—
“เมื่อตอนเด็กมีพี่ชายคอยจูงมือ
ช่วยคอยถือของให้ใจสุขสม
ยามทุกข์ร้อนพี่ช่วยหายคลายตรอมตรม
ทั้งยังก้มให้ขี่คอช่วยต่อตัว
แม้เวลาผ่านมาไกลใจยังหวน
ให้คิดครวญสุขหยอกเย้าเฝ้ายิ้มหัว
จะหาชายอื่นใดที่ใกล้ตัว
คอยยวนยั่วแสนดีเท่าพี่ชาย”
– วิทวัส สระทองคำ, ม.ป.ป.
—
Only fools fallfor you, only fools.
Only fools do what I do, only Fools fall.
ในชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนถึงสิ้นอายุขัยนั้นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายร่างกายและเลือดเนื้อ ดวงตาทั้งสองที่พ่อกับแม่ให้มา เปรียบเสมือนกล้องถ่ายวิดีโอในชีวิตที่ทำหน้าที่บันทึกภาพที่เห็นส่วนหูทั้งสองก็ทำหน้าที่เหมือนเครื่องบันทึกเสียงจวบจนสมองที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความทรงจำ จัดเก็บภาพและเสียงเหล่านั้นเอาไว้มันอาจจะลบเลือนไปบ้างตามกาลเวลา แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่เคยหายไปไหนเพราะร่างกายของคนเราไม่สามารถใช้คำสั่งลบความทรงจำทิ้งได้เหมือนกับอุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายนั่นเท่ากับว่าเมื่อใดที่คุณสั่งให้ตัวเองลบลืมมันก็คือการย้ำเตือนให้ตัวเองจดจำภาพความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้
คอลลินส์จำได้ว่าตั้งแต่ตัวเองลืมตาดูโลกก็มองเห็นใครคนนั้นแล้ว
‘แฟร์ริเออร์’ พี่ชายที่แสนดีที่สุด
เราเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันในทางกฎหมาย เพียงแค่ต่างบิดาเท่านั้นคุณแม่หย่ากับคุณลุงคริสตั้งแต่แฟร์ริเออร์ยังแบเบาะแน่นอนว่าทั้งคู่ตกลงจากกันด้วยดี พี่ชายจึงใช้นามสกุลเดิมอยู่ ต่อมาคุณแม่แต่งงานใหม่กับคุณพ่อของคอลลินส์จนสุดท้ายได้กำเนิดเขาออกมา ตอนคอลลินส์เกิดน่ะ—แฟร์ริเออร์ยังอายุสามขวบอยู่เลยเพราะเห็นกันตั้งแต่ยังเด็กจึงไม่มีปัญหาเรื่องไม่ชอบขี้หน้าหรือพี่ชายแกล้งน้องชายเลยสักครั้ง
ในโลกของคอลลินส์มีคนที่รักอยู่เพียงแค่หกคน คุณพ่อคุณแม่คุณลุงคริสที่ชอบแวะมาเยี่ยมเยียนแฟร์ริเออร์บ่อย ๆ แอนไนรินกับแบร์รีที่เป็นเพื่อนสนิทและสุดท้ายก็คือพี่ชายเพียงคนเดียวของเขา ‘แฟร์ริเออร์’
โลกของคอลลินส์น่ะมีเพียงแค่พี่ชาย เขาไม่ต้องการใครไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ เพียงคนเดียวเปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นได้ทั้งเพื่อนพี่น้อง แค่คนเดียวก็เพียงพอ คอยดูแลเอาใจใส่ยามป่วยไข้ไม่สบายคอยจัดการพวกที่มารังแก หรือแม้แต่คอยดุเวลาตัวเขาไปหาเรื่องคนอื่นก่อนคอยบอกคอยสอนเรื่องราวต่าง ๆ คอยเป็นเพื่อนเล่น สอนการบ้าน ตลอดจนส่งเข้านอนทุก ๆคืน
ไม่มีครอบครัวไหนจะสมบูรณ์แบบไปมากกว่าครอบครัวของเขาอีกแล้ว คอลลินส์เชื่อแบบนั้น
“ฮึก...พี่ฮะ ผมกลัว...” เด็กชายคอลลินส์วัยสี่ขวบร้องไห้งอแง เมื่อพี่ชายวัยเจ็ดขวบทำท่าจะกลับห้องนอนของตัวเองเพราะเสร็จสิ้นภารกิจส่งน้องชายเข้านอนเรียบร้อย
“โคล มันไม่มีอะไรหรอกนะ...รีบนอนได้แล้วพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเล่นด้วยกันแต่เช้าไง” แฟร์ริเออร์ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงของน้องชายอีกครั้งพร้อมเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือเด็กชายจับมืออีกข้างของคนเป็นพี่เอาไว้แน่น ดวงตาสุกใสมีน้ำเอ่อล้นริมฝีปากเบะคว่ำง้ำงอ ทำให้พี่ชายอดไม่ได้ที่จะโน้มใบหน้าลงไปหาก่อนจะแตะริมฝีปากของตนเองลงที่ริมฝีปากของเจ้าหมาน้อยเบา ๆ
“แบร์รีบอกว่าคืนนี้ผีจะมาหลอกโคล ฟาร์เรียร์นอนกับโคลไม่ได้หรือ...ผมกลัวจริงๆ นะ” คนที่นอนอยู่ยังจับมือแฟร์ริเออร์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย เพราะได้ยินจากเพื่อนในห้องเรียนว่าใกล้ถึงวันฮาโลวีนแล้วแถมยังโดนแบร์รีกับแอนไนรินบอกว่าผีจะมาหลอกคนที่นอนคนเดียวอีกต่างหาก...คอลลินส์กลัวจริงๆ นะ...
“โตแล้วนะคอลลินส์ แบบนี้ไม่อายเพื่อนผู้หญิงหรือยังจะให้พี่นอนด้วยอีกน่ะ” รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมาให้แต่ทว่าเด็กชายก็ยังรู้สึกกลัวและไม่สบายใจอยู่ดี
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกัน” แฟร์ริเออร์ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอนแต่ก็ไม่วายหันมามองน้องชายอีกครั้ง
คอลลินส์เมื่อเห็นพี่ชายลุกออกไปก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากฟันขบกัดริมฝีปากล่างกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีเด็กชายดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมใบหน้าเอาไว้จนเหลือให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำกับกลุ่มผมสีสว่างเขากลัว...กลัวจริง ๆ นะ ถึงแม้แฟร์ริเออร์จะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนก็แล้วแต่ทุกทีถ้าหากคอลลินส์ขอร้องให้พี่ชายอยู่ด้วย ใครอีกคนก็จะอยู่เสมอนี่นา
ได้ยินจากพ่อแม่บอกกับพี่ชายว่าให้คอยดูแลและคอยสอนให้คอลลินส์เป็นคนเข้มแข็งมากกว่านี้ไม่อยากให้ติดพี่ชายมากเกินไป จะทำแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อเขามีแค่แฟร์ริเออร์เพียงคนเดียวคนที่คอยส่งเข้านอนทุก ๆ คืน คนที่มายืนรอรับหน้าห้องเรียนเสมอ คอลลินส์ไม่เห็นจะอยากเป็นหรือต้องการซูเปอร์ฮีโร่เลยเพราะเขาน่ะมีพี่ชายคนนี้คอยปกป้องอยู่แล้วยังไงล่ะ
“ให้ตายเถอะน่าคอลลินส์...” สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ทนไม่ไหวใจอ่อนเสียเองแทนที่จะหมุนลูกบิดประตูออกจากห้องนอนของน้องคนเล็ก กลับเดินมาทิ้งตัวลงนอนข้างเจ้าหมาตัวน้อยที่นอนซุกผ้าห่มร้องไห้แฟร์ริเออร์เอื้อมมือไปปิดโคมไฟข้างเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของตนเองทันทีที่ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มได้ คอลลินส์ก็ขยับตัวมากอดร่างพี่ชายเอาไว้ทันที
“ผมรู้...ว่าพี่จะไม่มีวันทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว”
“ผมรักพี่นะ”
———
วันเวลาผ่านไปสองพี่น้องต่างเติบโตขึ้นสัดส่วนของร่างกายก็ขยับสูงขึ้นตามกาลเวลา เค้าโครงใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไปจากวัยเด็กแน่นอนว่าลักษณะทางกายภาพของทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างดีเพราะถูกเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเรียนด้วย คอลลินส์สอบได้อันดับหนึ่งในห้องเรียนเสมออันดับในชั้นเรียนก็ติดหนึ่งในสิบตลอดนั่นยิ่งทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ภาคภูมิใจเข้าไปใหญ่ วิชาภาษาสเปนเป็นวิชาที่คอลลินส์โปรดปรานที่สุดไม่ว่าจะสมัครเข้าสอบวัดระดับของที่ใด เขาก็จะได้คะแนนดีไม่ตกเกณฑ์
ต่างกับคนเป็นพี่อย่างสิ้นเชิง แฟร์ริเออร์ไม่ชอบการเรียนแต่หันไปเอาดีด้านกีฬามากกว่าทุกคนในครอบครัวเชื่อว่าหากเจ้าตัวตั้งใจจริง ๆ เรื่องการเรียนก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงกระตือรือร้นในสิ่งที่ตัวเองอยากทำและผลมักจะออกมาดีไม่มีผิดหวัง แฟร์ริเออร์เล่นกีฬาเป็นทุกชนิดลงแข่งขันเมื่อใดก็ได้เหรียญกลับมาแขวนที่บ้านเสมอ พี่คนโตเป็นคนว่านอนสอนง่ายถ้าหากผู้ใหญ่ต้องการให้ตนเองทำแบบใด เจ้าตัวก็ยินดีที่จะเชื่อฟังทำตาม
ที่จริงแล้วแม่อยากให้คอลลินส์เอาดีเรื่องกีฬาบ้าง แต่ก็มีแฟร์ริเออร์ช่วยคุยช่วยอธิบายว่าน้องยังเด็กเกินกว่าจะต้องทำเป็นทุกอย่างเรื่องกีฬาเจ้าตัวขออาสาเป็นฝ่ายเดินทางสายนั้นเองส่วนน้องชายก็ให้ค้นหาตัวเองต่อไป ให้น้องได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งคอลลินส์ก็พิสูจน์ให้แม่เห็นแล้วว่าตัวเองไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาจริงๆ
“คอลลินส์กลับบ้านกันเถอะ ไปนอนบ้านฉันก่อนก็ได้ นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ” แอนไนรินพูดขึ้นหลังจากวางสายจากแม่ของตัวเองที่โทร.ตามให้กลับบ้านเมื่อห้านาทีก่อน
