#หนีว้ากมาเสวนากับผมไหม
นีโม่ โพสต์เมื่อ10นาทีที่แล้ว
กะกลางคืนของร้านภูแลหล่อมาก หล่อสุด ๆ
ปลาดาวสีส้ม
: ร้านกาแฟเปิดใหม่ที่อยู่ในซอยลึก ๆ นั่นปะ
นีโม่
: ใช่แล้วแก วันนี้เขาใส่ช็อปด้วย โอ้ยยยยย ดูดีสุด ๆ
ปลาดาวสีส้ม
: มาดนิ่ง ๆ เถื่อน ๆ อยากขอเป็นแฟนเลยอะ ไม่ต้องทำแล้วพาร์ทไทม์ กูเลี้ยงเอ--
เสียงที่กำลังอ่านแชทแบบเต็มจริตเงียบหายไปแทนที่ด้วยเสียง 'โอ้ย' ที่ดังขึ้นมา พนักงานที่ถูกกล่าวถึงในแชทใช้สันหนังสือฟาดหัวลูกค้า.... ซึ่งก็คือเพื่อนสนิทของเขาเองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
"มาทำงานวันสองวันก็กล้าทุบตีลูกค้าเลยอ่อ" คนโดนฟาดเริ่มบ่นอุบอิบ "มึงโดนไล่ออกแน่ภู"
"กูไม่ได้กล้าทุบแค่มึงนะ กูกล้าทุบจักรยานแม่บ้านมึงทิ้งด้วยว่ะเหนือ" ชายที่ชื่อภูกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ บ่งบอกว่าจะเอาจริง พลางเหลือบมองไปทางจักรยานแม่บ้านสีฟ้าน่ารักไม่ได้เข้ากับคนขี่เลยสักนิดที่จอดอยู่หน้าร้าน
ชายที่ชื่อเหนือทำหน้างอ "อย่ายุ่งกับจักรยานกูที"
ภูแลเป็นร้านกาแฟแบบห้องกระจกขนาดเล็ก ๆ โลโก้เป็นสัปปะรดตามชื่อร้าน ตามผนังแขวนประดับด้วยรูปวาดและรูปถ่าย สุดทางเดินของร้านมีชั้นหนังสือขนาดเท่าความกว้างร้าน บนนั้นมีหนังสืออยู่หลาย ๆ ประเภทซึ่งก็พอจะบ่งบอกถึงนิสัยรวมไปถึงงารอดิเรกของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี แม้จะเปิดจนถึงดึก แต่ด้วยความที่อยู่ไกลจากย่านมหาวิทยาลัย และยังเป็นร้านเปิดใหม่ แค่สามทุ่มในร้านก็เงียบเหงาทำให้เหนือและภูสามารถนั่งพูดคุยกันได้แบบนี้
เหนือสวมเสื้อช็อปสีแดงเลือดหมูกับกางเกงยีนส์ ดูท่าทางเป็นคนมั่นอกมั่นใจและเจ้าคารมผ่านออกมาจากสีหน้าและท่าทางอย่างชัดเจน ส่วนภูดูเป็นคนนิ่ง ๆ เคร่งขรึม จริงจังและพูดน้อยผ่านนัยน์ตาดุ ๆ สวมผ้ากันเปื้อนทับเสื้อช็อปและกางเกงยีนส์เช่นเดียวกัน
และชายสองคนนี้ เป็นสองคนที่ใคร ๆ ในคณะต่างให้ความเคารพ ไม่สิ
'กลัว' มากกว่า
"แล้วเมื่อกี้มึงอ่านอะไรอยู่"
"อ๋อ กูอ่านโพสต์ที่พูดถึงมึงในแอพนีโม่ไง" เหนือยกมือถือขึ้นมา ชี้ไอค่อนรูปปลาการ์ตูนสีส้มน่ารัก "มันเป็นแอพที่แบ่งโซนตามมหาลัยต่าง ๆ จุดที่น่าสนใจก็คือมันจะไม่เปิดเผยชื่อคนโพสต์กับคนแสดงความคิดเห็น ก็เลยกำลังฮิตมากในหมู่เด็ก ๆ มหาลัย" เหนืออธิบายยาวเหยียด เหลือบมองภูที่พยักหน้ารับเป็นระยะ ๆ
"มึงลงไว้เสือกเรื่องคณะอื่น... ไม่ก็เอาไว้ส่องว่ามีน้องไปบ่นในนั้นรึเปล่าล่ะสิ"
"ส่วนมากกูก็เอาไว้เสือกแหละ.. น้องเรามีใครกล้าบ่นลงในนั้นซะที่ไหน" เหนือดูดอเมริกาโน่เย็นในแก้ว เท้าคางกับโต๊ะ รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเจือด้วยความกังวล "...มีเด็กไม่เอารุ่นเยอะขึ้นทุกวัน... แล้วก็มีคณะที่ยกเลิกระบบเพิ่มขึ้นทุกปี"
"แต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหานี่สำหรับคณะเรา คนส่วนมากก็ยังอยากจะเอารุ่นอยู่ดี" ภูกล่าวเรียบ ๆ นัยน์ตาที่สังเกตเพื่อนร่วมรุ่นตรงหน้าตลอดจับสัมผัสความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ "มึงกำลังกังวล"
