Song: MONOMANIA - รุ้งสีเทา
Note: จาก ส.ค.ส. 2018 ที่เราเขียนเพื่อแลกกับคนอื่นค่ะ
The rain is hitting the roof.
Do you hear the sound?
—
สิ่งที่ฉันรอ...ไม่มีวันกลับมาเหมือนเก่า
ส่วนลึกในใจยังมีเรื่องราว...ทุกอย่างนั้น
วันคืนหมุนไป...เฝ้ารอใครหนึ่งคนหวนกลับมา
เช้าที่ต้องตื่นมาและพบว่า...เธอไม่มีจริง
—
ซ่า–
เปาะแปะ
เจ้าของดวงตาคมลืมตาขึ้นมองเห็นเพดานสีควันบุหรี่อากาศที่เย็นชื้นบวกกับเสียงหยดน้ำตกกระทบหลังคาทำให้รู้ว่าด้านนอกฝนคงตกหนักน่าดูบรรยากาศหม่น ๆ ไร้แสงอาทิตย์ช่างเหมาะแก่การนอนซุกในผ้าห่มผืนโตเสียจริง ๆแต่ตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องทำ จึงต้องลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ค่อย ๆ ขยับกายลุกขึ้นอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวใครอีกคนที่นอนขดอยู่ข้างกายจะตื่นขึ้นมามือหนาเอื้อมไปดึงหน้าต่างข้างเตียงให้เปิดขึ้นสายลมเย็นและความชื้นลอยมากระทบใบหน้าทันทีที่เกิดช่องว่างเสียงเม็ดฝนดังขึ้นกว่าเดิมแต่กลับไม่น่ารำคาญแถมยังทำให้เพลิดเพลินในการฟังอีกด้วย
นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นช่วงสายของวันแปดโมงกว่าแล้วแต่บรรยากาศช่างเหมือนตอนหกโมงเช้าอย่างไรอย่างนั้น ‘แฟร์ริเออร์’ค่อย ๆ ขยับกายก้าวลงจากเตียงสูงก่อนจะเดินอ้อมไปดึงผ้าห่มให้ห่มร่างของใครอีกคนจนถึงลำคอ อากาศแบบนี้ดูแล้วคงไม่ตื่นง่ายๆ แน่นอน
ที่จริงแฟร์ริเออร์เป็นคนหลับลึกพอสมควรแต่เมื่อมาเจอคนที่นอนหลับบนเตียงถึงได้รู้—ว่าตัวเองน่ะแพ้ไปเลย ถ้าหากได้นอนแล้วยากที่จะตื่นขึ้นมาเลยล่ะคิดว่าถึงบ้านจะไฟไหม้ก็คงไม่รู้เรื่องยกเว้นจะโดนปลุกหรือเรียกแบบเสียงดังรุนแรงให้สะดุ้งเท่านั้น แล้วก็จะได้ใบหน้าบูดบึ้งง้ำงอไม่พอใจพร้อมสายตาเฉี่ยวตวัดเหมือนลูกแมวที่ขู่ฟ่อๆ ใส่เป็นของแถมอีกด้วย
แฟร์ริเออร์เดินไปรอบๆ ห้อง ไล่เปิดหน้าต่างทีละบาน พร้อมกับเปิดประตูตรงระเบียงให้อากาศเย็น ๆได้เข้ามาถ่ายเทในห้องนอน เมื่อคืนไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเพราะเห็นว่าอากาศมันเย็นชื้นเขาจึงเลือกเปิดแค่พัดลมเท่านั้น เดาไม่ผิดเลยจริง ๆ ว่าเช้านี้ฝนต้องตกลงมา
บ้านหลังเล็กสีขาวสะอาดแบบชั้นเดียวถูกยกขึ้นสูงจากระดับพื้นดินขึ้นมานิดหน่อยในบ้านมีเพียงแค่หนึ่งห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และอีกหนึ่งห้องนั่งเล่นพร้อมโรงจอดรถสำหรับหนึ่งคัน มีสนามหญ้าและสวนหย่อมรอบตัวบ้าน บ้านหลังเล็ก ๆที่เขาเก็บเงินซื้อและออกแบบสร้างด้วยตัวเอง