คอลลินส์ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ นี่มันก็ดึกสำหรับพวกเขาจริง ๆหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มตรง พี่ชายของเขามาสายอีกแล้ว โดยปกติแฟร์ริเออร์จะมีซ้อมกีฬาหลังเลิกเรียนจนถึงหกโมงเย็นทุกๆ วัน จากนั้นคนเป็นพี่ก็จะมาหาแล้วกลับบ้านพร้อมกันเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรปกติประจำวัน คอลลินส์ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตัวเองก็มีเรียนเสริมที่สถาบันภาษาใกล้โรงเรียนอีกอย่างเราทั้งคู่ก็ทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาเคยชินกับการกลับบ้านพร้อมพี่ชายตัวเอง
แต่นี่มันชักจะหลายครั้งเกินไปแล้วนะที่ใครอีกคนมารับคอลลินส์ช้า โอเค—ทุกครั้งที่กลับช้าแฟร์ริเออร์ก็เป็นฝ่ายรับหน้าคุณพ่อคุณแม่เองตลอดโดนบ่นโดนทำโทษข้อหาไม่รู้จักเวลา แต่เขาก็เข้าใจว่าวัยรุ่นมันต้องมีเถลไถลกันบ้างแอนไนรินกับแบร์รีเองก็เคยบอกว่าบางทีพี่ชายของเขาอาจไปเที่ยวเล่นปลดปล่อยความเครียดกับเพื่อนๆ เพราะซ้อมหนัก ถ้าหากเพราะเหตุผลนั้นจริง ๆ แค่บอกมาตรง ๆ ก็ได้เขาจะได้ไม่ต้องรอแบบนี้ไง
แน่นอนว่าคอลลินส์เคยบอกกับแฟร์ริเออร์ไปแบบนั้นแล้วโดนตอกหน้ากลับมาว่า “คอลลินส์อายุแค่สิบสามเองนะพี่จะปล่อยเรากลับบ้านคนเดียวได้อย่างไร” ตอนนี้พี่ชายน่ะเรียนมัธยมปลายแล้วเขาเองก็เพิ่งเริ่มต้นเรียนมัธยมต้น แต่ถ้าลองดูเพื่อนคนอื่นครอบครัวคนอื่นที่ปล่อยให้ลูก ๆ ใช้ชีวิตด้วยตัวเองสิ โชคดีแค่ไหนที่ไม่โดนล้อ(คงไม่กล้าล้อเพราะมีพี่เป็นพวกนักกีฬา)
“โอเค ไปก็ไป เดี๋ยวขอโทร.บอกฟาร์เรียร์ก่อนแล้วกันว่าให้ไปรับที่บ้านนาย”
ไม่รับสาย...พยายามแล้วที่จะไม่โทร.จิกโทร.ตามเพราะคิดว่าพี่ชายอาจจะยุ่ง จึงโทร.ไปเพียงแค่สองครั้งก่อนหน้านี้แล้วก็เหมือนเดิม...ไม่ยอมรับสาย หากเป็นเมื่อก่อนคอลลินส์คงจะร้องไห้งอแงไปนานแล้วเพราะกลัวพี่ชายจะเป็นอะไรไปแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่แฟร์ริเออร์ลืมว่าคอลลินส์รออยู่
“ถ้าวันหลังกลับบ้านไม่ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งก็ได้นะคอลลินส์” แอนไนรินส่งยิ้มมาให้คงเพราะเห็นเขามัวแต่จ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
บ้านของแอนไนรินอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน เดินไปเพียงห้านาทีก็ถึงแล้วส่วนบ้านของคอลลินส์อยู่ห่างออกไปหลายป้ายรถประจำทาง ใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงที่จริงแล้วเขาก็กลับเองได้ แต่ติดที่เหตุผลที่เคยบอกไปนั่นแหละนะ
“คอลลินส์” เพื่อนรักสะกิดที่แขนของเขาอีกครั้ง เมื่อเราทั้งคู่กำลังจะเดินเลี้ยวไปที่ถนนหน้าบ้านของแอนไนริน“นั่นใช่พี่ชายนายหรือเปล่า?”
แทบไม่ต้องรอ คอลลินส์ก็หลุดออกจากภวังค์เงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่ได้ยินดวงตากลมโตมองตามมือของเพื่อนที่ชี้ไปยังป้ายรถประจำทางใกล้ ๆไม่ผิดแน่...นั่นมันพี่ชายของเขา แฟร์ริเออร์กำลังยืนอยู่ตรงนั้นกับใครคนหนึ่งผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ใส่เครื่องแบบต่างโรงเรียนกำลังหัวเราะอย่างเขินอายข้างกายพี่ชายของเขา
เธอเป็นใคร?
สมองคิดหนักและรีบประมวลผล แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนเราเธอเป็นใคร ทำไมเขาไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักเธอเป็นเพื่อนพี่ชายของเขาอย่างนั้นหรือ เป็นเพื่อนกันได้อย่างไร เป็นตอนไหนหรือรู้จักกันที่เพราะแข่งกีฬา คำถามนับสิบผุดขึ้นมาจนคอลลินส์เริ่มหัวเสียที่ตอบตัวเองไม่ได้ทำไมพี่ชายของเขาถึงได้มาอยู่กับเธอคนนั้น นี่เหตุผลที่ไม่ยอมรับสายใช่ไหมแล้วทำไมถึงต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นด้วย...
“คอลลิ—”
“คืนนี้ฉันนอนบ้านไนแล้วกันนะ ขอโทร.บอกแม่ก่อน” ไม่ทันที่แอนไนรินจะเรียกชื่อคอลลินส์ได้จบเขาก็ก้าวเท้าเดินฉับ ๆ มุ่งตรงไปยังบ้านของเพื่อนเสียแล้ว มือล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงมากำไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจโทร.บอกแม่
คอลลินส์โกหกแม่...เขาไม่ได้บอกว่าแฟร์ริเออร์มารับช้าหรือบอกเรื่องที่ตัวเองไปเจออะไรมาเขาบอกแค่ว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านและอยากให้แอนไนรินช่วยสอนให้ อ้างไปต่างๆ นานาเรื่องตัวเองลืมโทร.บอกแม่ไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ แน่นอนแม่ก็บ่นมานิดหน่อย แต่อย่างไรเสียแม่ก็อนุญาตอยู่ดีโกหกเสริมไปอีกว่าตนปลอดภัยดี กินข้าวเย็นเรียบร้อย ก่อนจะวางสายไป
ไม่ชอบใจ...ไม่เลยสักนิด รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งหงุดหงิดใครอีกคน แล้วก็หงุดหงิดตัวเอง
“คนที่ไม่รู้เรื่องครอบครัวของคอลลินส์ คงไม่คิดว่าคอลลินส์กับแฟร์ริเออร์เป็นพี่น้องกันเนอะ”แอนไนรินพยายามชวนคุย เพราะหลังจากกลับถึงบ้านคอลลินส์ก็เอาแต่นั่งเงียบเหมือนมีเรื่องมากมายให้คิดในหัวสปาเก็ตตีในจานก็พร่องไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นทำให้คนที่มองดูรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
“อืม...”
“แล้วไม่โทร.บอกพี่ชายหน่อยหรือ?” ถามต่อเพราะแอบเหลือบไปเห็นตอนคอลลินส์วางสายจากแม่เจ้าตัวก็กดปิดเครื่องทันที
“เดี๋ยวฟาร์เรียร์ก็โทร.ถามแม่เองนั่นแหละ ไม่สิ—นายคิดว่าเขามีความสุขขนาดนั้น เขาจะจำได้ด้วยอย่างนั้นหรือว่าต้องมารับฉันกลับบ้านน่ะ”
แอนไนรินพลาดแล้วล่ะที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา
อย่างที่บอกไปนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟร์ริเออร์มารับคอลลินส์ช้าหากผิดเวลาไปสักนิดสักหน่อยหรือบอกก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ เจ้าหมาน้อยคงไม่หงุดหงิดงุ่นง่านและทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้คอลลินส์ก็จะหนีมาอยู่ที่บ้านของเพื่อนรักเสมอแต่ไม่เคยนอนค้างหรอกนะ เพราะคนเป็นพี่มักจะวกกลับมารับน้องชายก่อน แทนที่จะมุ่งตรงกลับบ้าน
ติ๊งต่อง!
นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำเลย เวลานี้คงไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
“แอนไนริน—ฉันไม่อยากกลับบ้าน” คอลลินส์เริ่มงอแงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคุณน้าเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน
“ถึงนายไม่อยากกลับ แม่ฉันก็บอกให้กลับอยู่ดีนั่นแหละน่าคอลลินส์ ถ้าแฟร์ริเออร์บอกแม่ฉันว่ามารับนายน่ะ”มืออบอุ่นของเพื่อนเอื้อมมาขยี้กลุ่มผมของคอลลินส์อย่างเบามือ
“มีอะไรก็โทร.มานะ จะอยู่เป็นเพื่อนคุยทั้งคืนเลย” แอนไนรินกระซิบข้างหูเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยมือจากคอลลินส์ เมื่อเดินมาส่งถึงประตูหน้าบ้านที่มีใครอีกคนยืนรออยู่
คอลลินส์ไม่พูดคุยกับพี่ชายเลยแม้แต่คำเดียวไม่มีแม้แต่คำถามที่ผุดขึ้นมานับสิบในหัวเมื่อก่อนหน้าแม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมองในตอนนี้แน่นอนว่าคนเป็นพี่รู้ทันเสมอว่าน้องชายเป็นคนดื้อเงียบถ้าหากไม่พอใจอะไรก็จะใช้ความเงียบเข้ามากดดัน คอลลินส์ไม่ใช่เด็กที่มีนิสัยขี้โวยวายหรืองอแงติดจะเป็นคนเงียบ ๆ และขี้อายเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเวลาที่เจ้าตัวโกรธไม่ว่าใครคนไหนก็รับมือได้ยาก
แฟร์ริเออร์รีบก้าวฉับ ๆ ให้เดินตามทันน้องชาย ตั้งแต่ออกมาจากบ้านของแอนไนรินคนเป็นน้องก็เอาแต่เดินหนีหน้า ดูก็รู้ว่าคอลลินส์คงจะโกรธอีกแล้ว
“คอลลิ—” คว้ามือเอาไว้ไม่ทันได้จับก็โดนสะบัดทิ้งทันทีแต่พี่ชายคนโตก็ยังไม่ยอมแพ้เดินไปคว้ามือเด็กชายที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีเอามาจับไว้แน่น
“คอลลินส์…” แฟร์ริเออร์เรียกน้องชายอีกครั้ง ครั้งนี้คอลลินส์หยุดเดินและหันมามองหน้าพี่ชายด้วยสายตาที่อ่านยากไม่มีคำพูดใด มีเพียงความเงียบที่เข้ามาปกคลุมเท่านั้น
“...”