"ไอ้ภู.." เหนือสบตากับเพื่อนสนิท มองด้วยสีหน้าดูจริงจังซึ่งหาได้ยากจากเขา "...กูว่ากูรู้สึกได้ว่ะ ว่ามันมีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยน"
สิ้นประโยคของเหนือ กระดิ่งที่ประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น ภูดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้แทบจะทันที
"รับอะไรดีครับ"
ภูถาม ก่อนจะหยุดยืนนิ่ง มองสบตากับผู้มาใหม่
ลูกค้าคนใหม่ของเขาเป็นชายวัยรุ่นตอนปลาย ตัวสูงพอ ๆ กับภู ไว้ผมสีดำยาวแค่ให้พอมัดออกมาเป็นหางม้าเล็ก ๆ ได้ สวมเสื้อเชิ้ตเซอร์ ๆ ยีนส์ซีด ดวงตาสีดำที่ดูผ่านเรื่องราวมามากนั้นมีสเน่ห์ มีพลังราวกับแผ่ออร่าอะไรบางอย่างออกมาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่ทำให้ภูนิ่งไปไม่ใช่ลักษณะภายนอกของชายคนนั้น
แต่เป็นเพราะโปสเตอร์ที่ถืออยู่
เหนือเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเงียบไปก็เหลียวหลังไปมองเช่นกัน
โปสเตอร์นั้นเป็นโปสเตอร์โทนสีแดงเข้ม ประกอบด้วยภาพวาดคนกำลังยืนทำท่ากางแขนอะไรสักอย่างที่เขาไม่เข้าใจ มีข้อความตัวใหญ่เด่นหราที่สุดความว่า 'หนีว้ากมาเสวนา'
'ทำไมต้องว้าก?
ว้ากแล้วได้อะไร?
ว้ากแล้วรักกันจริงหรือไม่?
ขอเชิญทุกท่านร่วมวงเสวนา ระบาย ถกปัญหา และพูดคุยกันได้ ณ ห้องชมรมคนอยากเขียน อาคารชมรมกลาง วันพุธที่ 26 กันยายน ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป
จัดโดย ชมรมนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย และชมรมคนอยากเขียน
ปล. พกของกินมาเองนะครับ'
ภูกวาดตาอ่านข้อความในเสี้ยววินาทีด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกลับไปมองสบตาลูกค้าคนใหม่ของเขา
ชายคนนั้นสังเกตเห็นได้ถึงเสื้อช็อปใต้ผ้ากันเปื้อนของภูเช่นกัน นัยน์ตาสีดำมองอย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้ม.. ยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่งสูงกว่าอีกข้างหนึ่ง รอยยิ้มที่ยากคาดเดาความหมาย อาจจะแค่ยิ้มออกมาเฉย ๆ กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ มีเจตนาท้าทาย หรือทุก ๆ อย่างรวม ๆ กัน เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิต ที่ภูไม่สามารถสัมผัสถึงความคิดของอีกฝ่ายได้เลย
"เอาโปสเตอร์มาติดครับ ผมบอกพี่แทนไว้แล้ว"
"ครับ พี่แทนบอกผมแล้ว" ภูตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย "ผมติดให้ไหมครับ"
ชายคนนั้นนิ่งเงียบราวกับจะประเมินครู่หนึ่ง
"ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองได้" พูดจบลูกค้าคนใหม่ก็จัดแจงแปะโปสเตอร์ที่ใต้เคาท์เตอร์ แล้วก็เดินดุ่ม ๆ ไปแปะโปสเตอร์ที่ประตูหลังร้านโดยไม่สนใจเลยสักนิด ว่าคนอีกสองคนที่อยู่ในร้านมาจากคณะที่มีระบบเคร่งครัดมากที่สุดแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็เปิดประตูออกไปได้หน้าตาเฉย แม้จะถูกจับตามองอยู่ตลอดทุกการเคลื่อนไหวก็ตาม
กระดิ่งที่ประตูหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกลืนหายไปกับความเงียบของคนอีกสองคนที่ยังเหลืออยู่ในร้าน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in