กลิ่นไอร้อนจากโกโก้ที่เพิ่งชงทำให้เจ้าตัวยกยิ้มสองเท้าก้าวเดินไปสำรวจบริเวณระเบียงหน้าบ้านพร้อมจิบโก้โก้ในมือไปด้วยอา...วันนี้ฝนตก เด็กที่ส่งหนังสือพิมพ์คงไม่ปั่นจักรยานมาทำงานหรอกเห็นทีวันนี้คงอดอ่านข่าวสารยามเช้าแล้วสิเนี่ย
ครั้นจะเปิดโทรทัศน์ก็กลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดเข้าไปในห้องจนคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ตื่นขึ้นมาแฟร์ริเออร์ไม่ได้อยากเสี่ยงแบบนั้น ปล่อยให้ตัวบ้านเงียบสงบคงดีกว่า
แฟร์ริเออร์อยู่ตัวคนเดียวมาเกือบทั้งชีวิต
พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันที่ฝนตกหนักตั้งแต่เขายังไม่พ้นช่วงประถมด้วยซ้ำบ้านถูกยึดโดยธนาคาร แต่ยังโชคดีที่ยังมีทรัพย์สินจากพินัยกรรมและเงินประกันชีวิตของพ่อแม่ที่ทิ้งไว้ทำให้ใช้ชีวิตต่อมาได้ถึงจะไม่ได้สะดวกสบายมากเหมือนครอบครัวคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้ลำบากเท่าไรนักหรอกญาติ ๆ หลายคนพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ไปอยู่ด้วยเหมือนกันแต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตเพียงลำพังติดต่อญาติเมื่อจำเป็นเพราะพวกท่านยังมีสิทธิ์เป็นผู้ปกครองอยู่ ตอนนั้นเขายังอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ในอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่ใกล้โรงเรียนเท่านั้น
เราเจอกันในวันฝนพรำ
ถึงจะหลายปีมาแล้วแต่แฟร์ริเออร์ยังจำได้ดีมันเป็นวันที่เขากำลังเดินกลับห้องหลังจากเลิกทำงานพิเศษตอนดึกดื่นถึงแม้จะมีเงินจากค่าประกันชีวิตและพินัยกรรมแต่ตัวเองก็ไม่เคยนิ่งเฉยหางานพิเศษทำตลอดตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ทำงานได้ด้วยซ้ำ หลายที่รับเข้าทำงานเพราะสงสารชีวิตตัวคนเดียวของเขาและเพราะความขยันของตัวเองถึงได้ทำงานในที่ดี ๆ รายได้ดี ๆที่ถูกแนะนำโดยรุ่นพี่มาตลอด
งานของเขาคือเป็นเด็กเสิร์ฟประจำร้านนอกจากรายได้ดีแถมยังมีทิปจากลูกค้าอีกด้วย วันนั้นเป็นวันที่เขาเลิกงานจากร้านเหล้าหลังมหา’ลัยฝนตกพรำ ๆ ปรอย ๆ ตอนที่กลับห้อง ถึงแม้ก่อนหน้าจะตกหนักก็เถอะคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ฝนไม่ทำร้ายกัน กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าผ้าใบคู่ใจเหยียบย่ำลงบนพื้นที่น้ำเจิ่งนองอย่างใจเย็นถึงแม้รองเท้าจะเก่าไปตามกาลเวลาแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบเวลามันเปียกน้ำสักหน่อยเสื้อกันหนาวมีหมวกถูกสวมใส่ปิดบังศีรษะไม่ให้เปียกฝนมากนักเดี๋ยวเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วจะยุ่ง