“...”
“พี่ขอโทษ”
ขอโทษอย่างนั้นหรือ...ขอโทษอีกแล้วแฟร์ริเออร์ คอลลินส์น่ะพร้อมฟังคำอธิบายเสมอแต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้มันมักจะไม่มีคำอธิบายใด ๆ ออกมาให้ชื่นใจเลยสักครั้งเพราะแบบนี้ไงเขาถึงได้ไม่ชอบใจ
“แค่นี้?”
“พี่ขอโทษจริง ๆ”
“เปลี่ยนคำขอโทษเป็นอย่างอื่นดีกว่าไหมครับ จำได้หรือเปล่าว่ากี่ครั้งแล้วจำคำสัญญาของตัวเองได้ไหมที่บอกว่าจะไม่ทำอีก”
“...”
“เหอะ” คอลลินส์สบถในลำคอ ก่อนจะพยายามแกะมือที่จับกุมแต่ทว่าพี่ชายยิ่งจับแน่นกว่าเดิมอีก
“ปล่อยผมสิครับ”
“พี่ไม่ปล่อย”
“ถ้าอย่างนั้นบอกผมมาสิว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” แฟร์ริเออร์นิ่งไปหลังจากได้ยินคำถาม
“บอกผมมาว่าทุกครั้งที่พี่ผิดสัญญาแล้วมารับผมช้าน่ะ...เป็นเพราะผู้หญิงคนที่ยืนหัวเราะกับพี่ตรงป้ายรถประจำทางเมื่อกี้ใช่ไหม?”
“...”
“คำถามง่าย ๆ แค่นี้ยังตอบไม่ได้ ยังไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยแฟร์ริเออร์...”
“...”
“พี่เคยบอกว่าพี่จะไม่มีวันทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว”
“...”
“จำมันได้บ้างหรือเปล่าแฟร์ริเออร์”
เมื่อกลับถึงบ้าน—คอลลินส์ก็รีบเดินขึ้นชั้นสอง ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของตัวเองกดล็อกประตูพร้อมลงกลอนเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารบกวนอันที่จริงคนที่จะมารบกวนคงมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแหละเขาไม่ได้อยู่พูดคุยกับพ่อแม่ที่นั่งรอตรงห้องนั่งเล่นไม่ได้เข้าไปช่วยพูดหรือช่วยอธิบายเรื่องราวอะไร ทำเพียงแค่เอ่ยทักทายก่อนจะขอตัวขึ้นห้องนอน
ปล่อยให้เวลาผ่านไปหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาโทร.ไปหาแอนไนริน เจ้าเพื่อนตัวดียังมีน้ำใจประชุมสายแบร์รีเข้ามาด้วยอีกคนแต่ถึงอย่างนั้นก็ดี การได้คุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนช่วยให้คอลลินส์เลิกคิดฟุ้งซ่านไปได้พักหนึ่งเรื่องเกม เรื่องภาพยนตร์ถูกขุดขึ้นมาพูดคุยอย่างสนุกสนานแถมการ์ตูนช่วงเช้าวันเสาร์ในวันพรุ่งนี้ก็ยังถูกยกมาพูดเดาเหตุการณ์ตอนต่อไป แอนไนรินบอกว่าวันอาทิตย์จะไปซื้อหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ด้วยแน่นอนว่าคอลลินส์ว่องไวกว่าแบร์รีเรื่องขอยืมอ่านในเช้าวันจันทร์ แบร์รีจึงได้แต่บ่นกระปอดกระแปด
พูดคุยกันนานพอสมควรเพื่อนทั้งสองก็ขอตัววางสาย แบร์รีเป็นคนแรกที่ยอมแพ้ยกธงชิงวางสายไปก่อนด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ต่อมาก็แอนไนรินที่พยายามจะไม่สัปหงกนอนหลับคาสายแต่ด้วยความที่สงสารน้ำเสียงงึมงำของอีกคน คอลลินส์ถึงได้ไล่ให้เพื่อนไปนอน หลังจากวางสายจากเพื่อนเขาก็ปิดโคมไฟข้างเตียงซุกผ้าห่มนอนหลับเช่นกัน
ในขณะที่เขากำลังเคลิ้มหลับ จู่ ๆก็รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่บริเวณหน้าท้องตัวเองและแรงกอดรัด คอลลินส์ถึงกับสะดุ้งตัวรีบดีดดิ้นก่อนจะหันหลังไปมองอีกทางทันที แม้จะอยู่ในความมืดแต่เขาก็รู้ดีว่าคนคนนั้นเป็นใครกลิ่นสบู่อาบน้ำลอยแตะจมูกทำให้คอลลินส์ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองล็อกประตูหน้าห้องแต่ดันลืมล็อกประตูห้องน้ำลืมไปเลยว่าห้องน้ำตัวเองมันเชื่อมกับห้องนอนของพี่ชาย เป็นห้องน้ำที่เข้าใช้ได้จากทั้งสองฝั่งห้องให้ตายเถอะ!
“โคลอย่าดิ้น...” เสียงทุ้มเริ่มแตกหนุ่มของพี่ชายกระซิบข้างหู
“พี่มาไถ่โทษแล้วนะ”
“ผมไม่ต้องการ” พยายามผลักตัวพี่ชายออก แต่ทว่าก็ไม่เป็นผล
“แต่พี่อยากทำ...พี่ขอโทษนะ”
สัมผัสอบอุ่นไล้ไปทั่วใบหน้า ตั้งแต่หน้าผากกว้าง เปลือกตาทั้งสองข้างปลายจมูกโด่ง แก้มนิ่ม จนกระทั่งริมฝีปาก...คอลลินส์หลับตาลงเมื่อจูบรสนมเริ่มต้นขึ้นในตอนแรกก็พยายามจะปฏิเสธ แต่เมื่อโดนไล่ต้อนจึงกลายเป็นตัวเองที่ไม่ประสีประสาจูบตอบไปแบบเก้ ๆ กัง ๆ ริมฝีปากหนาดูดดึงริมฝีปากของเจ้าหมาน้อยจนบวมเจ่อ ส่งเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปากกวาดชิมความหวานและเกี่ยวกระหวัดลิ้นตอบโต้กันอย่างหื่นกระหายและรุนแรงขึ้นตามลำดับ
เสียงหอบหายใจของทั้งคู่เริ่มดังขึ้นเสียงจูบดังจาบจ้วงจนน้ำสีใสไหลออกมาจากมุมปากของทั้งคู่ คอลลินส์สะดุ้งตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแรงดูดดึงบริเวณลำคอไล่ลงไปถึงแผ่นอกของตัวเองที่บัดนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อนอนของตัวเองถูกปลดกระดุมออกตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อไหร่กันนะที่พี่ชายเปลี่ยนจากการจุ๊บเป็นการจูบ
น่าจะตั้งแต่ตอนนั้น...ที่แฟร์ริเออร์บอกว่านี่คือการแสดงความรัก
“พี่รักคอลลินส์นะ...” เสียงกระซิบดังข้างหูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าหมาน้อยจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
———
จากเด็กอายุสิบสามในวันนั้น คอลลินส์ก็ได้เติบโตและกำลังเตรียมตัวขึ้นชั้นเรียนมัธยมปลายในปีหน้าส่วนแฟร์ริเออร์เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายก่อนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่างคนต่างเริ่มมีชีวิตเป็นของตัวเอง คนเป็นพี่ซ้อมกีฬาหนักขึ้นตระเวนแข่งชิงเหรียญและเกียรติบัตรเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยโดยใช้วิธีการขอทุนเพราะไม่อยากเป็นภาระให้พ่อกับแม่ เนื่องจากคณะที่แฟร์ริเออร์เลือกนั้นต่อให้เป็นของมหาวิทยาลัยรัฐบาลก็ค่าใช้จ่ายสูงอยู่ดีถึงแม้ฐานะทางบ้านจะดีพอสมควร แต่พี่ชายคนโตก็ยังอยากแบ่งเบาภาระให้ครอบครัว
ส่วนคอลลินส์นั้นทำได้ดีได้ทุกด้าน ด้านเรียนที่ดูไม่น่าเป็นห่วง ยิ่งเห็นคอลลินส์ไปสอบแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้แก่ทางโรงเรียนก็ยิ่งสนับสนุนให้เจ้าตัวเรียนมัธยมปลายที่เดิมและยินยอมให้เลือกแผนการเรียนได้ตามใจอีกต่างหากคนเป็นน้องไม่มีปัญหากับการเรียนวิชาไหนเลย...จะยกเว้นก็แต่วิชาพลศึกษาที่ผลการเรียนเฉียดเส้นตายตลอด ดูคะแนนก็รู้ว่าอาจารย์พยายามช่วยไม่ให้สอบตก
จากที่เคยติดแค่เพื่อน ปัจจุบันก็ติดทั้งเพื่อนทั้งเกมไปอีก คอลลินส์ติดแอนไน-รินกับแบร์รีมากพวกเขาชวนกันเล่นเกม อ่านหนังสือการ์ตูน เล่นสนุกเนื่องจากผลการเรียนทำได้ในระดับดีตลอดครอบครัวของแอนไนรินกับแบร์รีจึงไม่มีปัญหา มีเพียงแค่คอลลินส์ที่ไม่สนใจด้านกีฬาและในที่สุดพ่อกับแม่ก็ทนไม่ไหว บอกให้แฟร์ริเออร์ช่วยบอกช่วยเตือนน้องให้สนใจเรียนวิชานี้บ้างอย่างน้อยไม่ชอบพลศึกษาก็ขอให้ออกกำลังกายสักหน่อย คนเป็นพี่จึงต้องหาเวลาว่างในวันหยุดมาฉุดน้องชายออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์นี่แหละ
“คอลลินส์” ที่จริงแฟร์ริเออร์เปิดประตูเข้ามาในห้องของน้องชายวัยสิบห้าตั้งนานแล้วแต่ดูเหมือนใครอีกคนจะไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่จดจ่อกับเกมออนไลน์เบื้องหน้าจนคนเป็นพี่ทนไม่ไหวต้องเอ่ยเรียก
“หยุดเล่นเกมแล้วหันมาหาพี่หน่อย”
“คอลลินส์”
“มีอะไรครับ?”คนที่โดนเรียกชื่อหันมาถอนหายใจแรงก่อนจะทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่โดนขัดจังหวะการเล่นเกม ทั้ง ๆที่วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนแท้ ๆ ไม่รู้ทำไมถึงโดนก่อกวน
“พี่เห็นคะแนนสอบพลศึกษาของเราแล้วนะ”
คอลลินส์กรอกตา “ผมว่าผมเคยพูดไปแล้วนะ ว่าอยากให้ทำอะไร อยากให้เรียนอะไรผมทำให้ได้หมดยกเว้นวิชานี้”
“พ่อกับแม่บอกให้พี่มาคุยกับคอลลินส์เรื่องนี้”
เพราะก่อนหน้าน้องชายคนเล็กของบ้านดื้อแพ่งมาตลอด เหมือนยิ่งโตก็ยิ่งเอาแต่ใจและชอบเถียงมากขึ้นเรียกได้ว่าฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังเริ่มพุ่งพล่าน อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อถูกบังคับให้ทำสิ่งไหนก็จะยิ่งต่อต้านมากกว่าเดิมทุกคนจึงเหนื่อยใจและป่วยการณ์ที่จะพูด แต่เนื่องจากคอลลินส์กำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตมัธยมปลายในอีกไม่ช้าคนในครอบครัวจึงลงความเห็นว่าเขาควรจะสนใจเรียนวิชานี้และออกกำลังกายเพื่อสุขภาพบ้างสักนิดก็ยังดี
“แล้ววันนี้พี่จะให้ผมทำอะไร?”
