวันศุกร์ ทำให้ตลอดเสาร์อาทิตย์ผมสามารถเอาแต่นอนอยู่บนเตียงได้เพราะไม่ต้องไปไหน และก็คงไม่อยากไปไหนด้วย
          แต่ยิ่งกว่าเจ็บตัว คือเจ็บใจ 
          เจ็บใจที่รู้ว่าร่างกายตัวเองทำได้แต่สมองกลับสั่งการขัดแย้งจนสร้างความพินาศในวินาทีสุดท้าย 
          ผมกลัวว่าตัวเองจะไปไม่ถึง 
          ผมกลัวว่าจะพลาดแล้วเจ็บตัว
          ......
          เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมชอบกีฬานี้คือการก้าวข้ามความกลัวและขีดจำกัดของตัวเอง 
          ตอนนี้ผมกระโดดได้ไกลและสูงกว่าตอนแรกที่มาเล่น ผมดึงเอาแรงที่ตัวผมมีออกมาใช้ได้อย่างเต็มเปี่ยม แต่กีฬานี้ใช่ว่าร่างกายที่แข็งแรงจะสำคัญอย่างเดียว แต่เป็นจิตใจด้วย
          หลังจากหายเจ็บผมก็ไม่กล้าทำท่านั้นอีกเลยหลายเดือน ผมกลัวฝังใจไปแล้ว ผมใช้เวลาอยู่นานกลับไปรวบรวมความความกล้าและความมั่นใจ ผ่านการฝึกฝนซ้ำๆ จนคิดว่าตัวเองพร้อมในที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใด ผมท่องกับตัวเองอยู่ตลอดว่า 
          "เราทำได้ๆๆๆ"
          นี่เป็นคาถาต่อกรกับสมองของผม ถ้าผมไม่ท่องซ้ำๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง สมองของผมจะเอาแต่หวาดกลัวและพร่ำบอกว่าทำไม่ได้หรอก นอกจากต้องฝึกร่างกายแล้ว สิ่งที่ผมควรฝึกและลืมฝึกมาตลอดคือ "การตัดสินใจ" 
          ถ้าผมยังไม่เชื่อว่าตัวเองทำได้ใครที่ไหนจะมาเชื่อกับผมจริงไหมครับ? 
          ผมลืมไปว่าร่างกายของผมไม่สามารถสั่งการตัวเองได้ สมองและจิตใจต่างหากที่เป็นตัวกำหนด ถ้าผมเชื่อไปแล้วว่าตัวเองทำไม่ได้ ร่างกายผมก็จะรับฟังและปฏิบัติตามทันที 
          เหตุการณ์ที่ผมเอามาเล่าไม่ใช่ว่าผมพลาดครั้งแรกหรอกนะครับ แต่เป็นครั้งแรกที่เจ็บตัวหนักขนาดนี้ และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมกลัวฝังใจอยู่นานมาก มากจนพลาดโอกาสที่จะทำสำเร็จไปแบบน่าเสียดาย ผมควรไปข้างหน้าไกลกว่านี้ถ้าผมตัดสินใจได้แน่วแน่และไม่มัวลังเลกับความผิดพลาดในอดีต
          ......
           คนเราเกิดมามีเวลาเท่ากันก็จริง แต่เราประสบความสำเร็จได้ไม่เท่ากัน
           ผมรู้จักคนที่ซ้อมกีฬานี้เหมือนผมคนหนึ่ง อายุเขาห่างจากผมไม่เยอะ แต่เขาไม่เคยลังเลเลยที่จะกระโดดในท่ายากๆ หรือลองอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าบ้าพลังไม่กลัวเจ็บหรอกนะครับ แต่เขาไม่เอาเวลามากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นต่างหาก
          ต่างจากผมที่กลัวเจ็บ กลัวพลาด ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง ถามว่าหลังจากที่มั่นใจอีกครั้งแล้วผมพลาดอีกไหม คำตอบคือไม่ครับ อยู่ที่จิตใจและความคิดล้วนๆ ผมฝึกเยอะจนรู้ว่าต้องทำอย่างไรเวลาพลาดด้วยซ้ำ แต่ก็ยังกลัว คิดแล้วก็ขำตัวเองตอนนั้นไม่หาย เพราะมันไม่ได้ยากเกินความสามารถเลย
          ความลังเลนี่เเหละครับทำให้ผมเริ่มทำอะไรช้ากว่าคนอื่น แทนที่จะเก่งพอๆ กัน ก็ดันช้ากว่าใครเขา เวลาที่เคยมีมากมายในการฝึกก็น้อยลง หนำซ้ำบางอย่างพอเวลาผ่านเลยไปผมกลับมานั่งเสียดายว่าทำไมตอนนั้นผมไม่ตัดสินใจทำลงไป มาคิดได้ตอนหลังก็พลาดโอกาสนั้นไปซะแล้ว 
          ความลังเลครั้งนั้นเปลี่ยนความคิดผมไปเยอะทีเดียว ถ้าผมไม่ลองทำอีกรอบผมก็คงไม่มีวันได้เห็นผลลัพธ์ ผลลัพธ์ที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นทางที่คิดว่าถูกต้องเสมอไปหรอกนะครับ เเต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากได้ลงมือทำไปเเล้วต่างหาก ผลลัพธ์ทุกอย่างจะสอนเราต่อเองว่าต้องไปข้างหน้าอย่างไร บนโลกนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกครับที่ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่สำเร็จ  
          มีแต่มนุษย์ที่ไม่ทำมากกว่า
          ผมเชื่ออย่างนั้น
          ......
          ......
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in