แล้วเราก็เจอกัน
ใครอีกคนยืนตากฝนอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์หน้าอะพาร์ตเมนต์ของเขาผิวขาวซีดที่ตอนนี้ยิ่งดูซีดเซียวเหมือนไร้เลือดฝาดพร้อมกับผมสีสว่างเปียกน้ำลู่แนบไปกับใบหน้า เจ้าของสายตาเย็นชาเหม่อมองเบื้องหน้าโดยไม่ได้สนใจสิ่งใดจนกระทั่งตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านไปเท่านั้นแหละ ร่างนั้นถึงล้มลงกับพื้นและหมดสติไป
‘คอลลินส์’ เป็นแค่เด็กมัธยมปลายที่หนีออกมาจากครอบครัวหนึ่งที่ค่อนข้างมีฐานะเนื่องจากมีพี่น้องที่เรียนเก่งและเชื่อฟังพ่อแม่ ส่วนตัวเองนั้นออกจะขวางโลกจึงรับไม่ได้กับเส้นทางที่ถูกปูเอาไว้ ถึงได้หนีออกมา...เราเจอกันในวันนั้น จนมาถึงวันนี้เราก็ยังอยู่ด้วยกัน
เขาจำได้ว่าหลังจากเรียนจบ...ก็พาใครอีกคนหนีตามกันมาทันทีเพราะกลัวว่าวันหนึ่งคอลลินส์จะโดนตามตัวกลับไป ถึงแม้คอลลินส์จะเป็นฝ่ายบอกเองว่าไม่มีใครมาตามกลับไปไหนทั้งนั้นแต่แฟร์ริเออร์ก็ยังคงกลัวอยู่ดี ทั้งที่ตอนแรกจะส่งเด็กคนนั้นกลับบ้านหรือพาไปทิ้งไว้ที่สถานีตำรวจด้วยซ้ำแต่ไหงถึงได้ยอมให้อยู่กับตัวเองเสียได้ แถมยังทำให้ตัวเองเคยชิน...กับการมีคนอยู่ข้างกายอีก
แฟร์ริเออร์ทำงานเป็นสถาปนิกอิสระรับงานจากคนรู้จักหรือใครที่แนะนำมาเพราะถึงแม้จะเรียนจบแล้วแต่ชื่อและผลงานที่เคยทำยังคงอยู่ที่มหา’ลัย เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้จ้างงานอยากได้สถาปนิกจบใหม่หรือสถาปนิกที่มีไอเดียดีๆ ก็มักจะแวะเวียนไปเสาะหาตามมหา’ลัยนั่นแหละ เมื่อโกโก้ในแก้วหมดลงจึงจัดการล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนจะกลับไปในห้องนอนที่มีใครบางคนนอนขดอยู่ในผ้าห่มผืนโตเช่นเดิม
แฟร์ริเออร์เคยเกลียดฝน...จนกระทั่งได้มาเจอคอลลินส์
ส่วนคอลลินส์เองก็เกลียดฝนเพราะมันเฉอะแฉะแต่เจ้าหมาน้อยตัวนี้ดันชอบอากาศเวลาฝนตกเสียอย่างนั้นเพราะมันทำให้คนขี้เซาได้นอนหลับสบายน่ะสิ...ค่อย ๆ ขยับกายไปทิ้งตัวนอนข้างอีกคนอย่างแผ่วเบาแต่ทันทีที่นอนลง—เจ้าตัวก็ขยับเข้ามากอดร่างเขาเอาไว้ทันทีพร้อมกับบ่นเสียงงึมงำในลำคอทั้งที่ไม่ลืมตา
“แฟร์ริเออร์ไปไหนมา...” ใครอีกคนขยับเอาใบหน้าซุกหน้าอกกว้างของเขาราวกลับกลัวว่าจะหนีหายไปไหน
“ไปเปิดหน้าต่างให้คอลลินส์ไงครับฝนตก—อากาศจะได้ถ่ายเท คอลลินส์จะได้นอนหลับสบาย ๆ ไง” แฟร์ริเออร์โอบกอดอีกคนไว้ภายใต้ผ้าห่มผืนโต
“โกหก...ไม่ใช่แค่เปิดหน้าต่างในห้องนอนสักหน่อยแฟร์ริเออร์ออกไปนอกห้องตั้งนาน...วันนี้มีงานหรือ?” คอลลินส์เหมือนแมวขี้เซา...แถมยังเหมือนหมาขี้อ้อนมากอีกต่างหาก
“หืม...คอลลินส์ตื่นตั้งแต่ตอนไหน?”