“พี่ไม่รบกวนคอลลินส์มากหรอก แค่สละเวลาว่างสักสองสามชั่วโมงมาออกกำลังกายกับพี่”
“ถ้าผมสละเวลาเล่นเกมมาออกกำลังกาย...พี่จะเอาอะไรมาแลกกับเวลาของผมหรือครับ?” คอลลินส์ยิ้มอย่างมีความหมาย
“คืนนี้พี่จะอาบน้ำกับคอลลินส์...แล้วก็จะถูหลังให้เราด้วยเป็นไง”
“อาบไปด้วย...ออกกำลังกายไปด้วยน่ะหรือครับ”
“แบบนั้นก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลา...ได้ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน”
วันนั้นคอลลินส์สละเวลามาเล่นกีฬากับพี่ชายพักเหนื่อยบ้างเพราะเขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่คนเป็นพี่ก็รออย่างใจเย็น เวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็นจึงพักผ่อนตามอัธยาศัย...เป็นแฟร์ริเออร์อีกนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำอาหารเนื่องจากวันนี้พ่อกับแม่มีงานด่วน จึงต้องไปต่างเมืองในวันหยุดนั่นก็เท่ากับว่าสองพี่น้องต้องอยู่บ้านด้วยกันเพียงสองคน
สัญญายังไงก็ต้องเป็นสัญญา
เมื่อคอลลินส์ถอดผ้าขนหนูแขวนกับราวตากในห้องน้ำและทิ้งตัวลงนั่งแช่น้ำในอ่างแฟร์ริเออร์ก็เดินตามเข้ามาทันทีพร้อมกับถอดผ้าขนหนูแล้วทิ้งตัวลงนั่งซ้อนด้านหลังน้องชาย
ตอนเป็นเด็กทั้งคู่อาบน้ำด้วยกันแทบทุกวันร่างของเด็กชายทั้งสองไม่ได้บดเบียดใกล้ชิดกันเหมือนในทุกวันนี้เพราะเมื่อก่อนยังตัวเล็กแต่ทว่าปัจจุบันอ่างอาบน้ำที่เคยกว้างขวางมีตุ๊กตาเป็ดน้อยล่องลอยเหนือน้ำกลับกลายเป็นอ่างอาบน้ำที่เล็กลงถนัดตาสำหรับทั้งสองคน
น้ำอุ่นมีอุณหภูมิพอเหมาะถูกผสมด้วยครีมอาบน้ำหอมฉุยตีให้เข้ากันจนเกิดฟองฟอดจากนั้นพี่ชายคนโตจึงหยิบฟองอาบน้ำที่เป็นใยบวบมาเริ่มขัดหลังให้น้องชายเบา ๆเพราะกลัวผิวขาวเนียนจะเป็นแผลเอาได้
สีผิวของคอลลินส์ขาวเนียน แตกต่างจากแฟร์ริเออร์ที่มีผิวสีแทนหน่อย ๆเหมือนพ่อ ร่างกายของน้องชายคนเล็กมีกล้ามเนื้อเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยเล่นกีฬา ส่วนแฟร์ริเออร์นั้นหุ่นนักกีฬาของจริงเรื่องความแข็งแรงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่ได้อาบน้ำด้วยกันแบบนี้นานเลยนะ”
“ก็ตั้งแต่ที่พี่เอาแต่ซ้อมกีฬาเป็นบ้าเป็นหลังนั่นแหละ” คนเป็นพี่หัวเราะร่าหลังจากได้ยินคำตอบของน้องชายไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าหมาน้อยต้องใบหน้าง้ำงออย่างแน่นอนถึงแม้จะไม่เห็นหน้าเพราะแฟร์ริเออร์นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
นี่ถึงเป็นเหตุผลที่คอลลินส์ตอบตกลงง่าย ๆเมื่อพี่ชายเอาข้อเสนอมายื่นแลกเปลี่ยนกับการยอมสละเวลาเล่นเกมมาออกกำลังกายกับแฟร์ริเออร์แบบนี้
“คนเราต้องออกกำลังกายอย่างน้อยกี่นาที?”
“...”
“อะไรกันคอลลินส์ จำไม่ได้แล้วหรือ?”
แฟร์ริเออร์ถามเสียงสูง มือใหญ่หยุดขัดหลังให้น้องชายทันทีแถมยังพยายามดึงไหล่ให้อีกคนหันมาเผชิญหน้าตัวเอง คอลลินส์เองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีขยับพลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับพี่ชายในอ่างอาบน้ำที่คับแคบนี้ทำให้ขายาวของทั้งคู่เกยทับกันอย่างช่วยไม่ได้
“ผมจำที่สอนวันนี้ไม่ค่อยได้หรอก...”
“ถ้าอย่างนั้นไหนบอกพี่มาซิว่าจำอะไรได้บ้าง”
“...”
“...”