“ตั้งแต่แฟร์ริเออร์ลุกจากเตียง...รู้สึกว่าไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ แต่ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่าง...ได้ยินเสียงฝน แล้วก็เสียงเดินออกไปข้างนอก”คำตอบของคอลลินส์ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะกดริมฝีปากไปบนหน้าผากกว้าง
“แฟร์ริเออร์เดินออกไปดื่มโกโก้เฉยๆ ครับ แล้วก็แวะดูด้วยว่าเด็กส่งหนังสือพิมพ์ได้มาส่งหนังสือพิมพ์หรือเปล่า—นอนต่อเถอะคอลลินส์อากาศดีมากเลยนะ” มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ
“ห้ามลุกไปไหนอีกนะไม่อย่างนั้นจะโกรธจริง ๆ ด้วย” คนในอ้อมกอดตื่นแล้ว แถมยังเงยหน้ามาจ้องตาเขม็งอีกด้วยแฟร์ริเออร์ถึงได้หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
เลี้ยงคอลลินส์บางครั้งก็เหมือนเลี้ยงทั้งแมวทั้งหมา
ริมฝีปากหนาไล่กดจูบตั้งแต่หน้าผากกว้างลงมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง ปลายจมูกโด่งจนกระทั่งริมฝีปากบดเบียดละเลียดชิมอย่างเชื่องช้า ก่อนจะรุกล้ำส่งเรียวลิ้นเข้าไปชิมความหวานภายในโพรงปากของอีกคนเสียงจูบดังจากจ้วงขึ้นเรื่อย ๆโดยไม่มีใครสนใจจะผละตัวออกมาเช็ดน้ำสีใสที่ไหลปริ่มออกทางมุมปากลิ้นเรียวยังคงเกี่ยวกันอย่างกระหาย
แฟร์ริเออร์พลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างนั้นทั้งที่ยังไม่หยุดแลกจูบมือหนาล้วงเข้าไปภายในเสื้อยืดตัวโต ลูบไล้ผิวของอีกคนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะไล่ริมฝีปากมาขบเม้มใบหูลากเรียวลิ้นลงมาดูดดึงเนื้อที่ลำคอขาวจนเกิดรอยแดงแสดงความเป็นเจ้าของทับรอยเก่าที่ทำเอาไว้เมื่อสองสามวันที่แล้ว
ค่อยดำเนินบทเพลงรักไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งสองร่างกายอุ่นร้อนเปลือยเปล่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยขยับจังหวะให้เร็วขึ้นตามพายุอารมณ์ที่โหมเข้ามา“อื้อ...แฟร์ริเออร์...”
ถึงเสียงของฝนจะฟังแล้วเพลิดเพลินเท่าไหร่แต่เสียงออดอ้อนครางอื้ออึงในลำคอของคอลลินส์น่ะ—น่าฟังกว่ากันตั้งเยอะ :)
//
ซ่า–
เปาะแปะ
เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าลืมตาขึ้นมองเห็นเพดานสีควันบุหรี่อากาศที่เย็นชื้นบวกกับเสียงหยดน้ำตกกระทบหลังคาทำให้รู้ว่าด้านนอกฝนคงตกหนักน่าดูบรรยากาศหม่น ๆ ไร้แสงอาทิตย์ช่างเหมาะแก่การนอนซุกในผ้าห่มผืนโต แม้วันนี้จะมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่างแต่เพราะสภาพอากาศ—เขาจะขอนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนี้ต่อไปแล้วกัน
ฝันอีกแล้ว
‘คอลลินส์’หลับตาลง—หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด…หัวใจของเขา…มันบีบรัดเหลือเกินภาพในฝันไหลย้อนมาราวกับเขื่อนแตกยิ่งเรียกเสียงสะอื้นให้ดังขึ้นเรื่อย ๆน้ำสีใสไหลอาบหน้าของชายหนุ่ม หากใครมาเห็นคงรู้สึกเวทนาน่าดู