“การจูบก็เผาผลาญพลังงานได้นะ”
“มันช่วยบริหารกล้ามเนื้อปากกับแก้มด้วย”
“หรือมีเซ็กส์ก็ช่วย—”
ไม่ทันได้พูดจบ ริมฝีปากก็ถูกพี่ชายครอบครองไปเสียแล้วสองร่างกายขยับแนบชิดเข้ากัน เบียดเสียดส่วนล่างจนเริ่มเกิดความต้องการคล้ายกับตอนนี้คอลลินส์กำลังนั่งคร่อมตักของแฟร์ริเออร์ใต้น้ำอย่างไรอย่างนั้น สองแขนกอดคล้องลำคอแกร่งของพี่ชายเอาไว้แน่นส่วนฝ่ามือใหญ่ของใครอีกคนก็ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังขาวเนียนสองลิ้นเรียวเกี่ยวกระหวัดกันอย่างหื่นกระหายด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่าน
เรื่องราวของเราสองคนมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดคอลลินส์ก็จำไม่ได้...รู้เพียงแค่ว่ามันเป็นความต้องการที่ดำเนินอยู่บนความรักที่มีให้กันและกันพวกเขาโตพอแล้วที่จะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นธรรมชาติของเด็กผู้ชายเราช่วยเหลือกันและกันเสมอเมื่อมีโอกาส และคอลลินส์ก็รู้ว่าที่แฟร์ริเออร์ทำมันคือสิ่งแทนคำว่ารักกับคำสัญญา...ที่พี่ชายมักจะพร่ำบอกเขาเสมอ
“พี่รักคอลลินส์นะ...พี่จะไม่มีวันทิ้งให้คอลลินส์ต้องอยู่คนเดียว...” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างใบหูของเจ้าหมาน้อยก่อนที่จะปล่อยร่างกายให้ขยับไปตามพายุอารมณ์และความเสน่หา
———
คอลลินส์อายุสิบแปดปีแล้ว เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายและกำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในไม่ช้าวิชาพลศึกษาคอลลินส์ก็ทำได้ดีกว่าเดิมมากถึงแม้จะไม่ได้เลิศเลอแต่ก็ถือว่าพัฒนาจากเมื่อก่อน เล่นกีฬา ออกกำลังกายสัปดาห์ละ2-3 วัน นับว่าเป็นโชคดีของตัวเองอีกนั่นแหละที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีโควตาเรียนดีอยู่เขาสามารถทำแฟ้มสะสมผลงานแล้วนำไปยื่นสมัครเข้าเรียนได้อย่างสบาย ๆพ่อกับแม่ถึงได้โล่งอกโล่งใจในอนาคตของคอลลินส์
ส่วนพี่ชายคนโตของบ้าน—แฟร์ริเออร์นั้นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐบาลโดยใช้ทุนนักกีฬาคณะที่เลือกเรียนคือวิทยาศาสตร์การกีฬา ผลการเรียนที่ผ่านมาเกือบสามปีก็ทำได้ดีเยี่ยมตลอดถ้าหากยังรักษาความดีงามนี้ต่อไปได้ ตอนเรียนจบน่าจะหวังเกียรตินิยมได้สักหนึ่งอันดับ
แฟร์ริเออร์ย้ายไปอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่งจะกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างในวันหยุด อาจจะเสาร์อาทิตย์ หรือช่วงที่มีเวลาว่างแน่นอนว่าตอนปีหนึ่งแทบจะไม่มีเวลาได้หายใจหายคอ คนงอแงหนีไม่พ้นคอลลินส์ที่โกรธเรื่องถูกพี่ชายทิ้งเอาไว้ที่บ้านแต่เมื่อเวลาผ่านไป คนเป็นน้องก็เริ่มเข้าใจและยอมรับมากขึ้นคนเป็นพี่ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย พยายามกลับบ้านเท่าที่จะทำได้ แถมยังโทร.คุยกับคอลลินส์และคุณพ่อคุณแม่เกือบทุกวันด้วย
คอลลินส์รู้ว่าพี่ชายเรียนหนักและซ้อมกีฬาหนักแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แฟร์ริ-เออร์ชอบและเลือกเดินไปเส้นทางนั้นส่วนตัวเขาเองอย่างนั้นหรือ...ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร ถ้าจะให้ตอบตามความเป็นจริงคือเขาไม่ได้ชอบเรียนขนาดนั้นแต่เรียนไปเพราะพ่อกับแม่บอกให้เรียนมากกว่า...ถ้าพูดแบบนี้จะเป็นอะไรไหมนะ
ไม่มีครอบครัวไหนจะสมบูรณ์แบบไปมากกว่าครอบครัวของเขาอีกแล้ว คอลลินส์เชื่อแบบนั้นเสมอ...เขารู้ว่าพ่อแม่และพี่ชายจะไม่มีวันทิ้งเขาไว้ข้างหลังรู้เพียงแค่ว่าความรักจากพวกท่านและแฟร์ริเออร์ก็มากพอจนตัวเองไม่ต้องการอะไรอีกแล้วคอลลินส์ไม่เคยมีแฟนแล้วก็ไม่อยากมีด้วย ทุกวันนี้ขอเพียงแค่มีครอบครัว มีเพื่อน ๆก็มีความสุขจนไม่อยากจะไปดิ้นรนหาจากที่ไหนอีก
แต่คอลลินส์คงจะลืมไปว่าธรรมชาติของลมน่ะ...มันต้องพัด ไม่มีสายลมใดที่หยุดนิ่ง...ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าลมได้อย่างไรกันเล่า
วันนี้พี่ชายคนโตของบ้านจะกลับมาหลังจากผ่านพ้นช่วงสอบมิดเทอมในเทอมที่สองของชั้นปีที่สาม คอลลินส์เองก็เหมือนกันที่เพิ่งสอบเสร็จไปได้ไม่นานที่โรงเรียนแทบไม่มีการเรียนการสอนแล้วเพราะช่วงนี้ต่างมีหลายมหาวิทยาลัยจัดการสอบตรงเหล่านักเรียนก็ต่างมุ่งหน้าอ่านหนังสือและเตรียมสอบ แบร์รีเลือกเรียนมหาวิทยาลัยและคณะตามที่ครอบครัวต้องการส่วนแอนไนรินกับคอลลินส์คุยกันเอาไว้แล้วว่าถึงไหนถึงกัน เขาทั้งคู่จะเรียนที่เดียวกันแต่ยังตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะเลือกคณะอะไร ครอบครัวของแอนไนรินไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะพี่ชายของแอนไนรินก็เรียนจบ มีงานประจำทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เราทั้งคู่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากจนคิดว่าจะไม่มีวันแยกจากกันดังเช่นคอลลินส์ที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันแยกจากพี่ชายไปไหน
“คอลลินส์ มาช่วยแม่จัดโต๊ะอาหารเร็วลูก เดี๋ยวฟาร์เรียร์กลับมาถึงก่อนพอดี”เสียงคุณแม่ดังมาจากในครัว ทำให้คอลลินส์ละจากจอโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นตรงดิ่งไปหาทันที
“เอาจาน ช้อน มีดพวกนี้ไปวางบนโต๊ะให้ครบห้าชุดนะลูก”
“หืม...ทำไมถึงวางตั้งห้าชุดล่ะครับแม่” เขาถามเสียงฉงนคนเป็นแม่เมื่อเห็นก็ฉีกยิ้มกว้าง
“ฟาร์เรียร์ยังไม่ได้บอกหรอกหรือ...สงสัยจะเก็บไว้เซอร์ไพรซ์จริง ๆล่ะมั้ง—ไปเถอะจ้ะ รีบเอาจานไปวาง แล้วกลับมายกอาหารไปวางอีกรอบ”
“แล้วเซอร์ไพรซ์อะไรเล่าครับแม่~” พยายามจะถามแต่ก็โดนแม่ดันหลังให้ออกจากห้องครัวเสียก่อนเปลี่ยนทิศทางมุ่งตรงไปหาพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาก็ถูกไล่ให้มาช่วยแม่อีกคอลลินส์จึงได้แต่ขมวดคิ้วคิดไปต่าง ๆ นานาเพียงคนเดียว
เมื่อจัดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อย สามพ่อแม่ลูกก็มานั่งรอที่โต๊ะ ลูกชายคนเล็กของบ้านพยายามคาดคั้นกับพ่อแม่แต่ก็โดนเฉไฉชวนคุยเปลี่ยนไปเรื่องอื่นรอเพียงไม่นานพี่ชายคนโตก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับใครอีกคนหนึ่งที่คอลลินส์รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน
แฟร์ริเออร์พาเพื่อนผู้หญิงมาที่บ้าน สีหน้าของแม่ดูยินดีและยิ้มแย้มผิดปกติต่างจากตัวเขาที่เอาแต่นั่งเงียบส่งยิ้มทักทายสองคนที่มาใหม่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงอีกคนเป็นใคร ไม่รู้ว่าทำไมแม่ต้องทำตัวเหมือนมีความสุขเสียเต็มประดาแถมยังเชิญชวน—ตักอาหารไปวางบนจานให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยปกติพวกเขาทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกจะนั่งเผชิญหน้ากัน คอลลินส์จะนั่งข้างพี่ชายส่วนพ่อกับแม่ก็จะนั่งข้างกัน แต่วันนี้พ่อเลื่อนไปนั่งบริเวณหัวโต๊ะ ส่วนแม่ขยับมานั่งข้างเขาแทนส่วนแฟร์ริเออร์...นั่งข้างผู้หญิงคนนั้น
อึดอัด
มีแต่ความอึดอัดเต็มไปหมด อาหารฝีมือของแม่ยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแต่คอลลินส์กลับรู้สึกกินไม่ลงพี่ชายกลับบ้านทั้งทีเขาควรจะรู้สึกดีใจแต่เมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยมันทำให้รู้สึกเสียอารมณ์อย่างไรก็บอกไม่ถูก
“รู้ไหมว่าฟาร์เรียร์น่ะเล่าเรื่องของชาร์ลอตต์ให้แม่ฟังตั้งเยอะบอกว่าจะพามากินข้าวที่บ้านก็ไม่มีโอกาสสักที” แม่ส่งยิ้มอบอุ่นไปให้คนตรงข้าม
“หนูเองก็ขอโทษคุณอากับคุณน้าด้วยนะคะที่ไม่ยอมมาแนะนำตัวสักที”
“โอ๊ยเรียกคุณพ่อกับคุณแม่เถอะจ้ะ คุณอากับคุณน้ามันห่างไกลเกินไปนะ”
เล่าให้แม่ฟัง แต่ทำไมไม่เคยเล่าให้คอลลินส์ฟัง...เขามองพี่ชายที่นั่งตรงกันข้ามและพยายามขอคำตอบกับเรื่องนี้แต่ทว่าสายตาของใครอีกคนกลับมองไปยังผู้หญิงที่นั่งข้างกาย มองด้วยสายตาอบอุ่น...สายตาแบบนั้นที่เมื่อก่อนจะมีเพียงแค่คอลลินส์คนเดียวที่ได้รับสายตาที่มองจ้องเขาก่อนนอนทำให้ฝันดีในทุก ๆ คืน
เคร้ง!
“อิ่มแล้วครับ” คอลลินส์วางช้อนเสียงดัง และกำลังจะลุกขึ้นเดินหนีไปจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ทว่าพ่อดันบอกให้ไปหยิบขนมหวานมาเสิร์ฟแขกเสียก่อน
“อิ่มแล้วก็ไปขนมหวานกับหยิบผลไม้ในตู้เย็นมานั่งกินด้วยกันนะโคล” พรูลมหายใจออกอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งอยู่ดี
คอลลินส์ไม่ชอบ—ไม่ชอบบรรยากาศที่ดูเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินไม่ชอบเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้น ไม่ชอบให้แฟร์ริเออร์มองเธอด้วยสายตาอบอุ่น ไม่ชอบให้พ่อกับแม่เห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเธอ
เกลียด...
“คอลลินส์รู้หรือยังว่าพี่สาวคนนี้เขาคือใคร?”เสียงของแม่ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์
“ครับ?”
“ฟาร์เรียร์ไม่กล้าบอก ถึงได้พยักพเยิดให้แม่เป็นคนบอกนี่ไง”แม่เอ่ยแซวทั้งคู่ จนทำให้คอลลินส์ต้องแอบกรอกตาอีกรอบ
“แย่เลยนะชาร์ลอตต์ มีแฟนขี้อายแบบนี้วันหลังหนูต้องเป็นฝ่ายบอกคนอื่นแทนฟาร์เรียร์นะจ๊ะ”
แฟน...อย่างนั้นหรือ...
“แหม...กุ๊กกิ๊กกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เพิ่งจะเปิดตัวคบกันแบบนี้แม่เองก็ดีใจที่จะได้ลูกสะใภ้สักที”
“โธ่แม่ครับ...” แฟร์ริเออร์แหว
“ดีแล้วล่ะน้า พบรักกันตอนไปแข่งกีฬาแล้วพากันตั้งใจเรียน อนาคตจะได้สดใสลักกี้อินเกม ลักกี้อินเลิฟด้วยเนอะ”
ภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ไหลย้อนกลับมาในหัวจนคอลลินส์อยากร้องตะโกน ความเจ็บปวดที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังตอนนั้นกลับมาตอกย้ำที่เอาแต่ซ้อมกีฬาเป็นบ้าเป็นหลัง ตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นหรือ...ผู้หญิงคนที่ยืนหัวเราะด้วยกันตรงป้ายรถประจำทางทำไมถึงไม่เคยบอก...เขามันไม่สำคัญอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...ที่พร่ำบอกว่ารักแต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม พี่แบ่งความรักไปให้เธอคนนั้นแล้วใช่ไหม
เขามันโง่เอง...
คอลลินส์กลืนก้อนสะอึกไว้ในลำคอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆถึงรู้สึกว่าในดวงตามันร้อนเหลือเกิน เหมือนมีน้ำอุ่น ๆกำลังเอ่อล้นปริ่มใกล้จะไหลลงมา ถ้อยคำร้าย ๆ มากมายผุดเข้ามาในหัวอยากจะร้องตะโกนโวยวายออกไปด้วยความไม่พอใจแต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำได้...คือนั่งเงียบ ๆและกำมือตัวเองเอาไว้แน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
ไม่ไหวแล้วจริง ๆ
“ผมขอตัวขึ้นห้องนะครับ” ไม่รอฟังคำพูดใด ๆ จากใครทั้งนั้นเขาลุกขึ้นรีบเดินก้าวยาว ๆ มุ่งขึ้นชั้นสองทันที เมื่อถึงห้องก็ไม่ลืมล็อกประตูห้องนอนและประตูห้องน้ำของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนั่งพิงประตูอย่างอ่อนแรงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ
ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น มีแต่ความเจ็บปวดที่กรีดแทงลงไปในหัวใจ คอลลินส์รับไม่ได้...เขารับไม่ได้จริงๆ
ไม่รู้ว่าปล่อยให้ตัวเองนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมนานเท่าใดรู้ตัวอีกทีก็คือเสียงเคาะประตูจากด้านนอก พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มคุ้นหู “คอลลินส์...เปิดประตูให้พี่หน่อย”
“พี่รู้ว่าเรายังไม่นอนหรอกนะ ล็อกประตูห้องน้ำทำไมน่ะ” เขาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนัง ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้วอย่างนั้นหรือ...พ่อกับแม่คงจะหลับไปแล้วสินะผู้หญิงคนนั้นก็คงกลับไปแล้วเหมือนกัน
แกร็ก!
“ออกไป” คอลลินส์พูดขึ้นทันทีที่เสียงปลดล็อกกลอนประตูดังขึ้น
“บอกให้ออกไปไง” คนเป็นน้องเพิ่มเสียงขึ้นอีกระดับเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ฟังคำพูด แถมยังหันไปปิดประตูกดล็อกเอาไว้ดังเดิม
“ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้—แฟร์ริเออร์”
“คอลลิ—”
“บอกให้ไสหัวไปไกล ๆ ไง!” เงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่ใครอีกคนทั้งน้ำตา
เกลียด...เขาเกลียดคนคนนี้จริงๆ
แฟร์ริเออร์คว้าแขนของคอลลินส์เอาไว้ เมื่อคอลลินส์ทำท่าจะเดินหนีออกไปด้านนอกคนเป็นพี่กำข้อมือของน้องชายเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ใครอีกคนสะบัดหลุดออกไปได้“เป็นอะไรทำไมไม่บอกพี่ ทำไมหนีขึ้นมาบนห้องคนเดียว แล้วนี่ร้องไห้ทำไม?”
“พี่ถามมาได้ว่าผมร้องไห้ทำไม! พี่ฉลาดเรื่องอื่นแต่โง่เรื่องนี้หรือไงแฟร์ริเออร์!พี่ไม่เคยบอกผม ไม่เคยเล่าให้ผมฟัง พี่โกหกผม!ตอนนั้นผมถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครพี่ก็ไม่เคยบอก!”
“พี่คิดว่ามันไม่จำเป็น...พี่ไม่อยากให้เราคิดมาก”
“แล้วผมมารู้ทีหลังแบบนี้ คิดว่ามันดีมากสินะ!” ปกติคอลลินส์จะเป็นเด็กดื้อเงียบไม่ชอบเสียงดังโวยวาย แต่นี่มันคงถึงขีดสุดของตัวเองแล้ว
“พี่เห็นผมเป็นอะไร”
“...”
“ตอบสิ!”
“คอลลินส์เป็น...”
“…”
“น้องชายที่พี่รักที่สุด”
“ถ้ารักผมแล้วทำไมถึงทำแบบนี้! ยัยผู้หญิงคนนั้นมีดีตรงไหนหรือเพราะเธอง่ายกว่าผม เธอให้อะไรกับพี่ได้มากกว่าผมอย่างนั้นหรือ!”
“หยุดนะคอลลินส์! มันจะมากเกินไปแล้ว!”
“ผมไม่หยุด! คงง่ายมากสินะ ใช่สิผมไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนคนอื่นนี่พี่ถึงเอาไม่สะดวก!”
เพี้ยะ!
ความชาแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด หน้าของคอลลินส์หันไปอีกทาง...เขาโดนตบ...พี่ชายที่คอลลินส์รักที่สุดใช้ฝ่ามือตบหน้าเขาจนหันไปอีกทางแฟร์ริเออร์ไม่เคยตีคอลลินส์ ไม่เคยเลยสักครั้ง...แต่ครั้งนี้เพียงแค่เขาเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นพี่ชายก็พร้อมที่จะปกป้องเธอ
“อย่าพูดถึงชาร์ลอตต์แบบนั้นอีก”
คอลลินส์ร้องไห้จนสะอื้นในลำคอ
“พี่โกหก...พี่เคยบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งผมไป...”
“...”
“พี่เคยบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว”
“...”
“พี่ผิดสัญญากับผมแล้ว...”
“พี่ไม่ได้ผิดสัญญา”
“แต่พี่ก็เลือกเธอคนนั้น...พี่ไม่ได้รักผม—ไม่เคยรักผมตั้งแต่วันที่พี่เจอเธอ”
บางทีคอลลินส์อาจลืมไป...ว่าคำว่ารักของเขาทั้งคู่มันอาจจะต่างกัน คอลลินส์รักทุกสิ่งทุกอย่างของแฟร์ริเออร์...รักมากจนมันก้าวล้ำเส้นผ่านคำว่าพี่น้องไปตั้งนานแล้วคนเป็นน้องไม่เคยต้องการใครอีก และคิดเพียงแค่ว่ามีพี่ชายคนเดียวก็เกินพอ
หลงละเมอ...คิดว่าใครอีกคนจะรักตัวเองตลอดไป เผลอคิดว่าความรักที่ได้กลับมานั้นคือความรักที่เหมือนคนรัก
“พี่ไม่เคยรักผมเลยใช่ไหม...” สายตาตัดพ้ออ่อนแรงถูกส่งไปถึงแฟร์ริเออร์แน่นอนว่าคนเป็นพี่ถึงกับทนดูไม่ได้ จึงหันหน้าหนีไปอีกทาง“พี่ไม่เคยรักผมเลยอย่างนั้นหรือ...”
ความผิดบาปนี้มันจะติดตรึงในชีวิตของพวกเขาตลอดไป เพียงแต่แฟร์ริเออร์สามารถลบลืมมันได้ง่ายๆ เพราะตัวเองมีแต่ได้กับได้ในตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าลิ้มลองและคงไม่เสียหายอะไรหากแต่ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำและความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังขุดหลุมให้ลึกลงไปกว่าเดิม
แฟร์ริเออร์ยังดีที่มีใครช่วยดึงตัวเองให้ออกจากหลุมลึกนี้ได้ แต่คอลลินส์ไม่มี...เด็กน้อยที่น่าสงสารเดินตามเกมของพี่ชายแต่สุดท้ายโดนทิ้งเอาไว้ในหลุมลึกที่มืดมิดเพียงผู้เดียวความเชื่อใจและความรักที่แสนบริสุทธิ์ถูกมอบให้คนที่รักด้วยชีวิตแต่กลับถูกเหยียบย่ำ ทิ้งไว้อย่างไม่เคยเห็นค่ามาก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าหากว่าคุณรักดอกไม้คุณจะไม่มีวันเด็ดมันออกมา แต่คุณจะคอยเอาใจใส่ดูแลรดน้ำให้กับมันเสมอ...แต่ถ้าหากว่าคุณชอบมันเฉยๆ...คุณก็จะเด็ดมันออกมาชื่นชมความงาม...แล้วสุดท้ายเมื่อมันแห้งเหี่ยวไปคุณก็จะทิ้งมันลงกับพื้นได้อย่างไม่สนใจใยดี’
“ฮ—ฮึก! ฮือ...”
“พี่ขอโทษคอลลินส์...แต่พี่รักชาร์ลอตต์...พี่ไม่ได้รักเราแบบนั้นพี่รักเราแบบน้องชาย คอลลินส์เป็นน้องชายที่พี่รักมากที่สุดนะ”
รสจูบที่เคยสัมผัส ความสุขสุดยอดที่เคยมีร่วมกัน
ตอนนี้มันกลับไม่มีความหมายอะไรกับอีกคนเลย
คอลลินส์รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเหลือเกิน...เขาร้องไห้จนแทบขาดใจ แต่พี่ชายที่แสนดีคนนั้นกลับทำเพียงแค่ยืนมองเฉยๆ ไม่มีการปลอบใจ ไม่มีการพรมจูบซับน้ำตา ไม่มีอีกแล้วการกอดเพื่อให้พักพิง สุดท้ายคอลลินส์ก็ทนไม่ไหวเสียเองถ้าหากยังนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมตัวเขาเองอาจจะสิ้นใจตายตรงนั้นก็ได้เมื่อตั้งสติได้สองขาก็ยืนขึ้นรีบก้าวไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินของตัวเองวิ่งหนีออกจากที่ตรงนั้นทันที
วิ่ง...
วิ่งไปเรื่อย ๆ...โดยไม่หันหลังกลับไปมอง
เพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว...
คนคนนั้นก็คงไม่ตามมาอยู่ดี
“แอนไนริน...ฉันไม่ไหวแล้ว...”