ความฝันเปรียบเสมือนดาบสองคมในทางหนึ่งมันทำให้เขามีความสุข แม้จะเป็นสุขแบบทุกข์ในยามตื่น แต่ถึงอย่างนั้น…คอลลินส์ก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ฝันได้เพราะยังคิดถึง...คิดถึงอยู่ตลอดเวลา มันจึงเป็นอะไรที่ควบคุมยาก ทั้งความคิด,ความรู้สึก, จิตใต้สำนึกลึก ๆ…ยังคงมีใครคนนั้นอยู่เสมอ
ไม่มีเลยสักครั้ง…ที่จะไม่มีแฟร์ริเออร์อยู่ในนั้น
เขายังคงฝัน…ฝันถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยเกิดขึ้นฝันถึงอะไรที่เราเคยฝันไว้ด้วยกัน ฝันถึงสิ่งที่ใครคนนั้นเคยบอกเล่าเราฝันอยากมีชีวิตที่สงบสุขด้วยกัน มีบ้านหลังเล็ก ๆ ใช้ชีวิตแค่สองคนโดยไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งนั้น…และฝันว่าอยากอยู่ด้วยกันตลอดไปแต่บนโลกใบนี้—คำว่า ‘ตลอดไป’ มันไม่มีอยู่จริง ไม่เคยมีอยู่จริงไม่มีทางเป็นไปได้ ฉะนั้นเราจึงทำได้แค่ฝัน
และที่ยังเจ็บปวดเพราะคนเราไม่สามารถฝันได้ตลอดไปเช่นกัน…มันแย่นะ…จะใช้ชีวิตโดยไม่นอนหลับพักผ่อนก็ไม่ได้หรือจะนอนหลับฝันตลอดไปก็ไม่ได้อีก…คอลลินส์ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากปล่อยให้เวลาผ่านตัวเขาไป...เฝ้าคอยอยู่ในฝันที่มันเลื่อนลอย จนบางครั้งเมื่อนึกถึงก็เริ่มสับสนแล้วว่าเหตุการณ์ไหนคือเรื่องจริงเหตุการณ์ไหนคือความฝัน
คิดถึง
เหมือนทุกวันกำลังนั่งรอดูรุ้งบนฟ้า
ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า…หลังฝนนี้…จะมีแสงแดดไหม
‘ห่มผ้าด้วยสิคอลลินส์ อากาศมันเย็นนะ’
รู้แล้ว…ตอนนี้ก็ห่มอยู่ไง
‘ขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องลุกไปทานมื้อเช้า เข้าใจไหม’
แต่มันขี้เกียจนี่นา
หลายครั้งก็ฝันดีจนไม่อยากตื่น
ควันสีขาวลอยออกไปตามแรงลม เส้นผมปลิวไสว แต่ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสในการทำกิจกรรมคลายเครียดของตัวเองไปได้ดวงตาเหม่อลอยไปไกลแสนไกล มองผ่านหุบเขาที่สลับซับซ้อน มองดูทุ่งหญ้าสีทองโอนเอนเพราะลมพัด‘คอลลินส์’ สูดอากาศบริสุทธิ์เหล่านั้น และยังคงสูดเอาควันจากมวนกระดาษสีขาวเข้าปอดแล้วพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง
รอยลิปสติกสีส้มอิฐติดอยู่ที่ก้นบุหรี่ ทั้งตัวที่ถูกทิ้งในขวดน้ำ หรือแม้แต่ตัวที่กำลังถืออยู่ก็ตาม
เดี๋ยวคงต้องเติมลิปสติกสักหน่อยล่ะนะ
เธอทดเอาไว้ในใจ ไม่ให้ตนเองลืม
ตอนนี้เธอหยุดพักที่จุดชมวิวหรือจุดพักรถบนภูเขาสูง ถนนตัดผ่านตรงกลาง ฝั่งหนึ่งเป็นที่จอดรถและมีจุดชมวิวมองเห็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามร้านค้าขายของที่ระลึกเรียงราย แต่เธอเลือกเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งที่มีเพียงพื้นหญ้าและทุ่งหญ้ารก ๆ ดูอันตรายถ้าหากเผลอลื่นตกลงไปเพราะไม่มีแผงกั้น มันไม่ได้จัดเป็นจุดชมวิวทางการมีชาวต่างชาติ 2-3 คนเอาผ้าปูกับพื้น แล้วนั่งอ่านหนังสือรับลมรับแดดอย่างสบายใจ