“นายอยู่ที่บ้านหรือเปล่า...”
“ฉันไปหาได้ไหม...”
“เรา...”
“ไปเรียนต่อที่สเปนกันเถอะ”
———
“จะไปงานแต่งเขาหรือเปล่า”
คอลลินส์หันกลับไปมองคนที่เอ่ยถามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมาเหม่อมองวิวยามเย็นของมาดริดดังเดิมสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ดวงตามองเหม่อเหมือนมีเรื่องที่คิดอยู่ในหัวมากมาย แอนไนรินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
“โคล...มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะนับจากวันนั้นน่ะ...ปล่อยวางเถอะ...รู้ไม่ใช่หรืออย่างไรเสียฉันก็ยังอยู่ข้างนายตรงนี้”
“ไนจะไปหรือเปล่า?”คอลลินส์เอ่ยถาม โดยไม่ได้หันมามองหน้าคู่สนทนา
“ก็ต้องไปอยู่แล้ว...พี่ชายของแฟนแต่งงานทั้งทีจะไม่ไปได้อย่างไรกันเล่า”
“...”
เมื่อเห็นคอลลินส์เงียบไป แอนไนรินจึงพูดต่อ“ชุดสูทก็สั่งตัดมาคู่กันแล้ว...จะไม่ไปหรือ...ถ้ามองแล้วมันเจ็บก็มองหน้าฉันนี่...”
“ขอบคุณนะ” คอลลินส์กุมมือคนที่มาสวมกอดตัวเองจากด้านหลัง
“เอาล่ะ ให้เวลาจมอยู่ในความคิดอีกสักพักหนึ่งแล้วกันเดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารมื้อพิเศษให้ ตกลงไหม?”
เสียงปิดประตูเบา ๆ ทำให้คอลลินส์ลอบถอนหายใจออกมาบ้าง ก่อนจะก้าวยาว ๆ มาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้นุ่มเขาหมุนเก้าอี้ไปมา นิ้วเรียวยาวเคาะพนักเก้าอี้เป็นจังหวะเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
เหตุการณ์ในวันสุดท้ายยังแจ่มชัดในความทรงจำของคอลลินส์เสมอเขาจำได้ว่าตัวเองร้องไห้เจียนตาย คนที่คอยปลอบคอยอยู่ข้าง ๆ ก็คือแอนไนรินใครอีกคนอยู่เคียงข้างเสมอไม่เคยจากไปไหน...ตั้งแต่เล็กจนโต เดินมาด้วยกันจับมือกันมาตลอด หรือแม้แต่การขอร้องให้เพื่อนรักมาเรียนต่อด้วยกันที่สเปน แอนไนรินก็ยังยินยอม...
หลังจากวันนั้นคอลลินส์รู้ดีว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากที่เคยเงียบอยู่แล้วก็เงียบมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยไม่ต่อล้อต่อเถียง เชื่อฟังคำพูดของพ่อกับแม่จะมีก็แค่เรื่องที่ดื้อมาเรียนต่อต่างประเทศนี่แหละที่ต้องยกเหตุผลมาอ้างยกใหญ่พ่อกับแม่เป็นห่วงคอลลินส์เรื่องการใช้ภาษา แต่โชคดีที่มีครอบครัวของแอนไนรินมาช่วยพูดเจรจาจึงผ่านพ้นด่านนั้นมาได้ง่าย ๆ เห็นแบบนี้เรื่องภาษาแอนไนรินก็เก่งไม่เบาเลย...เขาไม่ร้องไห้งอแงไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยดหลังจากผ่านพ้นคืนนั้น กลับบ้านมาตอนเช้าพร้อมกับแอนไนรินมองหน้าพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยและสายตาที่ว่างเปล่าหลายครั้งหลายคราที่เขารู้ตัวว่าแฟร์ริเออร์พยายามจะเข้ามาพูดคุยเรื่องในคืนนั้นแต่คอลลินส์ก็หาเรื่องหลบหลีกได้ตลอด รวมถึงการดึงตัวแอนไนรินเข้ามาบังหน้าให้ด้วย
คนที่น่าสงสารที่สุดในตอนนั้นเห็นจะเป็นเพื่อนรักแอนไนริน คอลลินส์รู้ว่าใครอีกคนน่ะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์แปลกๆ นี้มานานแล้วเพียงแค่ไม่เคยเอ่ยถาม สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่เล่าออกไปจนหมดเปลือกในตอนแรกนึกว่าแอนไนรินกับแบร์รีจะรังเกียจ แต่ทั้งคู่ก็ยังยินดีที่จะอยู่เคียงข้างไม่ทิ้งกันไปไหน
นี่สิ—คนที่ไม่เอาแต่พูด แต่พิสูจน์ให้เห็นผ่านการกระทำ
คอลลินส์อยู่กับแอนไนรินมานานตั้งแต่เด็กจนโตตั้งแต่อายุสามสี่ขวบจนถึงทุกวันนี้ก็ยี่สิบห้าปีแล้ว และก็เป็นฝ่ายขอคบแอนไนรินเองเมื่อสองปีก่อนตอนเขาทั้งคู่เรียนจบ...ความรู้สึกของเรามากเกินกว่าคำว่ารักมันกลายเป็นความผูกพันที่ต่อจากวันนี้คงไม่มีวันตัดขาด
แอนไนรินต้องอดทนมากมายขนาดไหนกันนะในตอนแรกที่ยืนเคียงข้างคอลลินส์โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับไปเลย...เขาเคยถามใครอีกคนเหมือนกันแต่แอนไนรินบอกเพียงว่า...แค่ได้อยู่ข้างกันต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็เพียงพอแล้วถึงแม้จะรู้ว่าคอลลินส์ยังคงรักแฟร์ริเออร์อยู่
ทั้งที่ตั้งใจจะลืมมันไป...ไม่คิดถึง เจ็ดปีที่ผ่านมาเขาต้องเรียน ต้องโหมงานหนักแทบตายจะได้ไม่เหลือเวลาว่างให้นั่งคิดถึง...แต่เมื่อหลายเดือนก่อนแค่เห็นลายมือจ่าบนหน้าซองการ์ดเชิญนั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่คอลลินส์ได้ทำมาไร้ความหมายไปโดยปริยายซองกระดาษสีน้ำตาลวางคู่กับตั๋วเครื่องบินกลับบ้านทำให้เขาต้องถอนหายใจอีกรอบ
แอนไนรินเป็นคนเอาซองจดหมายนี้มาให้ จนวันนี้มันก็ยังวางอยู่ที่เดิม เพราะคอลลินส์ไม่คิดจะเปิดออกมาดูเลยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นงานแต่งงานของใคร...เขาจำลายมือนั้นได้แม่นลายมือที่เคยเขียนหน้าปกสมุดโรงเรียนให้ ลายมือที่เคยเขียนสรุปเนื้อหาการเรียนลายมือที่เคยเขียนพร่ำบอกว่ารักคอลลินส์หนักหนา
ลายมือของ ‘แฟร์ริเออร์’
คอลลินส์เกลียดตัวเองที่เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องดีๆ...ทั้งที่เหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นมันมีน้ำหนักมากกว่าแท้ ๆเขาต้องร้องไห้มากเพียงใด แทนที่จะนึกถึงช่วงเวลาแย่ ๆ ให้มันตอกย้ำหัวใจแต่กลายเป็นว่าเรื่องราวดี ๆที่เคยผ่านมากลับเป็นความทรงจำที่คอยทำร้ายกัดกินหัวใจเขาจนถึงทุกวันนี้เสียมากกว่า
คอลลินส์หยิบซองกระดาษนั้นขึ้นมาก่อนจะเปิดดูด้านใน เขาเห็นการ์ดหนึ่งใบกับกระดาษหนึ่งแผ่น คงเป็นโน้ตหรือจดหมายอย่างแน่นอน หัวใจที่ตอนแรกเต้นแรงตอนนี้กลับเต้นช้าลง ช้าลง...เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจเสียดื้อ ๆ และเมื่อหยิบกระดาษโน้ตแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านเรื่องราวในอดีตก็พลันหวนกลับมาอีกครั้ง...เพียงแค่หกพยางค์
‘พี่รักเราเสมอนะ’ ก็แทบเรียกน้ำตาให้เอ่อล้นขึ้นมาอีกรอบ
คอลลินส์ไม่ได้กลับบ้าน และแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเมื่อครอบครัวมาเยี่ยมที่สเปนเขาทำเหมือนสบายดีเสมอ ยิ้มให้พ่อกับแม่และพี่ชายในบ้างครั้งที่ใช้วิดีโอคอลผ่านเครือข่ายออนไลน์โทร.หาเกือบจะหลุดร้องไห้หลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลั้นมันเอาไว้ได้ เพราะมีมืออุ่น ๆ ของแอนไนรินคอยกอบกุมเอาไว้
หากพูดถึงเรื่องชีวิตรักหรือเรื่องบนเตียงระหว่างเขากับแอนไนรินเราสองคนไม่ได้มีใครตักตวงจากใครเพียงฝ่ายเดียว เราสลับกันรับและสลับกันให้ขึ้นอยู่กับบริบทในตอนนั้น คอลลินส์มีความสุขดีนะกับความสัมพันธ์แบบนี้เราไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องโหยหา แต่ก็สามารถเติมเต็มให้กันและกันได้ตลอด ส่วนเรื่องแฟร์ริเออร์—เขาไม่คิดจะขุดคุ้ยเรื่องนี้กลับขึ้นมาให้มากความพยายามดันให้มันเข้าไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจพี่ชายของเขาเองก็คงคิดแบบนั้นเช่นกันในเมื่อวันเวลาผ่านไปและต่างคนก็ต่างต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง แถมแฟร์ริเออร์ก็กำลังจะแต่งงานกับชาร์ลอตต์อยู่แล้วด้วย—
ไม่ผิดหรอก...คอลลินส์น่ะสามารถเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นได้อย่างเต็มปากแล้วล่ะคู่รักที่ตั้งใจเรียนมาด้วยกัน แถมยังมีความสามารถสูง ต่างคนต่างได้ทำงานดี ๆ ในตำแหน่งที่ดีขนาดนี้...จะไม่ให้ยินดีด้วยได้อย่างไรกัน
———
คอลลินส์กลับมาพร้อมกับแอนไนรินเนื่องจากครอบครัวของเขาก็ส่งบัตรเชิญให้ครอบครัวของแอนไนรินเช่นกันเจ้าตัวจึงขอกลับไปนอนที่บ้าน ทิ้งให้เขาต้องโดดเดี่ยวกลับมาที่บ้านของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้...
แฟร์ริเออร์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก...เพราะทั้งคู่จัดเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้วเป็นห้องในคอนโดหรูที่ร่วมกันซื้อเอาไว้และอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน...เรื่องนี้คอลลินส์ก็รู้จากแม่อีกนั่นแหละเขาคงไม่กล้าถามเองแน่ ๆ แล้วก็ไม่ได้คุยกับพี่ชายตัวเองทุก ๆเรื่องแบบเมื่อก่อนอีกแล้วด้วย จะมีถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้างก็เท่านั้น
พรุ่งนี้พิธีจะเริ่มตั้งแต่สิบโมงเช้า จัดที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่ขอแต่งงานของทั้งคู่โดยมีบาทหลวงมาทำพิธีให้ด้วย คอลลินส์ไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของพี่ชายเลย...ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เจ้าสาวหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้วครั้งสุดท้ายที่วิดีโอคอลคุยกันก็หลายเดือนก่อนเป็นตอนที่พี่ชายบอกว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานนั่นล่ะ
‘คอยดูเถอะ เรียนจบแล้วจะไว้หนวดเคราให้ยาวเฟื้อย เอาให้หน้าโหด ๆ ไปเลย!’ เมื่อย้อนคิดไปถึงตอนที่พี่ชายคนเก่งพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้เขาขำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป
“คิดถึงบ้านไหม?”แม่แวะเข้ามาในห้องนอนของเขาในตอนดึก
“คิดถึงครับ...คิดถึงเตียงนุ่ม ๆ โปสเตอร์ไอรอนแมนกับฟิกเกอร์พวกหนังสือการ์ตูนพวกนั้นผมก็คิดถึงด้วย คิดถึงรูปครอบครัวที่ตั้งตรงมุมนั้น...”
“คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับมาอยู่บ้านเราล่ะ?” รอยยิ้มอบอุ่นพร้อมฝ่ามือที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาเอื้อมมาลูบผมของเขาเบาๆ
“พ่อกับแม่...แล้วก็ฟาร์เรียร์น่ะ...รอลูกกลับมาเสมอเลยนะ”
“ครับ...เอาไว้ว่าง ๆ ผมจะกลับมาก็แล้วกันพรุ่งนี้แม่กับพ่อไปที่งานก่อนได้เลยนะครับ ผมจะรอไปพร้อมกับแอนไนริน”
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะทำอาหารเช้าวางเอาไว้บนโต๊ะให้แล้วกันนะลูก”
วันรุ่งขึ้นคอลลินส์ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมายนัก ตื่นเก้าโมงเช้ามาทำธุระส่วนตัวกว่าจะแต่งตัวพร้อมเดินอ้อยอิ่งทานอาหารเช้าที่บ้านอีก ทำให้เดินทางไปถึงงานเวลาสิบโมงนิดๆ ซึ่งเป็นเวลาที่พิธีแต่งงานได้เริ่มขึ้นแล้ว ปกติตัวเองไม่ใช่คนนิสัยชอบมาสายหรอกแต่คราวนี้มันจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนและตัวเจ้าของงานด้วย
“พิธีเริ่มได้สักพักหนึ่งแล้วค่ะคุณคอลลินส์รบกวนเซ็นชื่อที่ช่องสิบสองนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะติดหมายเลขนี้ไว้บนของขวัญของคุณคอลลินส์เผื่อเวลาคุณแฟร์ริเออร์มาเปิดของขวัญจะได้ทราบว่าเป็นของใครค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” คอลลินส์ลงชื่อพร้อมยื่นของให้กับสาวสวยคนนั้นก่อนจะเดินเข้าไปภายในงาน
ตอนนี้กำลังอยู่ในพิธีสำคัญ คอลลินส์ไม่ได้เดินไปนั่งที่บริเวณเก้าอี้แต่เขาเลือกที่จะยืนด้านหลังสุดตรงปลายทางเดินที่ปูพรมบนพื้นหญ้าแทนดวงตาคมมองกวาดหาแอนไนรินก็เจอเจ้าตัวนั่งอยู่แถวเกือบหน้าสุดพร้อมครอบครัวห่างจากพ่อกับแม่ของเขาพอสมควรซึ่งทำให้คอลลินส์โล่งอกไปเพราะที่จริงเขาโกหกแม่ว่าจะมาพร้อมแอนไน-รินน่ะสิ ก่อนที่สุดท้ายจะมาสะดุดตาเข้ากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น...ยืนหันหน้าเข้าหาเจ้าสาวคนสวยด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นใจดี
เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน...เคยเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น...ใบหน้าหล่อเหลาริมฝีปากหนา ผิวสีแทนเนียนสวย ดวงตาคมดุจดั่งเหยี่ยว มือใหญ่กอบกุมที่มือของเจ้าสาวคนสวยเอาไว้แน่นใบหน้ายิ้มแย้มเผยให้เห็นริ้วรอยที่ปรากฏขึ้นตรงหางตา ถึงแม้จะยืนอยู่ไกล...แต่แฟร์ริเออร์เด่นชัดในสายตาของคอลลินส์เสมอ...ทันใดนั้นเองที่เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจอีกครั้ง...แม้ริมฝีปากจะยิ้มกับภาพตรงหน้าแต่กลับเจ็บด้านในเหลือเกิน
คำมั่นสัญญาที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวสัญญาต่อกัน...ดังตอกย้ำความเป็นจริงทั้งสองผลัดสวมแหวนให้กันและกันก่อนที่พวกญาติพี่น้องจะส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องให้แสดงความรักต่อหน้าแขกในงานโดยการจูบและต่อจากนั้นเองที่ทั้งสองต่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน...และจูบกันในที่สุด
เสียงปรบมือเฮดังลั่น ทั้งสองถอนจูบแล้วจ้องมองกันและกันด้วยสายตาแห่งความรักใคร่พร้อมหันมายิ้มให้เหล่าแขกในงาน ก่อนที่สาว ๆ จะวิ่งกรูกันมายืนรอช่อดอกไม้ ถ้าหากแฟร์ริเออร์...ไม่บังเอิญมองเห็นเขาเสียก่อนน่ะนะ
แฟร์ริเออร์นิ่งไป ใช่—จากที่ดวงตาเรียวยกหยีจากรอยยิ้มมีความสุขตอนนี้กลับเหลือแค่สายตาที่ดูตกใจไม่น้อย พร้อมจดจ้องมาทางเขาอย่างไม่ละสายตาถึงแม้บรรยากาศรอบด้านจะเต็มไปด้วยความปีติยินดี ทว่าเหมือนกับโลกหยุดหมุนเหลือเพียงแค่คอลลินส์กับแฟร์ริเออร์ที่ยังไม่โดนหยุดไปด้วย
ริมฝีปากยกยิ้มให้คนที่ยืนตรงนั้น...มันไม่ใช่ยิ้มที่มีความสุขมากมายแต่มันก็แฝงไปด้วยความยินดีของคอลลินส์อย่างเต็มร้อย เขาไม่ได้ยิ้มกว้างถึงขนาดตาหยีแค่ยิ้มออกมาเท่าที่ความรู้สึกจะแสดงออกมาไหวเท่านั้น
—
ถึง คอลลินส์น้องชายที่พี่รักมากที่สุด
หวังว่าน้องจะอยู่ตรงนี้.มางานแต่งงานของพี่.
พี่อยากให้เรามาเจอกัน. พี่คิดถึงคอลลินส์มากนะ.
รัก.
แฟร์ริเออร์
—
“ผม – รัก – พี่ – นะ” คอลลินส์เพียงแค่ขยับปากแต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ไม่มั่นใจว่าพี่ชายจะสามารถอ่านปากได้หรือไม่แต่ถึงวันนี้เขาได้พูดมันออกไปแล้ว...ความในใจที่เก็บมาเนิ่นนาน...ความในใจที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“โชคดี...มีความสุขมาก ๆ นะครับ” เขายังขยับปากเหมือนเดิมแต่หลังจากพูดจบประโยค อีกคนก็ดูลนลานทำท่าจะวิ่งมาหาคอลลินส์แต่ทว่าเจ้าสาวคนสวยกลับตั้งท่าจะโยนดอกไม้ผู้คนก็ต่างยกมือขึ้นสูงเตรียมรับดอกไม้ทันทีตอนนี้เราสองคนก็ต่างมองไม่เห็นกันแล้ว
คงถึงเวลาที่ต้องบอกลาจริง ๆ เสียที...ในที่สุดก็มีโอกาสได้บอกลา
บอกลาในฐานะน้องชายคนหนึ่งที่เผลอรักพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองหมดหัวใจ
เด็กชายผู้โง่เขลาคนนั้น...ตอนนี้ได้ตายจากไปแล้ว
เหลือเพียงแค่น้องชายที่เคารพรักพี่ชายเท่านั้น
มันคงเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่คอลลินส์สามารถมอบให้พี่ชายได้ต่อจากนี้มันคงไม่มีอะไรสลักสำคัญอีกต่อไปในเมื่อเขาได้ส่งคืนความรู้สึกนั้นกับเจ้าของ และยังขอคืนความรักที่เคยมอบให้ใครคนนั้นกลับมาจนหมดเพื่อส่งต่อไปให้คนที่รักเขาจริงๆ ที่ยืนรอตรงนั้น...แอนไนริน
นี่คือเรื่องเล่าของคอลลินส์...ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นจริง
และเขาคงจะไม่มีวันลืมมันตลอดไป
ขอบคุณนะครับพี่ชาย.
ส่วนเรื่อง คอลลินส์กับอนาย คือเราชิปคู่นี้อยู่แล้วด้วยค่ะ แถมชิปแบบเลือกที่จะไม่เจาะจง position ด้วย เพราะเราค่อนข้างเชื่อว่าในทุกความสัมพันธ์มันจะต้องมีการรับและการให้ ไม่ใช่การได้และเสีย เลยอ่านพาร์ทของคู่นี้แล้วประทับใจมากจริง ๆ