เธอเดาว่าทางนี้คงเป็นทิศตะวันตก เนื่องจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมันเหลื่อมกับภูเขาเหล่านั้นลมพัดโกรก เธอนั่งตรงนั้นโดยไม่ใช้อะไรรองเลย สาเหตุที่เลือกมาฝั่งนี้เพราะไม่อยากไปสู้รบกับนักท่องเที่ยวที่แห่แหนกันไปดูวิวฝั่งโน้นเธอคิดว่าฝั่งนี้สงบเงียบกว่ากันเยอะ แถมยังสูบบุหรี่ได้โดยไม่รบกวนใครด้วย
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาวก่อนจะเข้าฤดูร้อน อากาศถึงได้เย็นสบายอย่างนี้ หรือเพราะอยู่บนที่สูงก็ไม่แน่ใจไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถมานั่งกลางแสงแดด ปล่อยให้ลมพัดผ่าน โดยไม่มีที่ร่มให้พักพิงเหมือนฝั่งตรงข้ามหรอก
ความเย็นจากกระป๋องน้ำอัดลมแตะที่ข้างแก้ม คอลลินส์ไม่ได้สะดุ้งแต่อย่างใด เธอหันไปรับโคล่ากระป๋องนั้นจากใครอีกคนก่อนจะวางมันไว้ข้างตัว เหม่อมองทิวทัศน์เช่นเคย
“ขอฉันสูบด้วยคนสิ”
“หยิบในกล่องไป”
"ไม่เอา—ฉันสูบนิดเดียว สูบต่อจากมวนที่เธอถืออยู่ก็ได้"
คอลลินส์หันไปมอง ‘แฟร์ริเออร์’ ผู้เป็นรุ่นน้องร่วมทริปกับเธอ
“แต่มันมีลิปสติกติดอยู่นะ”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”
ถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมยื่นให้ใครอีกคน เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า...เวลาอยากให้เธอหยุดสูบก็จะทำทีมาขอสูบต่อ เพราะรู้ดีว่าการกระทำนั้นจะขัดจังหวะจนเธอไม่มีอารมณ์จะหยิบมวนใหม่ขึ้นมาและถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วรุ่นน้องก็มีของตัวเองเหมือนกัน แต่คอลลินส์ก็ไม่ได้โวยวายหรือถามอะไรเลือกที่จะยื่นให้ไปแทนการว่าความยาวสาวความยืด
“เดี๋ยวเราต้องไปแล้วนะ ไม่อยากถึงที่พักตอนฟ้ามืด”
“อือ...รู้แล้ว”
ในบางครั้งคอลลินส์ก็ว่าฝันตัวเองเป็นผู้หญิง มันเป็นฝันที่ดีมาก…ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้แต่ในนั้นเรามีความสุขจริง ๆ ได้อยู่ด้วยกัน…เคียงข้างกัน ไม่ผิดจารีตไม่ผิดประเพณีใด ๆ ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขดั่งที่เราเคยวาดเอาไว้ มีใครอีกคนคอยดูแลเอาใจใส่ คอยส่งเข้านอน พูดคุย เล่าเรื่องราวที่พบเจอทุกวันให้ฟัง เป็นความสุขแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน
แต่มันจะมีประโยชน์อะไร…หากตื่นมาต้องรู้สึกระทมทุกข์ทุก ๆ วัน…ตื่นมาเจอห้องที่ว่างเปล่า…บ้านที่ว่างเปล่า…สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีจริงอีกต่อไปแล้วไม่มีความรู้สึกต้องรอคอยใครสักคน เพราะไม่มีวันกลับมาเพราะใครคนนั้นจะไม่กลับมาอีก
ใช่…มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าแฟร์ริเออร์
โลกที่ไม่มีนายมันช่างว่างเปล่า
โลกที่ไม่มีนาย…ก็เหมือนโลกที่ไม่มีอะไรเลย
เพราะมันไม่มีเหตุผล
ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป
ก็ตายเสียดีกว่า
จริงไหมแฟร์ริเออร์?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in